ตอนที่ 106

บัญชีนี้จะให้เก็บที่ใคร

?!

อย่างไรก็ตาม, ในขณะที่จี้เทียนซิงหันไปมองรอบๆ คนผู้นั้นก็หายวับไปเสียแล้ว

แต่กลับมีคลื่นกระบี่สามสายพุ่งออกมาจากส่วนลึกของตำหนัก มันเล็งเป้ามายังไหล่ซ้าย

ไหล่ขวาและหน้าผากของเขาด้วยพลังและความเร็วที่น่าตระหนก

จี้เทียนซิงหน้าถอดสีและกระโดดถอยหนีไปไกลถึงสี่เมตร

เขาต้องรีดเค้นพลังทั้งหมดและความเร็วสุดชีวิตกว่าจะรอดจากคลื่นกระบี่สังหารทั้งสามสายนั้นมาได้

ถึงกระนั้นก็ยังมีคลื่นกระบี่ที่เข้าเป้าและตัดผ่าแขนเสื้อของเขาจนขาดแหว่ง จี้เทียนซิงกระโดดเข้าไปในสนาม

เท้าของเขายังไม่ทันสัมผัสพื้นดีจึงยืนได้อย่างไม่มั่นคงนัก  แต่คลื่นกระบี่อีกสามสายก็โจมตีมาอีกคำรบ

“ฟุ่บ

ฟุ่บ  ฟุ่บ  !”

ชายหนุ่มต้องใช้พลังชีวิตอย่างมากเพื่อหนีอย่างสิ้นหวังจากการกระบวนท่าสังหารของคลื่นกระบี่ที่หมายเอาชีวิต

“ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ !”

คลื่นกระบี่ก่อนหน้าเพิ่งจะหายไปไม่นานก็ปรากฏคลื่นกระบี่อีกสามสาย

!  นอกจากนี้ทั้งมุมและองศาในการจู่โจมก็ยิ่งแพรวพราวมากขึ้น

แถมยังรวดเร็วยิ่งขึ้นอีกเล็กน้อย

จี้เทียนซิงไร้หนทางตอบโต้

เขาทำได้เพียงกระโดดและกลิ้งหลบไปมาในสนามอย่างทุลักทุเลเท่านั้น

ในช่วงเวลาสั้นๆเขาก็ถูกจู่โจมด้วยคลื่นกระบี่ไปแล้วมากกว่า

300 สายจนไม่มีโอกาสได้พักหายใจ

ในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไปก็ไม่มีคลื่นกระบี่ใดๆที่เปล่งประกายออกมาจากในส่วนลึกของตำหนักอีก

จี้เทียนซิงรอดพ้นจากการถูกลอบสังหาร

เขาทรุดตัวนั่งลงกับพื้นด้วยใบหน้าซีดเซียวและหอบหายใจอย่างรุนแรง

รูปร่างหน้าตาของเขาดูไม่จืด

เหงื่อโทรมกายและผมเผ้ารุงรัง เสื้อคลุมสีฟ้าของเขาไม่เพียงแค่ชุ่มเหงื่อเท่านั้นแต่ยังเว้าแหว่งหลายสิบแห่งด้วยคลื่นกระบี่ที่กวาดผ่าน   สารรูปของเขาดูเหมือนขอทาน

ในช่วงเวลาที่ผ่านไปนั้นเขาพูดได้เต็มปากว่าราวกับวิ่งตะลุยดงกระบี่

แทบตกตายไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

เขาเกือบถูกคลื่นกระบี่เชือดเฉือนหลายครั้งหลายครา

จนอาจตกตายได้ในทันที

เมื่อถึงตอนนี้

ในส่วนลึกของตำหนักก็มีเงาร่างผอมบางเดินออกมา

ซึ่งคนผู้นั้นก็คือเซี่ยงหวู่จี้และเฉียนเยวี่ยที่กำลังกระพือปีกบินอยู่ข้างๆ

เมื่อจี้เทียนซิงได้เห็นและรับรู้ว่าผู้ลงมือคือเซี่ยงหวู่จี้

เขาก็คำรามด้วยความโกรธว่า "ผู้อาวุโส ! ข้าทำความสะอาดตำหนักตามข้อตกลงอยู่มิใช่หรือ

ทำไมท่านถึงได้ลงมือกับข้าเช่นนี้ !?”

