ในตอนแรกที่หยุนเหยาทราบข่าวว่าองค์จักรพรรดินีและเทียนจือไปเยือนวังวิญญาณเมฆาของตระกูลหยุน
เพื่อแสดงความยินดีในงานวันเกิดครอบรอบสามร้อยปีของท่านย่านาง อีกทั้งได้ทราบความคิดในการเลือกคู่ครองของเทียนจือ สีหน้าของนางกลายเป็นเคร่งขรึมเล็กน้อย
ทว่าหลังจากได้ยินประโยคตามหลังจากคำพูดของมารดา
หยุนเหยาก็อารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อยและผุดยิ้มบางขึ้น
"ท่านแม่ยังคงเข้าใจและรักข้าที่สุด”
หยุนเหยาพึมพำกับตัวเอง หัวใจของนางรู้สึกอบอุ่นและอิ่มอกอิ่มใจ
หลังจากที่เสี่ยวหลิงเหนี่ยวบอกเล่าข้อความของนายหญิงหยุนหมดสิ้นแล้ว
มันก็หันไปมองหยุนเหยาและถามว่า “เหยาเหยา เจ้ามีอะไรจะฝากถึงมารดาเจ้าหรือเปล่า
?”
"มีแน่นอน” หยุนเหยายิ้มและพยักหน้า
จากนั้นนางก็เอ่ยเสียงราบเรียบว่า “ท่านแม่
ข้าอยู่ในอาณาจักรเทียนเฉินอย่างสุขสบายดี ท่านและท่านพ่อไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้"
"อีกไม่กี่วันเทียนจือจะมาถึงอาณาจักรเทียนเฉิน
หากมันยังตามพัวพันข้าอีก ข้าจะกล่าวกับมันให้ชัดแจ้ง ให้มันตัดความคิดนั้นทิ้งไปเสีย”
"ในปีนั้นที่ข้าออกจากวังวิญญาณเมฆา
ข้าอาศัยอยู่ในอาณาจักรเทียนเฉินและได้เรียนรู้สั่งสมประสบกาณ์มากมาย
อีกทั้งพลังของข้าก็พัฒนาขึ้นมากมายนัก"
"ในช่วงเวลาสั้นๆนี้ข้าจะยังไม่กลับบ้าน
หากข้าพบปัญหาที่มิอาจแก้ไขได้ ข้าจะส่งข่าวถึงพวกท่านเพื่อขอความช่วยเหลือ ดังนั้นพวกท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้า"
“ท่านแม่ ฝากทักทายท่านพ่อด้วย
บอกให้ท่านดูแลรักษาสุขภาพให้ดี"
พูดจบนางก็เอื้อมมือออกไปแตะที่หัวของเสี่ยวหลิงเหนี่ยวและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“เอาล่ะ
ข้าพูดจบแล้ว เสี่ยวหลิงเหนี่ยวเจ้ากลับไปได้"
เสี่ยวหลิงเหนี่ยวผงกหัวและพูดว่า
“เหยาเหยา
งั้นข้ากลับวังก่อนเน้อ เจ้าก็รีบกลับมาเร็วๆล่ะ ดูแลตัวเองด้วย"
"เอาเถอะ
ไปได้แล้ว” หยุนเหยาตอบกลับและโบกมือลา
เสี่ยวหลิงเหนี่ยวกระพือปีกและกลายเป็นรัศมีลำแสงสีฟ้า
พุ่งทะลุผ่านหน้าต่างไป
หยุนเหยาจ้องมองนกน้อยที่ลับตาไปในยามราตรี ดวงตากระจ่างใสเหม่อมองแสงจันทร์นอกหน้าต่าง
สีหน้าเต็มไปด้วยความครุ่นคิด
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง
นางก็กระพริบตาด้วยอารมณ์ที่สงบเยือกเย็นลง จากนั้นก็นั่งสมาธิต่อไป
...........
