ตอนที่ 192

ศิษย์ของท่านอ่อนแอเกินไป

จากตีนเขาไปจนถึงเนินเขาจะมีทางเดินหินเล็กๆอยู่ทางหนึ่ง

ถึงแม้ว่าเส้นทางจะกว้างเพียงสองเมตรแต่มันก็ ‘เคย’สะอาดหมดจดและเป็นระเบียบร้อยมองดูแล้วสบายตา

อย่างน้อยๆเส้นทางหลักที่เดินขึ้นเขา

นิกายกระบี่ฟ้าก็น่าจะดูแลรักษาไว้บ้าง แต่ทว่า เมื่อฮั่นเฉียวเซิงและพรรคพวกเดินไปตามทางก็พบว่าถนนหนทางค่อนข้างขรุขระ

ทางเดินหินสีฟ้าไม่เพียงแค่ไม่ได้รับการดูแลรักษา แต่มันยังปกคลุมไปด้วยวัชพืชและใบไม้เกลื่อนกลาด

แม้กระทั่งสถานที่หลายแห่งก็ยังถล่มหรือไม่ก็ถูกหินขวางเส้นทางเอาไว้

ฮั่นเฉียวเซิงและตู้หวู่เดินเคียงคู่กันนำอยู่ข้างหน้า

พวกเขาได้เห็นสภาพอันน่าสยดสยองของภูเขามังกรตลอดเส้นทาง  สีหน้าของพวกเขาเริ่มมืดครึ้มยิ่งขึ้น

เวลาผ่านไปไม่นานนัก

ในที่สุดทุกคนก็มาถึงยอดเขา

ที่จุดสูงสุดของภูเขามังกรมีแท่นหินอ่อนสูง

100 เมตรที่สร้างขึ้นจากหินอ่อน มันคือแท่นมังกรจันทร์เต็มดวง

ที่ด้านหน้าของแท่นหินมีรูปปั้นมังกรขนาดใหญ่  มันคือมังกรในตำนาน

สมัยก่อนที่นิกายพันธมิตรสวรรค์บริหารจัดการภูเขามังกร

แท่นมังกรจันทร์เต็มดวงแห่งนี้สะอาดสะอ้านอยู่เสมอ

รอบๆเต็มไปด้วยพฤกษาวิญญาณที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลอันน่ารื่นรมย์

แต่ตอนนี้…แท่นหินที่เคยงดงามกลับปกคลุมไปด้วยโคลนทราย

พฤกษาวิญญาณก็ถูกตัดทิ้งจนเหี้ยนไปด้วยเช่นกัน

แท่นหินมังกรจันทร์เต็มดวงกลายเป็นรกร้างและทรุดโทรม หากมิใช่เพราะธงสัญลักษณ์นิกายกระบี่ฟ้าสิบสองผืนที่ปักอยู่รอบๆแท่นสูงและมือกระบี่สิบสองคนที่ยืนอยู่บนเวที

พูดไปใครจะเชื่อว่าที่นี่คือสถานที่จัดงานประลองหลงซานอันยิ่งใหญ่

?

สิบสองมือกระบี่ที่ยืนอยู่บนเวทีนั้น

สองคนคือชายชราชุดคลุมสีม่วง พวกมันคืออาวุโสของนิกายกระบี่ฟ้า

ชายฉกรรจ์สามคนที่สวมเสื้อคลุมสีดำก็คือเหล่าพ่อบ้านของนิกายรวมไปถึงพ่อบ้านใหญ่ก็อยู่ที่นั่นด้วย

อีกเจ็ดคนคือเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ของนิกายกระบี่ฟ้า

นอกจากฮั่งเชิน

หยินเฟยหยางและหยานตงไหลที่สวมเสื้อคลุมสีฟ้าแล้ว อีกสี่คนที่เหลือสวมเสื้อคลุมสีขาวสะอาด