เมื่อตอนที่คลื่นกระบี่นับร้อยโจมตีใส่เขาอย่างไม่หยุดหย่อน

เขาคาดเดาได้แล้วว่ามีเพียงผู้เดียวที่กล้าเล่นใหญ่ขนาดนี้กลางวันแสกๆ  นั่นก็คือชายชราหนวดขาวผู้นี้นั่นเอง !

เซี่ยงหวู่จี้ไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอนและเขาก็ตอบโต้ความโกรธกริ้วของจี้เทียนซิงด้วยความโกรธเช่นกัน

“ไอ้หนูน้อย เจ้าคิดว่าเพียงแค่กวาดพื้นทำความสะอาดก็ชดเชยความผิดที่เจ้าก่อได้แล้วหรือไง

? โลกสวยเกินไปแล้ว !”

“เมื่อคืนนี้สัตว์อสูรตัวน้อยของเจ้าได้ขโมยผลวิญญาณที่ตาแก่ผู้นี้เก็บสะสมไว้

! มันมีผลไม้สีชาด, ผลอัคคี, ผลวิญญาณน้ำแข็ง, ผลมังกรและลูกพีชวิญญาณ…”

“ผลไม้ล้ำค่าทั้งหมด 26 ชนิดที่หาได้ยากยิ่ง ลงท้องเจ้าสัตว์ตัวน้อยนี้ไปหมดแล้ว !   สารเลวน้อย บัญชีนี้เจ้าจะให้ข้าคิดกับใคร

?”

เซี่ยงหวู่จี้กล่าวชื่อผลไม้วิญญาณทั้งหมดพลางเหยียดนิ้วชี้ไปที่เฉียนเยวี่ย

เฉียนเยวี่ยได้ยินเช่นนั้นก็หันขวับไปมองหน้าเซี่ยงหวู่จี้ทันที

มันอ้าปากค้างและตกตะลึงพร้อมกับเผยสีหน้าบิดเบี้ยว

จี้เทียนซิงก็หน้าถอดสี  เขากรีดร้องใส่เฉียนเยวี่ย “เฉียนเยวี่ย ! เจ้าสร้างปัญหาให้ข้าไม่หยุดหย่อน

ทำไมเจ้าต้องขโมยผลไม้ของผู้อาวุโสด้วยเล่า !"

“เจ้าขโมยของล้ำค่ามากมายเช่นนี้ข้าไม่มีปัญญาตามล้างตามเช็ดชดใช้ให้เจ้าไหวหรอก

!”

เฉียนเยวี่ยหันหน้ามามองจี้เทียนซิงพลางโบกอุ้งเท้าน้อยๆไปมาและกล่าวด้วยน้ำเสียงกระวนกระวายว่า

“สหายจี้ เจ้าฟังก่อน เจ้าต้องเชื่อข้านะ ! นี่ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด มันเป็นเพราะ......”

เฉียนเยวี่ยพูดยังไม่จบก็ถูกเซี่ยงหวู่จี้ขัดจังหวะ

เขาจ้องเฉียนเยวี่ยตาเขม็งและคำรามด้วยความโกรธ “อธิบายอะไร

? เจ้าคิดจะอธิบายอะไรอีก ?!”

“จิ้งจอกน้อย เจ้าพูดมาตรงๆ

เจ้าผลไม้วิญญาณไปเมื่อคืนนี้ใช่หรือไม่ ?”

