ตอนที่ 371

ตอนที่

371 ศิษย์รับใช้ผู้เคียดแค้น

ฉู่เทียนเซิงทราบมานานแล้วว่าสุสานโบราณในภูเขามังกรนั้นต้องเป็นสุสานของยอดฝีมือท่านใดท่านหนึ่งเมื่อหนึ่งพันปีก่อน

หากได้มีวาสนาเข้าไปในนั้น

ได้รับมรดกตกทอดหรือสมบัติวิเศษใดๆย่อมสามารถเพิ่มขีดความสามารของนิกายได้เป็นอย่างมาก

ด้วยเหตุนี้มันจึงส่งผู้อาวุโสและผู้ดูแลหลายคนไปเฝ้าคุ้มกันสุสานทั้งกลางวันและกลางคืน

แต่สิ่งที่มันไม่คาดคิดก็คือสุสานโบราณแห่งนั้นกลับเป็นสุสานที่เก็บสมบัติตกทอดของเทพกระบี่

!

ถึงแม้มันจะเป็นเพียงสุสานปลอม แต่สมบัติของเทพกระบี่ภายในนั้นที่จี้เทียนซิงได้รับมาก็มีส่วนทำให้เขาได้เกิดใหม่และก้าวหน้าเป็นอย่างมาก

นี่เป็นเรื่องราวน่าประหลาดใจที่คาดไม่ถึง !

แน่นอนว่าฉู่เทียนเซิงเคยได้ยินตำนานเล่าขานของเทพกระบี่

อีกทั้งยังรู้ซึ้งถึงพลังของบุรุษในตำนานผู้นั้น

จี้เทียนซิงได้รับสมบัติของเทพกระบี่

สิ่งนี้ย่อมเป็นพรอันประเสริฐของนิกายพันธมิตรสวรรค์ !

ฉู่เทียนเซิงจ้องมองไปจี้เทียนซิงด้วยสายตาฮึกเหิมพลางกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า

“เทียนซิง

เรื่องราวที่เกิดขึ้นนับเป็นข้อพิสูจน์ว่านี่คือโชคชะตาของเจ้า

เป็นภาระหน้าที่บางอย่างที่สวรรค์ลิขิตไว้

เจ้าควรจะต้องรักษามันให้ดีและพยายามฝึกฝนให้หนักขึ้น !”

"เจ้า  หยุนเหยาและเอี๋ยนเอ๋อร์ล้วนเป็นศิษย์ของข้า

เป็นเหล่าศิษย์ที่ข้าโปรดปรานที่สุด หลังจากข้าสละตำแหน่งในภายภาคหน้า

พวกเจ้าจะต้องรับผิดชอบและสนับสนุนรากฐานนับพันปีของนิกายพันธมิตรสวรรค์ให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป”

"จงจำไว้ว่าสองไหล่ของเจ้าแบกรับความคาดหวังของข้าและผู้คนนับพัน

ผู้ซึ่งจะกลายเป็นผู้นำของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ในอนาคต !"

จี้เทียนซิงพยักหน้าและกล่าวชัดถ้อยชัดคำ

“ท่านอาจารย์โปรดวางใจ

ศิษย์จะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวังขอรับ !"

"ดีมาก! "

ฉู่เทียนเซิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและกล่าวอย่างเริงร่าว่า

“เทียนซิง

หยุนเหยา พวกเจ้าทั้งสองคนเหนื่อยกันมามากแล้ว กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด"

"ศิษย์ขออำลา !"

จี้เทียนซิงและหยุนเหยาตอบรับคำโดยพร้อมเพรียง

หลังจากโค้งคารวะฉู่เทียนเซิง พวกเขาก็ผละจากห้องโถงตำหนักฉิงเทียน

ทั้งสองออกจากห้องโถงและเดินไปที่จัตุรัสพลางพูดคุยกันในระหว่างเดิน

ในช่วงเวลานี้เป็นยามรุ่งอรุณ

จัตุรัสกว้างใหญ่นั้นว่างเปล่าไร้ผู้คน

มีเพียงสายลมเบาบางและใบไม้ที่ร่วงหล่นไปตามแรงลม

หลังจากคลุกคลีอยู่ด้วยกันมาหลายครั้งหลายครา

ระยะห่างระหว่างจี้เทียนซิงและหยุนเหยาก็หดสั้นลง

พวกเขาเดินเคียงข้างกันอย่างสนิทสนมและเป็นกันเอง โดยไม่มีผู้ใดรู้สึกว่าผิดปกติหรือไม่เหมาะสม

และที่มุมของจัตุรัสด้านหลังรูปปั้นสูง มีเงาร่างของชายหนุ่มชุดเทาผู้หนึ่งที่จ้องมองเงาหลังของทั้งคู่ด้วยสีหน้าเศร้าสลด

ชายหนุ่มในชุดผ้าป่านสีเทาผู้นี้เห็นได้ชัดว่าเป็นศิษย์เบ็ดเตล็ด

ในมือซ้ายของมันถือไม้กวาดพื้นและถือผ้าขี้ริ้วไว้ในมือขวา

กำลังเช็ดถูทำความสะอาดฝุ่นบนรูปปั้น

ร่างกายของมันผอมซูบลงไม่น้อย

ใบหน้าที่เคยหล่อเหลากลายเป็นซีดเซียวคล้ายคนป่วย

บุรุษผู้นี้มิใช่ใครอื่นนอกจากไป๋หวู่เชิน !

นับตั้งแต่ที่มันพ่ายแพ้ให้แก่จี้เทียนซิงในการจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์

มันต้องทำตามข้อตกลงก่อนการประลอง

หลังจากรักษาอาการบาดเจ็บเรียบร้อยแล้วมันต้องถอดอาภรณ์ขาวของศิษย์ฝ่ายในและไปใส่ชุดผ้าป่านสีเทาของศิษย์รับใช้

เกือบหนึ่งเดือนแล้วที่มันเฝ้าทำความสะอาดจัตุรัสบนยอดเขาชื่อเซี่ยวและตำหนักใหญ่อีกหลายแห่งในทุกๆวัน

ในตอนนี้มันกำลังทำความสะอาดอยู่ ทันใดนั้นมันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยกันดังกระทบโสต

มันหันไปมองโดยอัตโนมัติและได้เห็นจี้เทียนซิงกับหยุนเหยาที่กำลังเดินพูดคุยกัน

เมื่อได้เห็นคนทั้งสองเดินเคียงข้างกันอย่างสนิทสนมราวกับคู่รักที่กำลังอยู่ในห้วงความรัก  สีหน้าของมันกลายเป็นซีดเผือด ดวงตาเปลี่ยนเป็นเย็นชาราวกับน้ำแข็ง

คนกระซิบในใจว่า

"ไม่ได้พบหน้ามันเพียงสองเดือน

เจ้าเด็กจี้เทียนซิงกลับเปลี่ยนแปลงราวกับเกิดใหม่ กลายเป็นคนละคน !”

การปรากฏตัวอันเจิดจรัสของจี้เทียนซิงทำให้มันรู้สึกละอายและน้อยเนื้อต่ำใจ

ความแข็งแกร่งและสถานะของจี้เทียนซิงทำให้มันต้องกลายเป็นศิษย์เบ็ดเตล็ดที่ทำได้เพียงต้องแหงนหน้ามองอีกฝ่าย

ไม่ว่ามันจะโกรธและอิจฉาเพียงใด มันก็ต้องยอมรับความจริง

จี้เทียนซิงและหยุนเหยายิ่งมายิ่งใกล้ชิดราวกับคู่สร้างคู่สมที่สวรรค์บรรจงสร้าง

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ใบหน้าที่โกรธของมันพลันบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ในทันที

ดวงตาเต็มไปด้วยเพลิงโทสะและเส้นเลือดฝอย คำรามออกมาว่า

"ไม่ ! ข้าไม่ยอม  หยุนเหยาเป็นของข้า !"

"จี้เทียนซิง

ไอ้ระยำชาติชั่ว ! เจ้าแย่งคนรักของข้า

ข้าไม่เอาเจ้าไว้แน่ !”

ไป๋หวู่เชินจ้องเขม็งไปที่จี้เทียนซิงอย่างไม่พอใจ

ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

ทั้งสองเดินคู่กันไปผ่านจัตุรัสโดยไม่ทันสังเกตเห็นไป๋หวู่เชิน,ศิษย์เบ็ดเตล็ดที่มุมจัตุรัส

ผู้ซึ่งหลบซ่อนตัวอยู่หลังรูปปั้น

หลังออกจากจัตุรัสหน้าตำหนัก

ทั้งสองก็หยุดเดินพร้อมกัน จี้เทียนซิงจ้องมองดวงหน้าอันงดงามของนางพลางพูดว่า “ศิษย์พี่ ข้าจะไปตำหนักไท่อัน

ไปเยี่ยมผู้อาวุโสเซี่ยงเสียหน่อย”

