ตอนที่ 81

มายากระบี่มังกรดำ

จอมยุทธ์มากมายรอบลานประลองต่างประจักษ์ต่อสายตาในยามนี้ว่า

องค์ชายจี้หลิงออกกระบวนท่าที่รุนแรงที่สุดไปแล้ว !

หากจี้เทียนซิงยังมีไหวพริบก็ควรจะถอยหรือไม่ก็หลบเลี่ยงคมกระบี่ของจี้หลิง

เขาจะสามารถเอาชนะจี้หลิงได้อย่างง่ายดายเพียงแค่ล่าถอยไปครึ่งก้าว

อย่างไรก็ตาม

จี้เทียนซิงกลับไม่ถอยและไม่คิดหลบเลี่ยง

เท่านั้นไม่พอ

เขายังก้าวยาวๆไปข้างหน้าด้วยกระบี่มังกรดำในมือ !

เขารู้ดีว่าถ้าคิดแค่เอาชนะก็เพียงถอยหรือไม่ก็หลบ

แต่เขาจำเป็นจะต้องสะกดข่มและทุบตีจี้หลิงให้หนัก ! เขาต้องการทำลายความมั่นใจและความเย่อหยิ่งของจี้หลิงให้พินาศสิ้นอย่างสมบูรณ์

!

“หนึ่งกระบี่เบิกสวรรค์ !”

ในช่วงเวลานั้นเอง

พลังชีวิตของจี้เทียนซิงพวยพุ่งออกมาอย่างรุนแรง

เขากุมกระบี่มังกรดำไว้ในมือทั้งสองข้างแล้วกระแทกใส่หน้าของจี้หลิง

“โฮกก  !”

เสียงอึกทึกสายหนึ่งที่สูงส่งน่าเกรงขามของมังกรคำรามแผ่ไปทั่วทั้งจัตุรัส

กระบี่มังกรดำในมือของจี้เทียนซิงผันแปรเป็นร่างมายาของมังกรสีดำยาว

9 เมตรที่พุ่งขย้ำเข้าหาจี้หลิง

"เปรี้ยง !!

"

ด้วยเสียง

‘แกร่ก’  กระบี่ของจี้หลิงถูกกระแทกทำลายจนแหลกเป็นสองส่วน

ณ จุดนั้นทันที

ร่างของเขาลอยละลิ่วไปไกลร่วม

30 เมตรด้วยมายามังกรดำจนวาดเป็นเส้นโค้งในอากาศและกระแทกเข้ากับจัตุรัสใต้ลานประลอง

โครม

!

เมื่อร่างของเขากระแทกกับพื้น

โลหิตก็ฉีดพุ่งออกมาจากปากภายใต้แสงสะท้อนของดวงอาทิตย์ที่แผดเผา

จี้หลิงกลิ้งกับพื้นไปอีกหลายตลบก่อนที่จะหยุดลง

ร่างกายของเขาไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวและดูเหมือนจะสลบไปแล้ว

ผู้ชมทั้งหมดรอบลานประลองต่างก็สติแตกและกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวทันที

“สวรรค์ ! เมื่อกี้ข้าเห็นอะไร

? มังกร ?”

“มังกรในตำนานใช่ไหม ? ข้าก็เห็นมัน มันเป็นมังกรดำตัวใหญ่ !”

“เหลือเชื่อนัก ! กระบี่เล่มนั้นของจี้เทียนซิงสามารถชักนำเงาร่างของมังกรออกมาได้

!”

“หากไม่เห็นด้วยตาตัวเองข้าคงไม่เชื่อว่าองค์ชายจี้หลิงที่มีพลังในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่

7 จะได้รับบาดเจ็บสาหัสจากจี้เทียนซิง !”

“อัจฉริยะอันดับหนึ่งคนเดิมกลับมาแล้ว ความแข็งแกร่งของจี้เทียนซิงพุ่งทะยานขึ้นมาหลายเท่าทีเดียว

!”

“ถึงแม้ว่าความสามารถและพลังขององค์ชายน้อยจะสูงส่ง

แต่เขาก็ต้องมาเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดอย่างจี้เทียนซิง !”

ในช่วงนี้ผู้คนนับหมื่นต่างก็ระเบิดเสียงสนทนากันอย่างดุเดือด

เสียงของพวกเขาดังสนั่นราวกับภูเขาถล่ม

ผู้คนมากมายต่างก็มองจี้เทียนซิงด้วยความสยดสยอง

ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความอิจฉาระคนความหวาดกลัว

ทุกคนรู้ว่าอันดับหนึ่งไม่ใช่ผู้ใดใครอื่นแล้วนอกจากจี้เทียนซิง

!

'ขยะ' ที่ทุกคนต่างเรียกขานลบเลือนเป็นอดีตไปแล้ว

และจะไม่ถูกพูดถึงอีกในอนาคต

วันนี้เขายังคงเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของรัฐนภากระจ่างที่สูงส่งและแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม

!