เฉียนเยวี่ยขมวดคิ้ว

ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความคับข้องใจ มันเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นก็พยักหน้ากล่าวว่า

“ใช่... ข้ากินผลไม้พวกนั้นไปจริง แต่ว่าข้า....”

"แต่อะไร ? ไม่มีแต่ กินก็คือกิน !”

เซี่ยงหวู่จี้โบกมือขัดจังหวะอีกครั้ง  จากนั้นหันหน้ามาจี้เทียนซิงและตะโกนว่า

“เด็กสารเลว เจ้าได้ยินชัดหรือยัง ?! จิ้งจอกตัวน้อยของเจ้ายอมรับสารภาพแล้ว เจ้าว่ามา เจ้าจะชดใช้ค่าเสียหายให้ข้าอย่างไร !”

“นี่…”  จี้เทียนซิงเถียงไม่ออก

เขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ใบหน้าหดหู่ซีดเซียว

ในใจโลดแล่นไปด้วยความคิดหาหนทางอยู่มากมาย

อย่างไรก็ตาม

ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ เฉียนเยวี่ยทำผิดจริงๆ เขาที่เป็นเจ้าของก็ต้องรับผิดชอบ

สุดท้ายเขาต้องข่มความโกรธไว้ในใจและกล่าวกับเซี่ยงหวู่จี้ว่า “ผู้อาวุโส ผลไม้วิญญาณเหล่านั้นล้ำค่ายิ่ง

ผู้เยาว์ไม่มีปัญญาชดใช้

ดังนั้นข้าขอให้ท่านยกโทษให้มันเถิด ข้าจะยอมรับผิดทุกอย่างแทนมันเอง”

ดวงตาของเซี่ยงหวู่จี้ส่องประกายด้วยรอยยิ้ม

เพียงแต่ฉากหน้ายังคงวางสีหน้าโกรธกริ้วและตะโกนว่า “เหอะ ! นับว่าเจ้ายังเป็นเด็กเหลือขอที่มีคุณธรรม !”

“แน่นอนว่าตาแก่ผู้นี้ต้องจัดการกับเจ้า  เจ้าจะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก”

“มากับข้า !”

หลังจากกล่าวจบเซี่ยงหวู่จี้ก็ฉุดลากเฉียนเยวี่ยและหันหลังออกจากลานกว้าง

จี้เทียนซิงทำได้เพียงเดินตามไปอย่างรวดเร็วและมุ่งหน้าไปยังลานกว้างที่สามของตำหนักไท่อัน

ลานกว้างที่สามนั้นกว้างใหญ่กว่าลานกว้างด้านหน้าที่ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นและใบไม้  เซี่ยงหวู่จี้ยืนอยู่ที่ประตูลานกว้างและชี้ไปที่หลังคาของบ้านหลังหนึ่งทางทิศตะวันตกและกล่าวว่า

“สมุนไพรที่ตากอยู่บนหลังคาล้วนแต่ใช้ในการหลอมโอสถของตาแก่ผู้นี้”

“ก่อนฟ้ามืดเจ้าต้องนำสมุนไพรที่แห้งแล้วไปใส่ในตู้เก็บโอสถที่ห้องเก็บโอสถของข้า

!”

เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย

จี้เทียนซิงก็มองไปบนหลังคาทางทิศตะวันตก เขาเห็นว่าบนหลังคาบ้านทางทิศตะวันตกนั้นเต็มไปด้วยสมุนไพรหลากสีสัน

สมุนไพรนับไม่ถ้วนวางเรียงรายอยู่บนหลังคา

กว้างกว่าสามเมตรและยาวกว่า 30 เมตร มันดูเหมือนผ้าห่มหลากสีขนาดใหญ่

จี้เทียนซิงหน้าถอดสีและขบคิดในใจลับๆว่า

“บนนั้นมีสมุนไพรมากมาย... อย่างน้อยก็นับหมื่นต้น...

อีกราวๆ 4 ชั่วโมงก็มืดแล้ว ข้าจะทำเสร็จได้อย่างไร ?”

