ศิษย์ของท่านอ่อนแอเกินไป
จากตีนเขาไปจนถึงเนินเขาจะมีทางเดินหินเล็กๆอยู่ทางหนึ่ง
ถึงแม้ว่าเส้นทางจะกว้างเพียงสองเมตรแต่มันก็ ‘เคย’สะอาดหมดจดและเป็นระเบียบร้อยมองดูแล้วสบายตา
อย่างน้อยๆเส้นทางหลักที่เดินขึ้นเขา
นิกายกระบี่ฟ้าก็น่าจะดูแลรักษาไว้บ้าง แต่ทว่า เมื่อฮั่นเฉียวเซิงและพรรคพวกเดินไปตามทางก็พบว่าถนนหนทางค่อนข้างขรุขระ
ทางเดินหินสีฟ้าไม่เพียงแค่ไม่ได้รับการดูแลรักษา แต่มันยังปกคลุมไปด้วยวัชพืชและใบไม้เกลื่อนกลาด
แม้กระทั่งสถานที่หลายแห่งก็ยังถล่มหรือไม่ก็ถูกหินขวางเส้นทางเอาไว้
ฮั่นเฉียวเซิงและตู้หวู่เดินเคียงคู่กันนำอยู่ข้างหน้า
พวกเขาได้เห็นสภาพอันน่าสยดสยองของภูเขามังกรตลอดเส้นทาง สีหน้าของพวกเขาเริ่มมืดครึ้มยิ่งขึ้น
เวลาผ่านไปไม่นานนัก
ในที่สุดทุกคนก็มาถึงยอดเขา
ที่จุดสูงสุดของภูเขามังกรมีแท่นหินอ่อนสูง
100 เมตรที่สร้างขึ้นจากหินอ่อน มันคือแท่นมังกรจันทร์เต็มดวง
ที่ด้านหน้าของแท่นหินมีรูปปั้นมังกรขนาดใหญ่ มันคือมังกรในตำนาน
สมัยก่อนที่นิกายพันธมิตรสวรรค์บริหารจัดการภูเขามังกร
แท่นมังกรจันทร์เต็มดวงแห่งนี้สะอาดสะอ้านอยู่เสมอ
รอบๆเต็มไปด้วยพฤกษาวิญญาณที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลอันน่ารื่นรมย์
แต่ตอนนี้…แท่นหินที่เคยงดงามกลับปกคลุมไปด้วยโคลนทราย
พฤกษาวิญญาณก็ถูกตัดทิ้งจนเหี้ยนไปด้วยเช่นกัน
แท่นหินมังกรจันทร์เต็มดวงกลายเป็นรกร้างและทรุดโทรม หากมิใช่เพราะธงสัญลักษณ์นิกายกระบี่ฟ้าสิบสองผืนที่ปักอยู่รอบๆแท่นสูงและมือกระบี่สิบสองคนที่ยืนอยู่บนเวที
พูดไปใครจะเชื่อว่าที่นี่คือสถานที่จัดงานประลองหลงซานอันยิ่งใหญ่
?