การต่อสู้ระหว่างจี้เทียนซิงกับองค์ชายจี้หลิงจะถูกเล่าขานสืบต่อไปจนกลายเป็นตำนานที่ทุกคนรู้จักเป็นอย่างดี

หนึ่งกระบี่เบิกสวรรค์และมายามังกรดำ

!

ถึงแม้ว่าผู้คนนับหมื่นในจัตุรัสยังคงพูดคุยกันด้วยโลหิตที่เดือดพล่าน

แต่จี้เทียนซิงที่อยู่บนเวทีก็ยังคงสงบนิ่งและดูงามสง่า

เขาสอดกระบี่มังกรดำคืนฝักและหันไปมององค์หญิงน้อยใต้เวทีด้วยรอยยิ้มมุมปาก

รอยยิ้มนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและความอ่อนโยน

องค์หญิงน้อยใจเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นยินดี

หางตาเปียกชุ่มน้ำตาเล็กน้อย

“ในที่สุดพี่ใหญ่เทียนซิงผู้องอาจในอดีตก็กลับมาแล้ว

หลังจากที่กล้ำกลืนและผ่านความยากลำบากมานาน

ตอนนี้เขาแข็งแกร่งขึ้นและเก่งกว่าเดิมมากนัก !”

“ข้ารู้อยู่แล้วว่าคนที่ข้าชอบพอย่อมไม่ใช่งูในบ่อน้ำ

ในที่สุดเขาจะกลายเป็นมังกรที่ทะยานผ่านเก้าสวรรค์ !”

หลังจากเวลาผ่านไป

เสียงสนทนาอันดุเดือดในจัตุรัสก็ค่อยๆจางลงอย่างช้าๆ

ฮั่นเฉียวเซิงเดินขึ้นไปบนเวทีและมองจี้เทียนซิงด้วยสายตาลุ่มลึก

เขาประกาศเสียงดังว่า “จี้เทียนซิงท้าทายสำเร็จ เขาคืออันดับหนึ่งในตอนนี้ !”

“จี้หลิงและเจี้ยนหวู่เซิงตกไปอยู่ที่ 2 และ 3 !”

จากผลที่ประกาศออกมาทำให้จี้เทียนซิงรั้งอันดับ

1 จี้หลิงกลายเป็นที่ 2 ส่วนเจี้ยนหวู่เซิงถูกลดอันดับไปเป็นที่ 3

จี้เทียนซิงคารวะฮั่นเฉียวเซิงและเดินลงจากลานประลองกลับไปหาองค์หญิงน้อย

จี้เค่อไม่สนใจข้อห้ามหนุ่มสาว

นางกุมมือของจี้เทียนซิงเขย่าไปมาอย่างตื่นเต้นและระบายความประหลาดใจกับความตื่นเต้นของนาง

ต่อมาฮั่นเฉียวเซิงก็ประกาศดำเนินการประลองรอบที่

3 ต่อไป

แต่ทว่าเหล่าจอมยุทธ์ที่เหลือต่างก็ลังเลและไม่กล้าขึ้นมาท้าทาย

ถูกแล้ว

พวกเขาไม่กล้าท้าทายจี้เทียนซิงที่อยู่ในอันดับหนึ่ง !

กระทั่งเวลาผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมงก็ยังไม่มีผู้ใดขึ้นมาบนเวที

ในที่สุดหลังจากฮั่นเฉียวเซิงกล่าวถามอีกหลายครั้งจนยืนยันได้ว่าไม่มีผู้ใดคิดจะท้าทายกันอีกต่อไปเขาจึงประกาศสรุปผลให้สาธารณะชนได้รับรู้โดยทั่วกัน

“การคัดเลือกสิ้นสุดลงแล้ว

ต่อไปนี้คือผลสรุปอันดับผู้เข้าร่วมนิกายทั้ง 10

คน”

“อันดับแรกจี้เทียนซิง อันดับที่ 2 จี้หลิง อันดับที่ 3 เจี้ยงหวู่เซิง อันดับที่ 4…. ”

หลังจากเสร็จสิ้นการประกาศผลการจัดอันดับแล้ว

ฮั่นเฉียวเซิงก็หยิบป้ายเล็กๆสีดำออกมาและมอบให้กับจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ทั้งสิบคนพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“ขอแสดงความยินดีกับพวกเจ้าทุกคนที่ได้ผ่านการคัดเลือกเข้าเป็นศิษย์ของนิกายหนุนสวรรค์อย่างเป็นทางการ

จงเก็บป้ายนี้ไว้กับตัวเพื่อเป็นการยืนยันศักดิ์ฐานะของพวกเจ้าในยุทธภพ”

“ในภายหนึ่งเดือนนี้พวกเจ้าจะต้องไปรายงานตัวพร้อมกับป้ายยืนยันฐานะที่นิกาย

ดังนั้นระหว่างนี้จงจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย”

หลังจากที่ฮั่นเฉียวเซิงอธิบายคร่าวๆเสร็จแล้วก็ประกาศว่าการสมัครศิษย์ในปีนี้สิ้นสุดลงแล้ว

จี้เทียนซิงและองค์หญิงน้อยจี้เค่อรวมไปถึงจอมยุทธ์รุ่นเยาว์คนอื่นๆต่างก็รับป้ายประจำตัวและจากไปด้วยความอิ่มเอมใจ

ฝูงชนหลายหมื่นคนในจัตุรัสยังคงไม่รีบจากไปไหน

พวกเขาเอาแต่สนทนาถกเถียงกันด้วยความตื่นเต้นอีกไปนาน

......