ภายในนิกายกระบี่ฟ้า
บนยอดเขาจวินหยู
นับตั้งแต่ยอดเขากระบี่ศักดิ์สิทธิ์ถูกฉู่เทียนเซิงทำลายพินาศสิ้น
ยอดเขาจวินหยูซึ่งเดิมทีเป็นที่ตั้งของหอโอสถก็ได้ถูกเปลี่ยนมาเป็นยอดเขาหลักของนิกายกระบี่ฟ้าแทน
เทียนเจี้ยนจง
เหล่าผู้เฒ่าและผู้ดูแลทั้งหลายได้สร้างตำหนักใหม่ขึ้นหลายแห่งบนยอดเขาจวินหยูเฟิง
เพื่อใช้เป็นที่พักและห้องโถงสำหรับจัดการกับเรื่องราวภายในนิกาย
ภายในตำหนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์หลังใหม่ ณ
ห้องๆหนึ่งอันมืดมิดและทึบแสง
เทียนเจี้ยนจงนั่งอยู่บนเก้าอี้ใหญ่ที่ทำจากหยกเพลิง
สีหน้ากำลังครุ่นคิดอย่างจริงจัง
พื้นที่ตรงกลางเบื้องหน้าของมันมีคนสองคนยืนอยู่ทั้งด้านซ้ายและขวา
พวกมันก็คือเทียนจี้เจิ้นเหรินและหวงฟู่
ในเวลานั้นห่วงฟู่ได้กล่าวรายงานว่า “ท่านประมุข
หลังจากพยายามอย่างหนักเกือบยี่สิบวัน
เหล่าศิษย์และศิษย์รับใช้ต่างก็ช่วยกันฟื้นฟูยอดเขากระบี่ศักดิ์สิทธิ์ได้เป็นส่วนใหญ่แล้วขอรับ...
"
เทียนเจี้ยนจงฟังรายงานของอีกฝ่ายด้วยสีหน้าอึมครึม
ดวงตาเต็มไปด้วยความมืดครึ้ม
เนื่องจากมันได้รับบาดเจ็บจากฝีมือของฉู่เทียนเซิง
มันได้พักฟื้นกว่าครึ่งเดือนจนกระทั่งอาการบาดเจ็บหายดี
นับตั้งแต่นั้นมาอารมณ์และท่าทางของมันกลายเป็นมืดมนหดหู่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มันเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความคั่งแค้นในใจ
ก่อนหน้านี้รัศมีพลังรอบตัวของมันราวกับกระบี่วิเศษที่ชักออกจากฝัก
ทั้งแข็งแกร่ง เฉียบคมและเต็มไปด้วยแรงกดดันต่อผู้คน
แต่ตอนนี้มันดูเหมือนงูพิษที่มืดมนหดหู่
ขดตัวเองอยู่ในมุมมืดรอคอยเวลาตะครุบเหยื่อเพื่อจู่โจมอย่างดุเดือดถึงตาย !
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเมื่อหวงฟู่รายงานเสร็จสิ้น
เทียนเจี้ยนจงก็พยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวด้วยเสียงแหบพร่าว่า “สั่งการลงไป ให้ทุกคนในนิกายทำงานให้หนักกว่านี้
ฟื้นฟูยอดเขากระบี่ศักดิ์สิทธิ์ให้ได้โดยเร็วที่สุด"
"รับบัญชาขอรับ !”
หวงฟู่โค้งคำนับและผละจากไป
จากนั้น เทียนจี้เจิ้นเหรินก็ก้าวไปข้างหน้า ถือแส้หางม้าสีเงินและกล่าวอย่างสงบว่า
“ประมุข
เมื่อคืนข้าได้ข่าวมา
มหาข่ายปราณในสุสานมังกรถูกทำลายโดยพวกนิกายพันธมิตรสวรรค์เมื่อหลายวันก่อน”
" ในที่สุดเวลาของพวกเราก็มาถึงแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องทวงความยุติธรรมจากพวกมัน ชำระแค้นหนี้เลือด !”
อารมณ์และน้ำเสียงของเทียนจี้เจิ้นเหรินไต่ระดับ
เผยให้เห็นถึงความโกรธแค้นอันล้ำลึก กระตุ้นเลือดลมให้ผู้ฟังรู้สึกคึกคักฮึกเหิม
เทียนเจี้ยนจงขมวดคิ้ว นัยน์ตาของมันเปล่งประกายแวววับด้วยแสงเย็นเยือก
รัศมีพลังโดยรอบกลายเป็นเย็นจับแฝงด้วยจิตสังหาร
อย่างไรก็ตาม มันส่ายหัวและกล่าวเสียงเรียบว่า
“ไม่ช้าก็เร็ว
หนี้แค้นของพวกเราจะต้องถูกชำระสะสาง
นิกายพันธมิตรสวรรค์จะต้องถูกล้างบางด้วยน้ำมือข้าประมุข !”
"แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม พวกเราต้องอดทนรอไปก่อน
!"
เร็วๆนี้โอรสสวรรค์แห่งลานจักรพรรดิจ้งโจวจะมาเยือนอาณาจักรเทียนเฉินเป็นการส่วนตัวด้วยพระองค์เอง
พระองค์ได้มอบหมายจากตี้จวินให้เป็นประธานคนกลางในสถานการณ์โดยรวมของอาณาจักร"
"ดูกันไปก่อนว่าโอรสสวรรค์จะเป็นผู้ทรงคุณธรรมและ
‘เป็นกลาง’ จริงหรือไม่"
"ถ้าหากว่าลานจักรพรรดิและโอรสสวรรค์คิดปกป้องนิกายพันธมิตรสวรรค์จริงๆแล้วล่ะก็.. หลังจากพระองค์กลับไป
พวกเราจะเริ่มสงครามกับนิกายพันธมิตรสวรรค์ทันที !”
เทียนจี้เจิ้นเหรินขมวดคิ้วสีดอกเลาของมันด้วยความรู้สึกผิดหวังดูแคลนอีกฝ่ายอยู่ภายในใจ
"ช่างโง่เง่าบัดซบและขี้ขลาดเสียจริง ศิษย์ถูกฆ่า ตำหนักถูกทำลาย
เสียหน้าต่อเหล่าศิษย์ แต่คนผู้นี้กลับหยิบยืมจมูกผู้อื่นหายใจ
รอให้ผู้อื่นทวงถามความยุติธรรมให้ น่าสมเพชนัก !"
"คนที่เอาแต่หดหัวอยู่ในกระดองเหมือนเต่าน้อยแบบเจ้าจะสำเร็จการใหญ่อะไรได้
? เจ้าพลาดโอกาสสำคัญที่ข้าอุตส่าห์เพาะสร้างให้ไปกี่ครั้งแล้ว ?!"
คนคิดเช่นนั้น
แต่ภายนอกกลับดูสงบและกล่าวตามน้ำเทียนเจี้ยนจงไปว่า “คำพูดของประมุขถูกต้องอย่างยิ่ง ปลอดภัยไว้เป็นดีที่สุด"
หลังจากพูดจบมันก็อำลาเทียนเจี้ยนจงและล่าถอยออกไปจากห้องลับ
...........