หยุนเหยาพยักหน้ากล่าวตอบว่า

“เจ้าไปเถอะ"

"ก็ได้ เช่นนั้นท่านกลับตำหนักไปพักผ่อนเถอะ

หลายวันมานี้ท่านคงเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย”

จี้เทียนซิงกล่าวจบก็โบกมือลาและหันหลังเดินจากไป

หลังจากแยกกัน

หยุนเหยาก็กลับไปที่ตำหนักเมฆขาวเพื่อพักผ่อนและฟื้นฟู

ส่วนจี้เทียนซิงลงจากยอดเขาชื่อเซียว

มุ่งหน้าไปยังตำหนักไท่อัน

เมื่อเขามาถึงประตูตำหนักไท่อันก็พบทาสกระบี่ใบ้กำลังทำความสะอาดใบไม้ที่ร่วงหล่นอยู่หน้าประตูตำหนัก

เมื่อมันได้เห็นจี้เทียนซิงในครั้งนี้ สีหน้าท่าทางของมันกลายเป็นตกตะลึงอย่างโง่งมอยู่ครู่ใหญ่

จากนั้นคนก็ฉีกยิ้มที่ดูแปลกประหลาดให้อีกฝ่ายพลางพยักหน้าอย่างเป็นกันเอง

จี้เทียนซิงกำหมัดคารวะทาสกระบี่และก้าวเท้าเดินข้าวธรณีประตู

เข้าไปในตำหนักไท่อัน

เมื่อเขาเข้าไปในลานที่สามก็ได้เห็นเซี่ยงหวู่จี้กำลังถือกาน้ำหยกขาว

รดน้ำต้นไม้และสมุนไพรในขณะที่ปากฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี

จี้เทียนซิงผุดยิ้มบางสายหนึ่งและกำหมัดคารวะอีกฝ่ายทันที

"คารวะผู้อาวุโสเซี่ยงขอรับ !"

เซี่ยงหวู่จี้หยุดรดน้ำและหันควับมามองอีกฝ่าย  รอยยิ้มเย้ยหยันอย่างหยอกเย้าผุดขึ้นบนใบหน้าชราของมันพลางกล่าวว่า

“ไอ้เด็กผี

เจ้ายังจำชื่อแซ่ข้าได้อีกหรือ ?”

“เอ๋.... ?”

จี้เทียนซิงเลิกคิ้วขึ้น

เผยรอยยิ้มสนุกสนานขึ้นพลางถามว่า

“พระอาจารย์ปู่* ท่านตำหนิที่ข้ามิได้มาเยี่ยมเยียนท่านนานแล้วใช่ไหมขอรับ

?”

(*คำนี้พระเอกใช้ว่า 老爷子

เหล่าเย่วจือ แปลได้ประมาณว่าพระผู้เฒ่า พระโพธิสัตว์เฒ่า

ใช้เรียกอีกฝ่ายที่ค่อนข้างสนิทกันแบบสุภาพ ออกแนวแซวๆแบบเป็นกันเอง)

เซี่ยงหวู่จี้กลอกตาอย่างขุ่นเคือง

วางกาน้ำในมือและหันหลังเดินสองมือไพล่หลัง เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย  เดินไปทางห้องโถงรับแขกพลางกล่าวว่า

"เด็กน้อยกลายเป็นเย่อหยิ่งเย็นชาราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิที่พัดผ่าน

มันตามติดสาวงามอย่างหยุนเหยาราวกับขนคิ้วของนาง

อีกไม่นานมันก็จะกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงไปทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเฉิน

โอบกอดสาวงามอย่างสุขีปรีดา   เฮ้อ.....

มันจะจำตาแก่ชั่วร้ายอย่างข้าได้อย่างไรหนอ...... "

น้ำเสียงของเซี่ยงหวู่จี้ฟังดูแปลกพิลึก

จี้เทียนซิงผุดยิ้มบางและเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในห้องโถงรับแขกพลางกล่าวหยอกเย้าว่า

“ท่านก็พูดไปได้  ท่านเอาแต่ปลูกต้นไม้สมุนไพร

ไม่ก็ปรุงยาอยู่ตลอดทั้งวัน ข้าจะกล้ามารวบกวนท่านได้อย่างไรเล่า ?”

"นอกจากนี้

ช่วงนี้ก็มีแต่เรื่องที่ข้าต้องสะสางและหนีไม่พ้น ผู้อาวุโส ท่านเป็นคนใหญ่คนโตและใจกว้างดั่งมหาสมุทร

โปรดอย่าได้โกรธเคืองไปเลยได้ไหม ?”