เจดีย์สูงข้างจัตุรัส, หยุนเหยาและศิษย์น้องทั้งสองต่างก็ยังคงยืนอยู่บนยอดเจดีย์และทอดสายตามองลงมาที่พื้น

ห่าวเมิ่งกอดอกและเผยรอยยิ้มพลางหัวเราะออกมาว่า  “ฮ่าๆๆ

คิดไม่ถึงว่าข้ากับศิษย์พี่ไป๋จะมองคนผิดพลาดไปได้”

“เดิมทีด้วยระดับพลังยุทธ์ของจี้หลิง

มันควรได้อันดับหนึ่งแน่นอน ไอ้หยา...

ข้าไม่คิดเลยว่ามันจะพ่ายแพ้เจ้าหนูนั่นซะได้

ครั้งแรกที่พวกเราพบมัน มันยังเป็นแค่ชนชั้นปรับแต่งกายาที่ต้องหนีการตามล่าของนักฆ่าปลายแถวอย่างหัวซุกหัวซุนอยู่เลย

น่าสนใจมากที่มันเติบโตมาถึงจุดนี้ได้ในเวลาแค่เดือนเดียว !”

“โดยเฉพาะ

เคล็ดวิชากระบี่ช่วงท้ายที่มันสำแดงออกมาจนเกิดมายามังกรดำตัวหนึ่ง  ไม่ธรรมดาโดยแท้ !”

เมื่อยินคำพูดของห่าวเมิ่งที่กล่าวชมเชยจี้เทียนซิง

สีหน้าของไป๋หวู่เชินก็ค่อนข้างมืดมน  เขาเหลือบมองไปที่หยุนเหยาและได้เห็นสีหน้าครุ่นคิดจริงจังของนาง

เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากขึ้นมาว่า “ศิษย์พี่

กระบี่ที่จี้เทียนใช้ออกนั่น แสดงเงาร่างของมังกรดำออกมา หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับลมหายใจมังกรที่ท่านตรวจจับได้ในวันนั้น

?”

หยุนเหยาเงียบและไม่ตอบคำถาม

ห่าวเมิ่งเกาหัวแกรกๆและมองไปที่ไป๋หวู่เชินและถามด้วยความงุนงงว่า

“ศิษย์พี่ไป๋ มังกรอะไรหรือ ? ศิษย์พี่หญิงสัมผัสถึงกลิ่นอายของมังกรได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน

ข้าไม่เห็นรู้เรื่อง”

ไป๋หวู่เชินจ้องไปที่วงหน้างามของหยุนเหยาและเพิกเฉยต่อคำถามของห่าวเมิ่ง

หลังจากนั้นไม่นานหยุนเหยาก็สลัดความคิดฟุ้งซ่านและคืนสีหน้าไร้อารมณ์ดังเดิมพลางกล่าวว่า

“ศิษย์น้องไป๋ ศิษย์น้องห่าว

พวกเจ้าไปพบผู้ดูแลทั้งสองเพื่อสอบถามเรื่องราวที่ยังไม่เรียบร้อยเถิด อีกสามวันพวกเราจะกลับนิกายแล้ว”

หลังจากพูดจบหยุนเหยาก็ผินกายและลงจากเจดีย์ไป

จากนั้นเงาร่างงดงามของนางก็หายไปอย่างรวดเร็ว

เหลือเพียงไป๋หวู่เชินและห่าวเมิ่งเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่ด้านบนสุดของเจดีย์และมองไปที่เงาหลังของหยุนเหยาที่ค่อยๆลับตาไป

สีหน้าของทั้งคู่เต็มไปด้วยความซับซ้อนและครุ่นคิด

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งห่าวเมิ่งก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ศิษย์พี่ไป๋ ท่านว่า...ศิษย์พี่หญิงดูแปลกๆไปมั้ย

? นางคิดจะทำอะไร ?”

ไป๋หวู่เชินขมวดคิ้วและกล่าวอย่างไร้อารมณ์ว่า

“ศิษย์น้องห่าว

ศิษย์พี่หญิงก็มักจะทำตัวโดดเดี่ยวลึกลับมานานอยู่แล้วนี่

เจ้าพูดอย่างกับว่าเพิ่งรู้จักนางแค่วันเดียว”

“แต่คราวนี้

ข้าเดาว่าศิษย์พี่หญิงคงคิดจะไปหาเจ้าหนูสกุลจี้นั่นเป็นแน่ !”