สิบสองมือกระบี่ที่ยืนอยู่บนเวทีนั้น
สองคนคือชายชราชุดคลุมสีม่วง พวกมันคืออาวุโสของนิกายกระบี่ฟ้า
ชายฉกรรจ์สามคนที่สวมเสื้อคลุมสีดำก็คือเหล่าพ่อบ้านของนิกายรวมไปถึงพ่อบ้านใหญ่ก็อยู่ที่นั่นด้วย
อีกเจ็ดคนคือเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ของนิกายกระบี่ฟ้า
นอกจากฮั่งเชิน
หยินเฟยหยางและหยานตงไหลที่สวมเสื้อคลุมสีฟ้าแล้ว อีกสี่คนที่เหลือสวมเสื้อคลุมสีขาวสะอาด
หลังจากพวกมันได้เห็นฮั่นเฉียวเซิงและคณะ
พ่อบ้านจำนวนมากของนิกายกระบี่ฟ้าก็กำหมัดคารวะและทักทายปราศรัยกันตามมารยาท
ถึงแม้ความขุ่นข้องหมองใจของทั้งสองฝ่ายนั้นยากที่จะลบเลือนโดยง่าย
แต่หน้าฉากพวกเขาก็ต้องปั้นหน้ายิ้มเอาไว้
ฮั่นเฉียวเซิงและตู้หวู่ก็เจนโลกไม่น้อย
พวกเขาวางสีหน้าเป็นปกติและข่มความโกรธเคืองไว้ในใจ
จากนั้นก็เดินขึ้นเวทีพร้อมกับอีกฝ่าย
นิกายกระบี่ฟ้าปักหลักอยู่ทางทิศเหนือของแท่นมังกรจันทร์เต็มดวงส่วนนิกายพันธมิตรสวรรค์รวมกลุ่มกันอยู่ทางใต้
ทั้งสองนิกายอยู่ตรงกันข้ามห่างกันสิบเมตรและต่างก็จ้องหน้ากัน
ฮั่งเชิน
หยินเฟยหยางและหยานตงไหลเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
พวกมันหัวเราะในลำคออย่างแผ่วเบา มุมปากเชิดขึ้นอย่างถือดี
ไม่กี่วันที่ผ่านมา
ยามอยู่ในนิกายพันธมิตรสวรรค์
พวกมันจงใจเก็บกลั้นความเย่อหยิ่งถือดีและแสร้งวางตัวเป็นสุภาพชน
แต่ทว่าตอนนี้พวกมันอยู่บนภูเขามังกรที่ยังถือว่าเป็นถิ่นของนิกายกระบี่ฟ้า
แน่นอนว่าพวกมันไม่จำเป็นต้องเสแสร้งใดๆอีกต่อไป
เผยมันเผยสีหน้าและนิสัยโดยธรรมชาติออกมาอย่างไม่เก็บงำ สายตาที่จ้องมองไปยังกลุ่มนิกายพันธมิตรสวรรค์และจี้เทียนซิงนั้นเต็มไปด้วยการเหยียดหยามอย่างรุนแรง
หลังจากนั้นไม่นาน
วิหคสีแดงขนาดมหึมาพอๆกับภูเขาเล็กลูกหนึ่งก็โบยบินมาจากเส้นขอบฟ้าไกลลิบ
วิหคเพลิงบินขึ้นมาเหนือยอดเขาอย่างรวดเร็วและลงจอดใต้แท่นหินมังกรจันทร์เต็มดวง
ชายชุดม่วงสองคนลงจากหลังของวิหคเพลิงและกระโดดไปยังแท่นหินมังกรจันทร์เต็มดวง
ผู้มาเยือนก็คืออาวุโสของนิกายพันธมิตรสวรรค์นั่นเอง
ชายคนแรกคือชูไฮว่ซาน
อาวุโสแห่งฝ่ายนอก ส่วนอีกคนหนึ่งคืออาวุโสใหญ่ของนิกายที่น้อยครั้งจะปรากฏตัว
มู่อวิ๋นไห่ [穆云海 เมฆาสมุทรเยือกเย็น]
เมื่อเห็นอาวุโสทั้งสอง
ฮั่นเฉียวเซิงและคนอื่นๆก็รีบคำนับด้วยความเคารพทันที
แม้กระทั่งอาวุโส
พ่อบ้านและเหล่าศิษย์ของนิกายกระบี่ฟ้าก็กำหมัดคารวะเช่นกัน
จากนั้นอาวุโสทั้งสี่
(นิกายละสองคน) ก็ขึ้นไปยืนบนแท่นมังกรจันทร์เต็มดวงด้วยท่าทางเยือกเย็นและพูดถึงภูเขามังกรในวันนี้
จี้เทียนซิงฟังการสนทนาของอาวุโสทั้งสี่อย่างเงียบงันจนกระทั่งทราบถึงตัวตนของอาวุโสสองคนของนิกายกระบี่ฟ้า
หนึ่งในนั้นคือผู้อาวุโสฝ่ายนอกแซ่ถัง
อีกคนหนึ่งคืออาวุโสคุมกฎแซ่ต่ง
ในขณะนั้นเองผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายพันธมิตรสวรรค์มู่อวิ๋นไห่ก็มองไปยังอาวุโสต่งของนิกายกระบี่ฟ้าด้วยแววตาคมกริบพลางกล่าวว่า
“สมัยที่นิกายข้าดูแลภูเขามังกร
มันเคยเต็มไปด้วยสวนสมุนไพรและทัศนียภาพอันงดงาม”
“ในเวลาเพียงแค่สามปีพวกเจ้าเปลี่ยนภูเขามังกรที่เคยสวยงามให้อัปลักษณ์เช่นนี้
ใช่คิดจะทำลายขุมสมบัตินี้งั้นหรือ ?”
เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสต่งของนิกายกระบี่ฟ้าคาดเดาไว้แล้วว่าตัวแทนของนิกายพันธมิตรสวรรค์จะต้องโกรธเคืองแน่นอน
แต่ทว่ามันก็ได้เตรียมคำพูดแก้ต่างเอาไว้แล้ว
มันกำหมัดโค้งคารวะให้มู่อวิ๋นไห่พลางถอนหายใจและกล่าวว่า “เฮ้อ... อาวุโสมู่ อย่าได้โกรธเคืองกันเลย นิกายข้าก็ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาไม่น้อย”
“นิกายกระบี่ฟ้าของพวกข้าไม่เหมือนนิกายพันธมิตรสวรรค์อันสูงส่ง
พวกท่านมีประวัติศาสตร์ยาวนานมานับพันปีและควบคุมพื้นที่ในดินแดนดาราบรรพกาลเกือบทั้งหมด
ทรัพยากรของพวกท่านก็มีให้ใช้ไม่จบไม่สิ้น
แต่นิกายของพวกข้านั้นทั้งอ่อนแอและเส้นชีพจรปฐพีที่นิกายก็แทบจะไม่มีสมบัติล้ำค่าเหลือให้ขุดค้น
ทรัพยากรบ่มเพาะที่ต้องใช้ในทุกๆปีย่อมไม่เพียงพอ
มันเป็นการยากที่จะเลี้ยงดูสมาชิกของนิกายในทุกๆวัน”
“ดังนั้นเพื่อที่จะคงไว้ซึ่งพัฒนาการของเหล่าศิษย์รุ่นใหม่ๆ
ทางนิกายจึงจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่ได้ครองสิทธิ์เอาไว้ให้เต็มที่เท่านั้น
ขออาวุโสมู่โปรดเข้าใจพวกข้าด้วย”
อีกด้านหนึ่ง
อาวุโสถังก็กล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่าพวกเราทำให้ภูเขามังกรกลายเป็นมีสภาพเช่นนี้
แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราอยากให้เป็น
หากพวกท่านไม่พึงปรารถนาต่อสภาพแวดล้อมเช่นนี้ก็ยกภูเขามังกรให้นิกายเราไปเลยเถอะ”
“นอกจากนี้ การประลองครั้งนี้ควรจะจบได้แล้ว
ผลลัพธ์ก็น่าจะทราบกันอยู่แก่ใจ
มันจะได้ไม่ทำให้ศิษย์ของท่านต้องบาดเจ็...บ.....”
ก่อนที่อาวุโสถังจะพูดจบประโยค
มู่อวิ๋นไห่ก็คำรามแทรกด้วยสีหน้ามืดครึ้มทันที “ไม่มีทาง
!! เจ้าคิดจะให้นิกายข้ายกภูเขามังกรให้พวกเจ้าฟรีๆงั้นหรือ
? ฝันเฟื่อง !”