เซี่ยงหวู่จี้เอนกายนอนลงบนเก้าอี้หวาย

หยิบไหสุราสีเขียวออกมาจากแหวนมิติและจิบไปอึกหนึ่ง

จากนั้นแสยะยิ้มกรุ่มกริ่มกล่าวประชดว่า

"โฮ่

ไม่ได้เจอหน้ามาครึ่งเดือน ไอ้หนูเจ้ากลับมาปากเก่งอีกแล้วหรือ ? ช่างกล้านักนะที่มาสั่งสอนข้า”

จี้เทียนซิงหันเหหัวเรื่องอย่างรวดเร็วและกล่าวอย่างงุนงงว่า

“ไม่เจอหน้าครึ่งเดือนอะไรของท่าน

? ข้าไม่ได้มาตำหนักไท่อันสองเดือนแล้วต่างหาก"

เซี่ยงหวู่จี้มองตาขวางพลางแค่นเสียงเย็น

“เหลวไหล

! ครึ่งเดือนก่อนเจ้ายังนอนพะงาบๆเป็นปลาตายอยู่นี่เลย  ตาแก่อย่างข้านี่แหละที่ช่วยรักษาเจ้าอยู่ตั้งนาน  โดนชาวบ้านซัดหน้าหงายสลบไสลไปตั้งนานสองนาน จำไม่ได้

?”

" เอ่อ ...  เรื่องนั้น...."

จี้เทียนซิงจดจำได้ในทันทีและตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า

“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยเหลือข้าขอรับ”

"อย่าเพิ่งขัด

ข้ายังพูดไม่จบ !”

เซี่ยงหวู่จี้แค่นเสียงและกล่าวอย่างไม่พอใจต่อไปว่า

“ไอ้หนู

เจ้านี่มันบ้าบิ่นจริงๆ กล้าไปรับฝ่ามือของเกาอวี่  เจ้าไม่ตายก็จริง

แต่ข้าเนี่ยล่ะจะช็อคตายเพราะเจ้าแทน !”

"หลังจากหายดี

เจ้ากลับกระโจนเข้าไปหาทางทำลายมหาข่ายปราณในภูเขามังกร

รอดกลับมาได้ยังไม่เท่าไหร่แต่เด็กผีอย่างเจ้ากลับตัดผ่านไปยังขอบเขตปราณโอสถได้หน้าตาเฉย.....  โชควาสนาของเจ้านี่มันบัดซับเกินไปมั้ย ?"

จี้เทียนซิงจ้องมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มอบอุ่นและไม่กล่าวตอบโต้อันใด

เขารู้จักมักคุ้นกับนิสัยใจคอของเซี่ยงหวู่จี้เป็นอย่างดี

ตาเฒ่าผู้นี้ปากสุนัขไม่รับประทานแต่หัวใจอ่อนโยนยวบยาบดั่งเต้าหู้

หยุดไปครู่หนึ่งเซี่ยงหวู่จี้พลันกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า

"เจ้าอย่าได้ลืมว่าตนเองมีศักดิ์ฐานะใด เจ้าเป็นศิษย์เอกของประมุขนิกาย

เจ้าจะต้องสืบทอดตำแหน่งประมุขของนิกายอันดับหนึ่งอาณาจักรเทียนเฉินต่อไป !”

"ข้ากับอาจารย์เจ้าคาดหวังในตัวเจ้าไว้สูงมาก

สำหรับพวกเราความปลอดภัยของเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด พวกเราไม่อยากเห็นเจ้าตกอยู่ในอันตรายหรือประสบเภทภัยจนตกตายก่อนวัยอันควร”

"จำคำพูดของข้าเอาไว้

หากวันหนึ่งเจ้าต้องประสบเหตุที่เกี่ยวพันถึงชีวิต หนีไปให้ไกล  ไกลเท่าไหร่ได้ยิ่งดี

ปล่อยให้คนอื่นแก้ไขจัดการเองซะบ้าง ไม่ต้องออกหน้ารับแทนไปซะทุกเรื่อง !”

"คนอื่นเป็นเพียงก้อนกรวด

แต่เจ้าคือเพชรที่ยังไม่เจียรนัย !  ก้อนกรวดจะแตกสักกี่ก้อนก็ช่างหัวมัน

หาใหม่ได้ถมถืด แต่หากเพชรแตกขึ้นมา

ข้าจะไปงมหาเพชรล้ำค่าได้จากที่ไหนอีก ?”