เซี่ยงหวู่จี้แสร้งทำเป็นเหมือนมองไม่เห็นสีหน้าของจี้เทียนซิง

เขาตะโกนต่อไปว่า “เจ้าหนู ไม่เพียงแค่เก็บมันเท่านั้น

แต่ห้ามทำผิดพลาดด้วย"

“มิฉะนั้นข้าจะไม่ยกโทษให้ !”

หลังจากกล่าวจบเซี่ยงหวู่จี้ก็ฉุดลากเฉียนเยวี่ยเข้าไปนั่งจิบชาในห้องโถง

จากนั้นก็หลับตา

จี้เทียนซิงเผยรอยยิ้มที่หดหู่

เขาทำได้เพียงต้องทำงานตามคำสั่งอย่างซื่อสัตย์  เขาเดินไปที่บ้านทางทิศตะวันตกของลานกว้างและมองขึ้นไปบนหลังคาในขณะที่ขมวดคิ้วเป็นปม

บ้านเรือนในโซนนี้มีบรรยากาศเรียบง่าย

มันกว้างขวางและหลังคาบ้านสูงจากพื้นดินประมาณ 5 เมตร

ด้วยความแข็งแกร่งของเขา

เขาสามารถกระโดดขึ้นไปบนหลังคาได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่ว่าเขาต้องเก็บสมุนไพรนับหมื่นต้น  หากกระโดดไปมาขึ้นลงหลายครั้งเช่นนี้กระเบื้องบนหลังคาจะทนน้ำหนักไหวได้อย่างไร ?

ดังนั้นจี้เทียนซิงจึงเดินไปในบ้านเพื่อหาบันไดไม้

หมายจะใช้ในการปีนขึ้นปีนลง

แต่ในขณะนั้นเอง

เซี่ยงหวู่จี้ผู้นั่งจิบชาอยู่ในห้องโถงก็ตะโกนออกมาโดยไม่มองว่า “เจ้าหนู เจ้าเป็นถึงจอมยุทธ์เขตแดนต้นกำเนิดแท้จริง

จะขึ้นหลังคาที่สูงแค่ 5 เมตรยังต้องหาบันไดอีกหรือ

ไม่รู้สึกขายหน้าหรือไง ?”

“แล้วก็เจ้าไม่ต้องเสียเวลาหาหรอก ในตำหนักไท่อันของตาแก่ผู้นี้ไม่มีบันไดไม้เพราะมันไม่จำเป็นต้องใช้”

เมื่อได้ยินเช่นนี้จี้เทียนซิงก็ขมวดคิ้วทันที

เขาทำได้เพียงเดินกลับไปและกระโดดขึ้นไปบนหลังคา

แต่ในขณะที่เขาก็กระโดดขึ้นไปบนอากาศ

เสียงเย็นชาที่ดูโกรธกริ้วของเซี่ยงหวู่จี้ก็ดังลอดมาจากในห้องโถงอีกครั้ง

“เจ้าหนู เบาๆด้วย !”

“หากเจ้ากล้าทำกระเบื้องหลังคาร้าวละก็

ตาแก่ผู้นี้จะทุบตีเจ้าอีกรอบ !”

เมื่อจี้เทียนซิงที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศได้ยินประโยคนี้ใบหน้าก็ของเขาก็กลายเป็นสีเขียวคล้ำ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่กล้าที่จะระเบิดอารมณ์ออกมา เขาทำได้เพียงผ่อนแรงยามเหยียบย่ำลงบนกระเบื้องหลังคา

จากนั้นก็ถ่ายเทพลังลมปราณทั่วร่างเพื่อทำให้กระเบื้องไม่เสียหายจากน้ำหนักตัวของเขา

เขาต้องโคจรพลังลมปราณอยู่ตลอดเวลาในขณะที่เดินไปรอบๆเพื่อเก็บเกี่ยวสมุนไพรมากมายบนหลังคาบ้าน