“ถึงแม้สภาพแวดล้อมของภูเขามังกรจะถูกพวกเจ้าทำลายจนน่าอดสู
แต่มันก็เป็นสถานที่ที่มีเส้นชีพจรวิญญาณปฐพีแข็งกล้า หลังจากนิกายข้าครอบครองมัน
ในเวลาเพียงสิบปีมันจะกลับมาฟื้นฟูและงดงามดังเดิม”
แม้จะถูกตะคอกแทรก
แต่อาวุโสถังของนิกายกระบี่ฟ้าก็มิได้โกรธ เขาเพียงยิ้มเจื่อนๆด้วยความผิดหวังและกล่าวว่า
“หึๆ หากอาวุโสมู่คิดเช่นนี้
วันนี้ข้าเกรงว่าท่านคงต้องผิดหวังเสีย
จะว่าไปตาแก่อย่างข้ามีคำพูดคิดว่ากล่าว ขออาวุโสมู่อย่าได้โกรธไป”
“ในการประลองหลงซานของปีนี้ ศิษย์ใหม่ของพวกท่านดูเหมือนจะ...
อ่อนแอเกินไป หากพวกมันคิดเอาชนะสามอัจฉริยะของนิกายข้า ดูแล้วคงยากยิ่งกว่าบรรลุเป็นเซียนบนสวรรค์ !”
กล่าวจบอาวุโสทั้งสองคนของนิกายกระบี่ฟ้าก็หัวเราะหึๆในลำคอ
สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยสีสันแห่งชัยชนะ
ส่วนใบหน้าของมู่อวิ๋นไห่และชูไฮว่ซานกลับกลายเป็นเย็นชาปั้นยาก
มู่อวิ๋นไห่ขมวดคิ้วและกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า
“ข้าขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับพวกเจ้าแล้ว
ให้ศิษย์ของพวกเราพิสูจน์ให้เห็นกับตาเองก็แล้วกัน !”
จากนั้นมู่อวิ๋นไห่ก็สะบัดปลายแขนเสื้อด้วยความฉุนเฉียวและเดินไปรวมกลุ่มกับพวกฮั่นเฉียวเซิง
ผู้อาวุโสของนิกายกระบี่ฟ้าก็กลับไปยังกลุ่มของตนเองเช่นกัน
เหลือเพียงศิษย์ของแต่ละฝ่ายกับครูฝึกและอาวุโสฝ่ายนอกเท่านั้น
ชูไฮว่ซานและอาวุโสต่งของนิกายกระบี่ฟ้าจะเป็นประธานร่วมกันในการประลองหลงซานปีนี้
อาวุโสถังเริ่มพูดก่อนด้วยเสียงอันดัง
มันอธิบายเกริ่นถึงต้นกำเนิดและความสำคัญของภูเขามังกร
หลังจากที่มันพูดจบ
ชูไฮว่ซานก็ประกาศกฏหลักที่สำคัญๆด้วยเสียงที่ดังกึกก้องเช่นกัน กล่าวสรุปอย่างรวบรัด
ครั้งนี้เป็นการประลองแบบชนะสองในสามและห้ามใช้สัตว์อสูร
เว้นเพียงการทำให้คู่ต่อสู้ถึงแก่ความตาย
การบาดเจ็บพิกลพิการใดๆสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้นโดยไม่มีการกล่าวโทษกันก่อนที่อีกฝ่ายจะประกาศยอมแพ้
เมื่อชูไฮว่ซานประกาศจบ
ฮั่งเชินก็หัวเราะหึๆ ดวงตาเปล่งรัศมีอันตรายออกมาและจับจ้องมองไปที่จี้เทียนซิง
จี้เทียนซิงคาดเดาว่าวันนี้ฮั่งเชินคงไม่ออมมือแน่
แววตาของมันเผยให้เห็นถึงเจตนาประทุษร้ายของเขาอย่างชัดแจ้ง
แต่ทว่า
จี้เทียนซิงก็ยังคงสีหน้าเรียบเฉยราวกับไร้ความรู้สึก
ตั้งแต่วินาทีที่ตัดสินใจเข้าร่วมประลอง
เขาคิดถึงผลที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดเอาไว้แล้ว
ในเวลาเดียวกันอาวุโสต่งก็ประกาศเสียงดังว่า
“การประลองหลงซานเริ่มขึ้นแล้ว !”
“ทั้งสองฝ่ายโปรดเตรียมตัวให้พร้อมและเลือกผู้ประลองคนแรกมาสู่เวทีได้เลย
!”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved