ตอนที่ 96

ภารกิจที่เป็นไปไม่ได้

ฮั่นเฉียวเซิงยังคงอยู่บนแท่นสูงเพื่อคอยบอกกฎเกณฑ์และผลประโยชน์ต่างๆที่ศิษย์ทุกคนจะได้รับจากหอยุทธ์ฟงอวิ๋น

จี้เทียนซิงที่สงบเสงี่ยมมาตลอดกลับรู้สึกตื่นตัวทันทีหลังจากได้ยินชื่อคุ้นหู

ลู่หมิงหยาง

!

เขาย่อมจดจำได้ชัดเจนเพราะมันเพิ่งผ่านมาไม่กี่วัน   ที่เมืองเฟิงหยางมีชายหนุ่มสูงศักดิ์หน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่งมาติดพันจี้เค่อและต้องการฆ่าคนชิงสมบัติจากหอประมูล  คนผู้นั้นก็มีนามว่าลู่หมิงหยาง

หากไม่ใช่เรื่องบังเอิญนี่นับเป็นข่าวร้ายแน่นอน...

เขากับเนี่ยห่าวถูกลู่หมิงหยางโจมตี

ซึ่งคนผู้นี้ไม่เพียงแค่เป็นองค์ชายคนโตของแคว้นชางเฟิงแต่ยังเป็นศิษย์สายในของนิกายพันธมิตรสวรรค์อีกด้วย

!

เนื่องจากเป็นศิษย์ร่วมนิกายเดียวกัน

พวกเขาทั้งหมดย่อมได้เผชิญหน้ากันในอนาคต ไม่ช้าก็เร็ว

จี้เทียนซิงไม่สงสัยเลยว่าหากลู่หมิงหยางรู้ว่าเขากับเนี่ยห่าวอยู่ที่นี่ มันต้องดำเนินการตอบโต้เป็นแน่

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่กลัวอีกฝ่าย

แต่คนผู้นี้ย่อมเป็นภัยคุกคามและต้องสร้างปัญหาให้ปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้จี้เทียนซิงก็หันหน้าไปมองเนี่ยห่าวที่อยู่ไม่ไกล และอีกฝ่ายก็หันมามองเขาด้วยสีหน้าซับซ้อนเช่นกัน

เห็นได้ชัดว่าเนี่ยห่าวก็ตระหนักถึงปัญหานี้

หลังจากนั้นไม่นานฮั่นเฉียวเซิงก็กล่าวจบและเดินนำทางทุกคนออกจากลานกว้างของซินหลานหยวนเพื่อมุ่งหน้าไปยังหอฝึกยุทธ์ฟงอวิ๋น

………..

หอยุทธ์ฟงอวิ๋นเป็นสถานที่พิเศษสุดสำหรับศิษย์สายนอก

ซึ่งมีเพียงจอมยุทธ์อัจฉริยะเท่านั้นถึงจะได้สิทธิ์มาฝึกฝนที่นี่

มันตั้งอยู่ตรงกลางเขาทางด้านซ้ายของจัตุรัสใหญ่

มันเป็นสถานที่ที่กว้างขวางและเงียบสงบ

ระหว่างทางมีศิษย์สาวกมากมายที่จ้องมองไปยังศิษย์ผู้มาใหม่

โดยเฉพาะอย่างยิ่งจี้เทียนซิงและเนี่ยห่าวถูกจับตามองเป็นพิเศษเนื่องจากทั้งสองเป็นอัจฉริยะที่อายุน้อยมาก

ซึ่งโดดเด่นสะดุดตากว่าคนอื่นๆ

ที่มุมของจัตุรัสกว้างมีชายหนุ่มอาภรณ์ขาวยืนอยู่

คนผู้นี้ร่างสูงโปร่งดูแข็งแกร่ง ใบหน้าหล่อเหลาเด็ดเดี่ยว

แต่ทว่าดวงตาของมันกลับกระด้างเย็นชาดั่งน้ำแข็ง  มันจ้องมองไปที่จี้เทียนซิงที่อยู่ในบรรดาศิษย์ใหม่

เมื่อมันเห็นว่าจี้เทียนซิงเดินติดตามฮั่นเฉียวเซิงเดินผ่านจัตุรัสไปยังหอยุทธ์ฟงอวิ๋น

ดวงตาของมันก็เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าอย่างรุนแรง

มันกำหมัดแน่นและพ่นลมหายใจออกมาอย่างโกรธแค้นและคำรามแผ่วเบาว่า

“จี้เทียนซิง !  เดิมทีวันนี้ควรจะเป็นวันที่ข้าได้พบหน้าญาติ ข้ารอคอยนางที่นี่ถึงสามปี

แต่เดรัจฉานอย่างเจ้ากลับกล้าสังหารญาติผู้น้องของข้า  เจ้าต้องตายไร้ที่กลบฝัง!”

เมื่อชายหนุ่มชุดขาวเอ่ยถึงเรื่องนี้

ในใจก็ปรากฏร่างเงาอันสดใสงดงามของหลิงหยุนเฟย

สีหน้าของมันหดหู่สลดเศร้า เพลิงโทสะโหมกระหน่ำในดวงตา

แม้กระทั่งจี้เทียนซิงและคนอื่นๆเดินผ่านจัตุรัสกว้างไปแล้ว

ชายหนุ่มชุดขาวก็ยังคงยืนนิ่งและจ้องเงาหลังของอีกฝ่ายไม่ยอมจากไปไหน

ในเวลานี้เองก็มีศิษย์สายในสวมชุดขาวผู้หนึ่งเดินตรงไปหามันและกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่เจี้ยนอวี้ ท่านมาทำอะไรที่เขตนอก ? ท่านกำลังมองหาใครหรือ?"

ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าเจี้ยนอวี้รั้งสายตากลับมาและถอนหายใจพลางกล่าวกับอีกฝ่ายด้วยความโศกเศร้าและโกรธแค้น

“ก็แค่แวะมาดูหนังหน้าศิษย์ใหม่”

เจี้ยนอวี้ตอบสั้นๆและหมุนกายจากไป

......

ฮั่นเฉียวเซิงเดินเข้าไปในหอยุทธ์ฟงอวิ๋นพร้อมกับจี้เทียนซิงและคนอื่นๆ

พวกเขาเดินผ่านบ้านหลังหนึ่งและเข้าไปในห้องโถงใหญ่

ภายในห้องโถงใหญ่ที่งดงามมีผู้ดูแลสวมชุดดำยืนรอคอยอยู่

หลังจากการแนะนำของฮั่นเฉียวเซิง

พวกเขาจึงทราบว่าผู้ดูแลชุดดำคนนี้นามว่าตู้หวู่ ซึ่งเป็นผู้ช่วยของฮั่นเฉียวเซิง

นับจากนี้ไปการฝึกฝนบ่มเพาะของรุ่นเยาว์ทั้งสิบจะอยู่ภายใต้การฝึกสอนของฮั่นเฉียวเซิงและตู้หวู่

หลังจากทุกคนคารวะทักทายเสร็จแล้ว

ตู้หวู่ก็แจกจ่ายอาภรณ์สีน้ำเงินและคัมภีร์สิบเล่มให้กับทุกคน

อาภรณ์สีน้ำเงินสิบชุดก็คือเครื่องแบบของนิกาย

และคัมภีร์ทั้งสิบเล่มก็คือเคล็ดวิชาของสำนัก, เคล็ดวิชาฉิงซ่ง

จี้เทียนซิงได้สังเกตมาก่อนหน้านี้แล้วจึงเข้าใจว่า

ศิษย์สายนอกจะสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงิน ศิษย์สายในสวมเสื้อคลุมสีขาว

ส่วนเสื้อคลุมสีดำเป็นเหล่าผู้ดูแลหรือครูฝึก

สีสันที่ต่างกันของอาภรณ์แสดงให้เห็นถึงตัวตนและฐานะที่แตกต่างกัน สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกๆในใจ

สมแล้วที่เป็นนิกายที่มีประวัติความเป็นมานับพันปีๆ มันเต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ข้อบังคับมากมาย

จากนั้นตู้หวู่ก็แจกจ่ายที่พักให้กับทุกคน

ด้วยความที่หอยุทธ์ฟงอวิ๋นนั้นกว้างใหญ่และครอบคลุมพื้นที่นับกิโล บ้านแต่ละหลังจึงมีขนาดใหญ่โตเกือบเท่าจวนตระกูลจี้และมีห้องหับหลายร้อยห้องสำหรับให้ผู้คนอยู่อาศัยได้โดยไม่แออัด

ดังนั้นศิษย์แต่ละคนจะมีห้องส่วนตัวที่แยกออกจากกัน

และแต่ละห้องนั้นก็จะมีห้องลับสำหรับเอาไว้ฝึกฝนตั้งอยู่ด้วย

ซึ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ศิษย์ทั่วไปจะไม่ได้รับ

หลังจากที่ทุกคนเข้าใจแล้ว

พวกเขาก็เปลี่ยนไปสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินและเดินต่อไปที่ห้องโถงหลัก

เมื่อทุกคนมาถึง

ฮั่นเฉียวเซิงก็ประกาศเรื่องสำคัญอย่างเคร่งขรึม

“จดจำไว้ให้มั่น

หอยุทธ์ฟงอวิ๋นของพวกเราเป็นอันดับหนึ่งของฝ่ายนอก

ที่นี่คือศูนย์รวมอัจฉริยะและบรรดาหัวกะทิที่แข็งแกร่งที่สุด

พวกเรามีกันเพียงสิบคนเท่านั้นซึ่งพวกเจ้าจะได้รับทรัพยากรและการดูแลที่ดีที่สุดในฝ่ายนอก

แต่พวกเจ้าก็จะต้องรับภาระอันหนักหน่วงและกดดันมากที่สุดเป็นเงาตามตัว !”

“ที่จริงพวกเจ้ามาช้าไปสักหน่อย

ตอนนี้เหลือเวลาอีกเพียงครึ่งปีสำหรับเทศกาลใหญ่

หากใครก็ตามเข้าถึงเขตแดนเชื่อมลมปราณได้ภายในครึ่งปีนี้ก็จะมีสิทธิ์ได้รับเลือกเป็นศิษย์สายใน

!”

“ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการประเมินของส่วนในจะมีขึ้นทุกๆสองปี

หากพวกเจ้าพลาดการประเมินครั้งนี้ก็ต้องรอไปอีกสองปี !”

หลังจากฟังคำพูดของฮั่นเฉียวเซิง

จี้เทียนซิงกับเนี่ยห่าวและคนอื่นๆต่างก็หน้าถอดสีพลางขมวดคิ้วแน่น

เห็นได้ชัดว่าภารกิจนี้นับว่ายากเย็นเกินไปและทำให้ทุกคนรู้สึกกดดันอย่างมาก

!

เนี่ยห่าวลังเลเล็กน้อยจากนั้นประสานมือถามฮั่นเฉียวเซิงว่า

“เรียนถามครูฝึกฮั่น  ถึงแม้พวกเราจะเป็นอันดับหนึ่งจากหลายๆดินแดน

แต่ตอนนี้ความแข็งแกร่งของพวกเราทุกคนอย่างมากก็ไม่เกินเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่

7  เช่นนี้จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะตัดผ่านไปถึงเขตแดนเชื่อมลมปราณภายในหกเดือน

?”

ฮั่นเฉียวเซิงหรี่ตาลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“สิ่งที่เนี่ยห่าวพูดมา

เป็นสิ่งที่อยู่ในใจพวกเจ้าทุกคนใช่หรือไม่ ?”

ทุกคนพยักหน้าและคิดว่าในใจว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด

ดวงตาแหลมคมของฮั่นเฉียวเซิงกวาดมองรุ่นเยาว์ทั้งสิบและเผยอยิ้มมุมปากราวกับหยอกล้อ “การทะลวงด่านจากต้นกำเนิดแท้จริงไปยังเขตแดนเชื่อมปราณภายในครึ่งปีนับว่าเป็นไปไม่ได้สำหรับศิษย์สาวกทั่วไป

แต่อย่าลืมว่าพวกเจ้าคืออันดับหนึ่งจากทุกๆแว่นแคว้น !  อีกทั้งหอยุทธ์ฟงอวิ๋นก็จะมอบทรัพยากรและแนวทางในการบ่มเพาะที่ดีที่สุดให้พวกเจ้าตลอดหกเดือนนี้

!”

“หากได้รับการดูแลขนาดนี้แล้วพวกเจ้ายังเข้าถึงเขตแดนเชื่อมปราณไม่ได้

มันก็เป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเจ้าเป็นเพียงคนธรรมดา

!  ไม่คุ้มค่าที่นิกายจะสูญเสียเวลาและทรัพยากรไปชุบเลี้ยงให้สิ้นเปลือง

!”

เมื่อได้ยินคำพูดแทงใจดำเหล่านี้แล้ว

อัจฉริยะทุกคนก็ก้มหัวลงเล็กน้อยและดวงตาแดงก่ำ

ในเวลาเดียวกันทุกคนก็กำหมัดแน่นและลอบสาบานว่าจะต้องตัดผ่านไปยังเขตแดนเชื่อมปราณให้สำเร็จภายในครึ่งปี !

เมื่อฮั่นเฉียวเซิงเห็นว่าไม่มีใครรู้สึกท้อถอยหดหู่

แต่มีสีหน้าเหมือนได้รับแรงบันดาลใจให้คิดต่อสู้ เขาก็พยักหน้าเล็กน้อยและเผยรอยยิ้มอิ่มเอมใจพลางกล่าวต่อไปว่า

“หลังจากผ่านไปครึ่งปี หอยุทธ์ฟงอวิ๋นจะปิดลงและไม่ฝึกสอนศิษย์คนใดอีกต่อไป

ในช่วงเวลานั้นหากศิษย์ที่นี่คนใดยังมีพลังไม่ถึงเขตแดนเชื่อมปราณและไม่ผ่านการประเมินจากส่วนใน  ศิษย์ผู้นั้นจะถูกส่งตัวไปยังหอยุทธ์เจี้ยงหลิวหรือไม่ก็หอยุทธ์ไป๋ลู่

เพื่อฝึกฝนตามมีตามเกิด”

“ผู้ที่ถูกลดขั้นส่งตัวไปยังหอทั้งสองนี้คงพอมองออกกระมังว่าจะต้องถูกเยาะเย้ยถากถางถึงเพียงใด

? ”

“ดังนั้นข้าหวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะสามารถเข้าถึงเขตแดนเชื่อมปราณและผ่านการประเมินเข้าเป็นศิษย์สายในได้สำเร็จ

ไม่เพียงเท่านี้

นับจากนี้ไปพวกเจ้าจะได้รับการทดสอบเป็นประจำทุกเดือนในช่วงครึ่งปีอีกด้วย”