เช้าของวันต่อมาจี้เทียนซิงหยุดการฝึกฝนและเดินออกจากห้อง
ในเวลานี้พระอาทิตย์กำลังทอแสง ยอดเขายังเต็มไปด้วยหมอกและมีน้ำค้างคริสตัลเกาะอยู่ตามดอกไม้และใบไม้ริมทางเดิน
เขาเดินออกจากลานเทียนซิง สูดอากาศบริสุทธิ์ยืดเส้นยืดสายและเดินไปรอบๆภูเขาเรื่อยเปื่อย
เมื่อเขาเดินไปถึงจัตุรัสของฝ่ายในก็ได้เห็นศิษย์เบ็ดเตล็ดหลายคนในชุดผ้าป่านกำลังทำความสะอาดจัตุรัสและลานกว้าง
ช่วยกันแปะกาดาษสีและประดับประดาโคมไฟอย่างขะมักเขม้น
ศิษย์หลายคนพูดคุยกันไปพลางระหว่างทำงาน
จี้เทียนซิงยืนอยู่ไกลจากพวกมันก็จริงแต่เขาสามารถได้ยินอย่างชัดเจน
ศิษย์ร่างผอมและดูคล่องแคล้วผู้หนึ่งกำลังกระซิบในกลุ่มว่า
“เฮ้ๆพวกเจ้าทำงานให้ดี
อย่าได้มีอะไรผิดพลาดล่ะ
ครั้งนี้งานช้างนะเว้ย คนโตคนใหญ่กำลังจะมาเยือน”
ศิษย์รับใช้อายุสิบกว่าปีคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆถามด้วยสีหน้าแปลกๆว่า
“ศิษย์พี่
มิใช่ว่านิกายเราใหญ่สุดในดินแดนนี้แล้วหรือขอรับ ? ยังจะมีผู้ใดใหญ่โตสูงศักดิ์กว่านิกายเราอีกได้เล่า
?”
"ฮึ่ม ! เจ้ายังเด็กน้อยนัก ไม่เข้าใจหรือไง
?" ศิษย์ผอมบางพูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
"ข้าได้ยินเหล่าผู้ดูแลคุยกัน
พวกท่านบอกว่าคนใหญ่คนโตที่ว่านี้มาจากลานจักรพรรดิและกำลังจะมาถึงนิกายเราในอีกไม่ช้านี้แล้ว
คนผู้นี้แม้กระทั่งท่านประมุขและผู้อาวุโสพบหน้าก็ยังต้องคารวะทักทายอีกฝ่ายด้วยความเคารพด้วยซ้ำ
!”
หลังจากได้ยินคำพูดนี้
เหล่าศิษย์และคนรับใช้เบ็ดเตล็ดก็เผยสีหน้าตกใจและอุทานกันให้แซ่ด
"สวรรค์ เขาเป็นใครกันนะ
? หรือจะเป็นรัชทายาทแห่งราชสำนัก"
"แม้แต่ท่านประมุขและเหล่าผู้อาวุโสก็ยังต้องคารวะ
? ตัวตนของบุคลผู้นี้สูงส่งยิ่งแล้ว !”
"ลานจักรพรรดิอยู่ที่ไหนของโลกกัน ? ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน ? นิกายพันธมิตรสวรรค์เราอยู่ใต้อาณัติของลานจักรพรรดิที่ว่าด้วยหรือนี่
?"
ศิษย์เบ็ดเตล็ดร่างผอมขี้เกียจเกินกว่าที่จะอธิบายให้ยืดยาว
คนกล่าวด้วยเสียงต่ำต่อไปว่า “พวกเจ้าไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้หรอก
ดังนั้นก็ไม่ต้องถามให้มากความ”
"แล้วก็ทำอย่างที่ข้าบอกไปล่ะ ก้มหน้าก้มตาทำงานให้ดีอย่าได้มีอะไรผิดพลาด"
"อีกไม่กี่วันข้างหน้า พวกเราไม่เพียงแค่จะต้องทำความสะอาดทั้งลานฝ่ายในของตำหนักเท่านั้น
แต่พวกเรายังต้องตกแต่งโคมไฟให้อลังการอีกด้วยนา"
"เมื่อถึงเวลาที่เทียนจือเสด็จมาถึงนิกาย
ท่านประมุขและผู้อาวุโสทุกคนจะได้พบหน้าและต้อนรับขับสู้ท่าน
ถึงตอนนั้นพวกเราก็จะได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของโอรสสวรรค์ที่ผู้คนเขาร่ำลือกันเอง”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved