ตอนที่ 375 เต่าในกระดองที่รอความยุติธรรม

ในตอนแรกที่หยุนเหยาทราบข่าวว่าองค์จักรพรรดินีและเทียนจือไปเยือนวังวิญญาณเมฆาของตระกูลหยุน

เพื่อแสดงความยินดีในงานวันเกิดครอบรอบสามร้อยปีของท่านย่านาง อีกทั้งได้ทราบความคิดในการเลือกคู่ครองของเทียนจือ  สีหน้าของนางกลายเป็นเคร่งขรึมเล็กน้อย

ทว่าหลังจากได้ยินประโยคตามหลังจากคำพูดของมารดา

หยุนเหยาก็อารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อยและผุดยิ้มบางขึ้น

"ท่านแม่ยังคงเข้าใจและรักข้าที่สุด”

หยุนเหยาพึมพำกับตัวเอง หัวใจของนางรู้สึกอบอุ่นและอิ่มอกอิ่มใจ

หลังจากที่เสี่ยวหลิงเหนี่ยวบอกเล่าข้อความของนายหญิงหยุนหมดสิ้นแล้ว

มันก็หันไปมองหยุนเหยาและถามว่า “เหยาเหยา เจ้ามีอะไรจะฝากถึงมารดาเจ้าหรือเปล่า

?”

"มีแน่นอน”  หยุนเหยายิ้มและพยักหน้า

จากนั้นนางก็เอ่ยเสียงราบเรียบว่า “ท่านแม่

ข้าอยู่ในอาณาจักรเทียนเฉินอย่างสุขสบายดี ท่านและท่านพ่อไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้"

"อีกไม่กี่วันเทียนจือจะมาถึงอาณาจักรเทียนเฉิน

หากมันยังตามพัวพันข้าอีก ข้าจะกล่าวกับมันให้ชัดแจ้ง ให้มันตัดความคิดนั้นทิ้งไปเสีย”

"ในปีนั้นที่ข้าออกจากวังวิญญาณเมฆา

ข้าอาศัยอยู่ในอาณาจักรเทียนเฉินและได้เรียนรู้สั่งสมประสบกาณ์มากมาย

อีกทั้งพลังของข้าก็พัฒนาขึ้นมากมายนัก"

"ในช่วงเวลาสั้นๆนี้ข้าจะยังไม่กลับบ้าน

หากข้าพบปัญหาที่มิอาจแก้ไขได้ ข้าจะส่งข่าวถึงพวกท่านเพื่อขอความช่วยเหลือ  ดังนั้นพวกท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้า"

“ท่านแม่ ฝากทักทายท่านพ่อด้วย

บอกให้ท่านดูแลรักษาสุขภาพให้ดี"

พูดจบนางก็เอื้อมมือออกไปแตะที่หัวของเสี่ยวหลิงเหนี่ยวและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“เอาล่ะ

ข้าพูดจบแล้ว เสี่ยวหลิงเหนี่ยวเจ้ากลับไปได้"

เสี่ยวหลิงเหนี่ยวผงกหัวและพูดว่า

“เหยาเหยา

งั้นข้ากลับวังก่อนเน้อ เจ้าก็รีบกลับมาเร็วๆล่ะ ดูแลตัวเองด้วย"

"เอาเถอะ

ไปได้แล้ว”  หยุนเหยาตอบกลับและโบกมือลา

เสี่ยวหลิงเหนี่ยวกระพือปีกและกลายเป็นรัศมีลำแสงสีฟ้า

พุ่งทะลุผ่านหน้าต่างไป

หยุนเหยาจ้องมองนกน้อยที่ลับตาไปในยามราตรี  ดวงตากระจ่างใสเหม่อมองแสงจันทร์นอกหน้าต่าง

สีหน้าเต็มไปด้วยความครุ่นคิด

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง

นางก็กระพริบตาด้วยอารมณ์ที่สงบเยือกเย็นลง จากนั้นก็นั่งสมาธิต่อไป

...........