หลังจากพวกมันได้เห็นฮั่นเฉียวเซิงและคณะ

พ่อบ้านจำนวนมากของนิกายกระบี่ฟ้าก็กำหมัดคารวะและทักทายปราศรัยกันตามมารยาท

ถึงแม้ความขุ่นข้องหมองใจของทั้งสองฝ่ายนั้นยากที่จะลบเลือนโดยง่าย

แต่หน้าฉากพวกเขาก็ต้องปั้นหน้ายิ้มเอาไว้

ฮั่นเฉียวเซิงและตู้หวู่ก็เจนโลกไม่น้อย

พวกเขาวางสีหน้าเป็นปกติและข่มความโกรธเคืองไว้ในใจ

จากนั้นก็เดินขึ้นเวทีพร้อมกับอีกฝ่าย

นิกายกระบี่ฟ้าปักหลักอยู่ทางทิศเหนือของแท่นมังกรจันทร์เต็มดวงส่วนนิกายพันธมิตรสวรรค์รวมกลุ่มกันอยู่ทางใต้

ทั้งสองนิกายอยู่ตรงกันข้ามห่างกันสิบเมตรและต่างก็จ้องหน้ากัน

ฮั่งเชิน

หยินเฟยหยางและหยานตงไหลเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

พวกมันหัวเราะในลำคออย่างแผ่วเบา มุมปากเชิดขึ้นอย่างถือดี

ไม่กี่วันที่ผ่านมา

ยามอยู่ในนิกายพันธมิตรสวรรค์

พวกมันจงใจเก็บกลั้นความเย่อหยิ่งถือดีและแสร้งวางตัวเป็นสุภาพชน

แต่ทว่าตอนนี้พวกมันอยู่บนภูเขามังกรที่ยังถือว่าเป็นถิ่นของนิกายกระบี่ฟ้า

แน่นอนว่าพวกมันไม่จำเป็นต้องเสแสร้งใดๆอีกต่อไป

เผยมันเผยสีหน้าและนิสัยโดยธรรมชาติออกมาอย่างไม่เก็บงำ สายตาที่จ้องมองไปยังกลุ่มนิกายพันธมิตรสวรรค์และจี้เทียนซิงนั้นเต็มไปด้วยการเหยียดหยามอย่างรุนแรง

หลังจากนั้นไม่นาน

วิหคสีแดงขนาดมหึมาพอๆกับภูเขาเล็กลูกหนึ่งก็โบยบินมาจากเส้นขอบฟ้าไกลลิบ

วิหคเพลิงบินขึ้นมาเหนือยอดเขาอย่างรวดเร็วและลงจอดใต้แท่นหินมังกรจันทร์เต็มดวง

ชายชุดม่วงสองคนลงจากหลังของวิหคเพลิงและกระโดดไปยังแท่นหินมังกรจันทร์เต็มดวง

ผู้มาเยือนก็คืออาวุโสของนิกายพันธมิตรสวรรค์นั่นเอง

ชายคนแรกคือชูไฮว่ซาน

อาวุโสแห่งฝ่ายนอก ส่วนอีกคนหนึ่งคืออาวุโสใหญ่ของนิกายที่น้อยครั้งจะปรากฏตัว

มู่อวิ๋นไห่  [穆云海 เมฆาสมุทรเยือกเย็น]

เมื่อเห็นอาวุโสทั้งสอง

ฮั่นเฉียวเซิงและคนอื่นๆก็รีบคำนับด้วยความเคารพทันที

แม้กระทั่งอาวุโส

พ่อบ้านและเหล่าศิษย์ของนิกายกระบี่ฟ้าก็กำหมัดคารวะเช่นกัน

จากนั้นอาวุโสทั้งสี่

(นิกายละสองคน) ก็ขึ้นไปยืนบนแท่นมังกรจันทร์เต็มดวงด้วยท่าทางเยือกเย็นและพูดถึงภูเขามังกรในวันนี้

จี้เทียนซิงฟังการสนทนาของอาวุโสทั้งสี่อย่างเงียบงันจนกระทั่งทราบถึงตัวตนของอาวุโสสองคนของนิกายกระบี่ฟ้า