ภายในนิกายกระบี่ฟ้า

บนยอดเขาจวินหยู

นับตั้งแต่ยอดเขากระบี่ศักดิ์สิทธิ์ถูกฉู่เทียนเซิงทำลายพินาศสิ้น

ยอดเขาจวินหยูซึ่งเดิมทีเป็นที่ตั้งของหอโอสถก็ได้ถูกเปลี่ยนมาเป็นยอดเขาหลักของนิกายกระบี่ฟ้าแทน

เทียนเจี้ยนจง

เหล่าผู้เฒ่าและผู้ดูแลทั้งหลายได้สร้างตำหนักใหม่ขึ้นหลายแห่งบนยอดเขาจวินหยูเฟิง

เพื่อใช้เป็นที่พักและห้องโถงสำหรับจัดการกับเรื่องราวภายในนิกาย

ภายในตำหนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์หลังใหม่ ณ

ห้องๆหนึ่งอันมืดมิดและทึบแสง

เทียนเจี้ยนจงนั่งอยู่บนเก้าอี้ใหญ่ที่ทำจากหยกเพลิง

สีหน้ากำลังครุ่นคิดอย่างจริงจัง

พื้นที่ตรงกลางเบื้องหน้าของมันมีคนสองคนยืนอยู่ทั้งด้านซ้ายและขวา

พวกมันก็คือเทียนจี้เจิ้นเหรินและหวงฟู่

ในเวลานั้นห่วงฟู่ได้กล่าวรายงานว่า “ท่านประมุข

หลังจากพยายามอย่างหนักเกือบยี่สิบวัน

เหล่าศิษย์และศิษย์รับใช้ต่างก็ช่วยกันฟื้นฟูยอดเขากระบี่ศักดิ์สิทธิ์ได้เป็นส่วนใหญ่แล้วขอรับ...

"

เทียนเจี้ยนจงฟังรายงานของอีกฝ่ายด้วยสีหน้าอึมครึม

ดวงตาเต็มไปด้วยความมืดครึ้ม

เนื่องจากมันได้รับบาดเจ็บจากฝีมือของฉู่เทียนเซิง

มันได้พักฟื้นกว่าครึ่งเดือนจนกระทั่งอาการบาดเจ็บหายดี

นับตั้งแต่นั้นมาอารมณ์และท่าทางของมันกลายเป็นมืดมนหดหู่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  มันเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความคั่งแค้นในใจ

ก่อนหน้านี้รัศมีพลังรอบตัวของมันราวกับกระบี่วิเศษที่ชักออกจากฝัก

ทั้งแข็งแกร่ง เฉียบคมและเต็มไปด้วยแรงกดดันต่อผู้คน

แต่ตอนนี้มันดูเหมือนงูพิษที่มืดมนหดหู่

ขดตัวเองอยู่ในมุมมืดรอคอยเวลาตะครุบเหยื่อเพื่อจู่โจมอย่างดุเดือดถึงตาย !

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเมื่อหวงฟู่รายงานเสร็จสิ้น

เทียนเจี้ยนจงก็พยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวด้วยเสียงแหบพร่าว่า “สั่งการลงไป  ให้ทุกคนในนิกายทำงานให้หนักกว่านี้

ฟื้นฟูยอดเขากระบี่ศักดิ์สิทธิ์ให้ได้โดยเร็วที่สุด"

"รับบัญชาขอรับ !”

หวงฟู่โค้งคำนับและผละจากไป

จากนั้น เทียนจี้เจิ้นเหรินก็ก้าวไปข้างหน้า ถือแส้หางม้าสีเงินและกล่าวอย่างสงบว่า

“ประมุข

เมื่อคืนข้าได้ข่าวมา

มหาข่ายปราณในสุสานมังกรถูกทำลายโดยพวกนิกายพันธมิตรสวรรค์เมื่อหลายวันก่อน”

" ในที่สุดเวลาของพวกเราก็มาถึงแล้ว  ถึงเวลาที่จะต้องทวงความยุติธรรมจากพวกมัน  ชำระแค้นหนี้เลือด !”

อารมณ์และน้ำเสียงของเทียนจี้เจิ้นเหรินไต่ระดับ

เผยให้เห็นถึงความโกรธแค้นอันล้ำลึก กระตุ้นเลือดลมให้ผู้ฟังรู้สึกคึกคักฮึกเหิม

เทียนเจี้ยนจงขมวดคิ้ว นัยน์ตาของมันเปล่งประกายแวววับด้วยแสงเย็นเยือก

รัศมีพลังโดยรอบกลายเป็นเย็นจับแฝงด้วยจิตสังหาร

อย่างไรก็ตาม มันส่ายหัวและกล่าวเสียงเรียบว่า

“ไม่ช้าก็เร็ว

หนี้แค้นของพวกเราจะต้องถูกชำระสะสาง

นิกายพันธมิตรสวรรค์จะต้องถูกล้างบางด้วยน้ำมือข้าประมุข !”

"แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม พวกเราต้องอดทนรอไปก่อน

!"

เร็วๆนี้โอรสสวรรค์แห่งลานจักรพรรดิจ้งโจวจะมาเยือนอาณาจักรเทียนเฉินเป็นการส่วนตัวด้วยพระองค์เอง

พระองค์ได้มอบหมายจากตี้จวินให้เป็นประธานคนกลางในสถานการณ์โดยรวมของอาณาจักร"

"ดูกันไปก่อนว่าโอรสสวรรค์จะเป็นผู้ทรงคุณธรรมและ

‘เป็นกลาง’ จริงหรือไม่"

"ถ้าหากว่าลานจักรพรรดิและโอรสสวรรค์คิดปกป้องนิกายพันธมิตรสวรรค์จริงๆแล้วล่ะก็..   หลังจากพระองค์กลับไป

พวกเราจะเริ่มสงครามกับนิกายพันธมิตรสวรรค์ทันที !”

เทียนจี้เจิ้นเหรินขมวดคิ้วสีดอกเลาของมันด้วยความรู้สึกผิดหวังดูแคลนอีกฝ่ายอยู่ภายในใจ

"ช่างโง่เง่าบัดซบและขี้ขลาดเสียจริง  ศิษย์ถูกฆ่า ตำหนักถูกทำลาย

เสียหน้าต่อเหล่าศิษย์ แต่คนผู้นี้กลับหยิบยืมจมูกผู้อื่นหายใจ

รอให้ผู้อื่นทวงถามความยุติธรรมให้ น่าสมเพชนัก !"

"คนที่เอาแต่หดหัวอยู่ในกระดองเหมือนเต่าน้อยแบบเจ้าจะสำเร็จการใหญ่อะไรได้

? เจ้าพลาดโอกาสสำคัญที่ข้าอุตส่าห์เพาะสร้างให้ไปกี่ครั้งแล้ว ?!"

คนคิดเช่นนั้น

แต่ภายนอกกลับดูสงบและกล่าวตามน้ำเทียนเจี้ยนจงไปว่า “คำพูดของประมุขถูกต้องอย่างยิ่ง  ปลอดภัยไว้เป็นดีที่สุด"

หลังจากพูดจบมันก็อำลาเทียนเจี้ยนจงและล่าถอยออกไปจากห้องลับ

...........

เช้าของวันต่อมาจี้เทียนซิงหยุดการฝึกฝนและเดินออกจากห้อง

ในเวลานี้พระอาทิตย์กำลังทอแสง ยอดเขายังเต็มไปด้วยหมอกและมีน้ำค้างคริสตัลเกาะอยู่ตามดอกไม้และใบไม้ริมทางเดิน

เขาเดินออกจากลานเทียนซิง  สูดอากาศบริสุทธิ์ยืดเส้นยืดสายและเดินไปรอบๆภูเขาเรื่อยเปื่อย

เมื่อเขาเดินไปถึงจัตุรัสของฝ่ายในก็ได้เห็นศิษย์เบ็ดเตล็ดหลายคนในชุดผ้าป่านกำลังทำความสะอาดจัตุรัสและลานกว้าง

ช่วยกันแปะกาดาษสีและประดับประดาโคมไฟอย่างขะมักเขม้น

ศิษย์หลายคนพูดคุยกันไปพลางระหว่างทำงาน

จี้เทียนซิงยืนอยู่ไกลจากพวกมันก็จริงแต่เขาสามารถได้ยินอย่างชัดเจน

ศิษย์ร่างผอมและดูคล่องแคล้วผู้หนึ่งกำลังกระซิบในกลุ่มว่า

“เฮ้ๆพวกเจ้าทำงานให้ดี

อย่าได้มีอะไรผิดพลาดล่ะ

ครั้งนี้งานช้างนะเว้ย คนโตคนใหญ่กำลังจะมาเยือน”

ศิษย์รับใช้อายุสิบกว่าปีคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆถามด้วยสีหน้าแปลกๆว่า

“ศิษย์พี่

มิใช่ว่านิกายเราใหญ่สุดในดินแดนนี้แล้วหรือขอรับ ? ยังจะมีผู้ใดใหญ่โตสูงศักดิ์กว่านิกายเราอีกได้เล่า

?”

"ฮึ่ม ! เจ้ายังเด็กน้อยนัก ไม่เข้าใจหรือไง

?" ศิษย์ผอมบางพูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ

"ข้าได้ยินเหล่าผู้ดูแลคุยกัน

พวกท่านบอกว่าคนใหญ่คนโตที่ว่านี้มาจากลานจักรพรรดิและกำลังจะมาถึงนิกายเราในอีกไม่ช้านี้แล้ว

คนผู้นี้แม้กระทั่งท่านประมุขและผู้อาวุโสพบหน้าก็ยังต้องคารวะทักทายอีกฝ่ายด้วยความเคารพด้วยซ้ำ

!”

หลังจากได้ยินคำพูดนี้

เหล่าศิษย์และคนรับใช้เบ็ดเตล็ดก็เผยสีหน้าตกใจและอุทานกันให้แซ่ด

"สวรรค์ เขาเป็นใครกันนะ

?  หรือจะเป็นรัชทายาทแห่งราชสำนัก"

"แม้แต่ท่านประมุขและเหล่าผู้อาวุโสก็ยังต้องคารวะ

?  ตัวตนของบุคลผู้นี้สูงส่งยิ่งแล้ว !”

"ลานจักรพรรดิอยู่ที่ไหนของโลกกัน ? ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน  ? นิกายพันธมิตรสวรรค์เราอยู่ใต้อาณัติของลานจักรพรรดิที่ว่าด้วยหรือนี่

?"

ศิษย์เบ็ดเตล็ดร่างผอมขี้เกียจเกินกว่าที่จะอธิบายให้ยืดยาว

คนกล่าวด้วยเสียงต่ำต่อไปว่า “พวกเจ้าไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้หรอก

ดังนั้นก็ไม่ต้องถามให้มากความ”

"แล้วก็ทำอย่างที่ข้าบอกไปล่ะ ก้มหน้าก้มตาทำงานให้ดีอย่าได้มีอะไรผิดพลาด"

"อีกไม่กี่วันข้างหน้า พวกเราไม่เพียงแค่จะต้องทำความสะอาดทั้งลานฝ่ายในของตำหนักเท่านั้น

แต่พวกเรายังต้องตกแต่งโคมไฟให้อลังการอีกด้วยนา"

"เมื่อถึงเวลาที่เทียนจือเสด็จมาถึงนิกาย

ท่านประมุขและผู้อาวุโสทุกคนจะได้พบหน้าและต้อนรับขับสู้ท่าน

ถึงตอนนั้นพวกเราก็จะได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของโอรสสวรรค์ที่ผู้คนเขาร่ำลือกันเอง”