หนึ่งในนั้นคือผู้อาวุโสฝ่ายนอกแซ่ถัง

อีกคนหนึ่งคืออาวุโสคุมกฎแซ่ต่ง

ในขณะนั้นเองผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายพันธมิตรสวรรค์มู่อวิ๋นไห่ก็มองไปยังอาวุโสต่งของนิกายกระบี่ฟ้าด้วยแววตาคมกริบพลางกล่าวว่า

“สมัยที่นิกายข้าดูแลภูเขามังกร

มันเคยเต็มไปด้วยสวนสมุนไพรและทัศนียภาพอันงดงาม”

“ในเวลาเพียงแค่สามปีพวกเจ้าเปลี่ยนภูเขามังกรที่เคยสวยงามให้อัปลักษณ์เช่นนี้

ใช่คิดจะทำลายขุมสมบัตินี้งั้นหรือ ?”

เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสต่งของนิกายกระบี่ฟ้าคาดเดาไว้แล้วว่าตัวแทนของนิกายพันธมิตรสวรรค์จะต้องโกรธเคืองแน่นอน

แต่ทว่ามันก็ได้เตรียมคำพูดแก้ต่างเอาไว้แล้ว

มันกำหมัดโค้งคารวะให้มู่อวิ๋นไห่พลางถอนหายใจและกล่าวว่า “เฮ้อ... อาวุโสมู่ อย่าได้โกรธเคืองกันเลย นิกายข้าก็ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาไม่น้อย”

“นิกายกระบี่ฟ้าของพวกข้าไม่เหมือนนิกายพันธมิตรสวรรค์อันสูงส่ง

พวกท่านมีประวัติศาสตร์ยาวนานมานับพันปีและควบคุมพื้นที่ในดินแดนดาราบรรพกาลเกือบทั้งหมด

ทรัพยากรของพวกท่านก็มีให้ใช้ไม่จบไม่สิ้น

แต่นิกายของพวกข้านั้นทั้งอ่อนแอและเส้นชีพจรปฐพีที่นิกายก็แทบจะไม่มีสมบัติล้ำค่าเหลือให้ขุดค้น

ทรัพยากรบ่มเพาะที่ต้องใช้ในทุกๆปีย่อมไม่เพียงพอ

มันเป็นการยากที่จะเลี้ยงดูสมาชิกของนิกายในทุกๆวัน”

“ดังนั้นเพื่อที่จะคงไว้ซึ่งพัฒนาการของเหล่าศิษย์รุ่นใหม่ๆ

ทางนิกายจึงจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่ได้ครองสิทธิ์เอาไว้ให้เต็มที่เท่านั้น

ขออาวุโสมู่โปรดเข้าใจพวกข้าด้วย”

อีกด้านหนึ่ง

อาวุโสถังก็กล่าวเสริมว่า “แน่นอนว่าพวกเราทำให้ภูเขามังกรกลายเป็นมีสภาพเช่นนี้

แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราอยากให้เป็น

หากพวกท่านไม่พึงปรารถนาต่อสภาพแวดล้อมเช่นนี้ก็ยกภูเขามังกรให้นิกายเราไปเลยเถอะ”

“นอกจากนี้ การประลองครั้งนี้ควรจะจบได้แล้ว

ผลลัพธ์ก็น่าจะทราบกันอยู่แก่ใจ

มันจะได้ไม่ทำให้ศิษย์ของท่านต้องบาดเจ็...บ.....”

ก่อนที่อาวุโสถังจะพูดจบประโยค

มู่อวิ๋นไห่ก็คำรามแทรกด้วยสีหน้ามืดครึ้มทันที “ไม่มีทาง

!!  เจ้าคิดจะให้นิกายข้ายกภูเขามังกรให้พวกเจ้าฟรีๆงั้นหรือ

? ฝันเฟื่อง !”

“ถึงแม้สภาพแวดล้อมของภูเขามังกรจะถูกพวกเจ้าทำลายจนน่าอดสู

แต่มันก็เป็นสถานที่ที่มีเส้นชีพจรวิญญาณปฐพีแข็งกล้า หลังจากนิกายข้าครอบครองมัน

ในเวลาเพียงสิบปีมันจะกลับมาฟื้นฟูและงดงามดังเดิม”

แม้จะถูกตะคอกแทรก

แต่อาวุโสถังของนิกายกระบี่ฟ้าก็มิได้โกรธ เขาเพียงยิ้มเจื่อนๆด้วยความผิดหวังและกล่าวว่า

“หึๆ หากอาวุโสมู่คิดเช่นนี้

วันนี้ข้าเกรงว่าท่านคงต้องผิดหวังเสีย

จะว่าไปตาแก่อย่างข้ามีคำพูดคิดว่ากล่าว ขออาวุโสมู่อย่าได้โกรธไป”

“ในการประลองหลงซานของปีนี้ ศิษย์ใหม่ของพวกท่านดูเหมือนจะ...

อ่อนแอเกินไป  หากพวกมันคิดเอาชนะสามอัจฉริยะของนิกายข้า  ดูแล้วคงยากยิ่งกว่าบรรลุเป็นเซียนบนสวรรค์ !”

กล่าวจบอาวุโสทั้งสองคนของนิกายกระบี่ฟ้าก็หัวเราะหึๆในลำคอ

สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยสีสันแห่งชัยชนะ

ส่วนใบหน้าของมู่อวิ๋นไห่และชูไฮว่ซานกลับกลายเป็นเย็นชาปั้นยาก

มู่อวิ๋นไห่ขมวดคิ้วและกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า

“ข้าขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับพวกเจ้าแล้ว

ให้ศิษย์ของพวกเราพิสูจน์ให้เห็นกับตาเองก็แล้วกัน !”

จากนั้นมู่อวิ๋นไห่ก็สะบัดปลายแขนเสื้อด้วยความฉุนเฉียวและเดินไปรวมกลุ่มกับพวกฮั่นเฉียวเซิง

ผู้อาวุโสของนิกายกระบี่ฟ้าก็กลับไปยังกลุ่มของตนเองเช่นกัน

เหลือเพียงศิษย์ของแต่ละฝ่ายกับครูฝึกและอาวุโสฝ่ายนอกเท่านั้น

ชูไฮว่ซานและอาวุโสต่งของนิกายกระบี่ฟ้าจะเป็นประธานร่วมกันในการประลองหลงซานปีนี้

อาวุโสถังเริ่มพูดก่อนด้วยเสียงอันดัง

มันอธิบายเกริ่นถึงต้นกำเนิดและความสำคัญของภูเขามังกร

หลังจากที่มันพูดจบ

ชูไฮว่ซานก็ประกาศกฏหลักที่สำคัญๆด้วยเสียงที่ดังกึกก้องเช่นกัน  กล่าวสรุปอย่างรวบรัด

ครั้งนี้เป็นการประลองแบบชนะสองในสามและห้ามใช้สัตว์อสูร

เว้นเพียงการทำให้คู่ต่อสู้ถึงแก่ความตาย

การบาดเจ็บพิกลพิการใดๆสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้นโดยไม่มีการกล่าวโทษกันก่อนที่อีกฝ่ายจะประกาศยอมแพ้

เมื่อชูไฮว่ซานประกาศจบ

ฮั่งเชินก็หัวเราะหึๆ ดวงตาเปล่งรัศมีอันตรายออกมาและจับจ้องมองไปที่จี้เทียนซิง

จี้เทียนซิงคาดเดาว่าวันนี้ฮั่งเชินคงไม่ออมมือแน่

แววตาของมันเผยให้เห็นถึงเจตนาประทุษร้ายของเขาอย่างชัดแจ้ง

แต่ทว่า

จี้เทียนซิงก็ยังคงสีหน้าเรียบเฉยราวกับไร้ความรู้สึก

ตั้งแต่วินาทีที่ตัดสินใจเข้าร่วมประลอง

เขาคิดถึงผลที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดเอาไว้แล้ว

ในเวลาเดียวกันอาวุโสต่งก็ประกาศเสียงดังว่า

“การประลองหลงซานเริ่มขึ้นแล้ว !”

“ทั้งสองฝ่ายโปรดเตรียมตัวให้พร้อมและเลือกผู้ประลองคนแรกมาสู่เวทีได้เลย

!”