ตอนที่ 322 นี่คือกรรมตามสนอง

แมงมุมยักษ์เหยียดขาทั้งแปดออกไป

ตะกุยเศษหินดินทรายที่อยู่รอบๆนับไม่ถ้วนและตามติดเข้าหาซื่อเหวินหยูอย่างช้าๆ

รอบกายของมันเต็มไปด้วยไอสีดำ ปากที่เปิดกว้างของมันเต็มไปด้วยพิษสีเขียว

ใบหน้าของซื่อเหวินหยูกลายเป็นจริงจังอย่างยิ่ง

มันกุมกระบี่ไว้ในมือแน่นและค่อยๆก้าวถอยหลัง

เมื่อใบหน้าบูดบึ้งของมันเปล่งแสงเย็นออกจากดวงตาสีน้ำตาล

มันก็เร่งความเร็วเข้าหาอีกฝ่าย พลันจู่โจมไปอย่างรวดเร็ว

ซื่อเหวินหยูหน้าถอดสี คนปะทุพลังปราณใช้ท่าร่างออกมาเพื่อหลบเลี่ยงการโจมตีอย่างรวดเร็ว

"ตูม !"

แมงมุมยักษ์กางขาทั้งแปด กระแทกพื้นจัตุรัส

ระเบิดหินจำนวนมากกระจายไปทั่ว

ซื่อเหวินหยูฉวยโอกาสนี้กวัดแกว่งกระบี่ด้วยพลังทั้งมวล

ตวัดกระบี่ออกไปหลายคราเพื่อจู่โจมแมงมุมยักษ์

แมงมุมยักษ์ตัวนี้มีขนาดใหญ่เกินกว่าจะหลบเลี่ยงได้

มันถูกคลื่นกระบี่มากมายกระแทกเข้าใส่ในทันทีจนเกิดเสียงดังกึกก้อง

อย่างไรก็ตาม

เกล็ดสีดำบนพื้นผิวร่างกายของมันนั้นแข็งแกร่งยิ่งยวด

หนำซ้ำพลังการป้องกันก็สูงมาก

คลื่นกระบี่ที่ซื่อเหวินหยูใช้ออกไปนั้นมิสามารถเจาะผ่านเกล็ดสีดำของมันได้

ทำได้เพียงทิ้งริ้วรอยขีดข่วนสีขาวบางๆไม่กี่สายเท่านั้น

แมงมุมยักษ์หงุดหงิด พลันอ้าปากกว้างพ่นละอองพิษสีเขียวเข้มเข้าใส่อีกฝ่ายทันที

ไม่เพียงแค่นั้น มันกระโดดออกไปไกลร่วมสามสิบเมตรเหนือร่างซื่อเหวินหยู

จากนั้นโรยใยแมงมุมสีขาวซึ่งครอบคลุมระยะสามสิบเมตร

ซื่อเหวินหยูตกอยู่ในภาวะวิกฤตทันที

มันกวัดแกว่งกระบี่อันทรงพลังหมายจะปิดกั้นการจู่โจมอย่างมืดฟ้ามัวดินของแมงมุมยักษ์

ทว่า ความคล่องแคล้วรวดเร็วของมันถูกจำกัดโดยเงาร่างอันใหญ่โตของแมงมุมยักษ์

อีกทั้งคลื่นกระบี่มากมายที่เหวี่ยงซัดออกไปก็ถูกปิดกั้นด้วยควันพิษและใยแมงมุม

เสียง ‘ปึง ปึง ปึง’ จากการปะทะดังไม่ขาดสาย

พลังทำลายอันรุนแรงระเบิดออกและกระจายไปทุกทิศทุกทาง

ซื่อเหวินหยูเป็นดั่งเรือน้อยที่แล่นอยู่กลางมหาสมุทรอันบ้าคลั่ง

และแทบจะจมแหล่มิจมแหล่อยู่รอมร่อ

หลังจากมันจู่โจมตอบโต้ไปหลายกระบวนท่า

สุดท้ายก็ถูกแมงมุมยักษ์กระแทกจมกับพื้นจนเกิดหลุมขนาดใหญ่

มันผุดลึกขึ้นด้วยสีหน้าหวาดหวั่นและถอยร่นพลางตะโกนใส่จี้เทียนซิงว่า

“จี้เทียนซิง

! ยืนเหม่อทำบ้าอะไรเล่า

มาช่วยข้าซี่ !"

จี้เทียนซิงยืนอยู่ที่ขอบจัตุรัสห่างออกไปร่วมร้อยเมตรและได้เห็นภาพที่เกิดขึ้นทั้งหมด

เขาอดไม่ได้ที่จะแค่นหัวเราะเสียงเย็น “เฮอะ

ช่วยเจ้า ? เพื่อ ?"

"เจ้าเพิ่งจะลงมือฆ่าผู้บริสุทธิ์ไปทั่วเมือง นี่คือกรรมที่ตามสนองเจ้า

!"

ใบหน้าของซื่อเหวินหยูกลายเป็นม่วงคล้ำด้วยโทสะ

มันแทบจะอาเจียนออกมาเป็นเลือดด้วยความโกรธ

มันพยายามอย่างมากในการต้านรับการโจมตีของแมงมุมยักษ์พลางตะโกนเสียงดังว่า

“จี้เทียนซิง

! หากเจ้าต้องการฝ่าด่านนี้ไปเจ้าต้องร่วมมือกับข้าเพื่อจัดการกับแมงมุมยักษ์ตัวนี้

!"

"ข้าเคยเข้าที่นี่มาก่อน

มันคือการทดสอบของโลกชั้นที่สี่ หากเราฆ่ามัน เราจะผ่านโลกนี้ไปได้อย่างง่ายดาย!"

จี้เทียนซิงจะเชื่อคำพูดอีกฝ่ายหรือไม่

?

แน่นอนว่าไม่

เขาไม่มีทางร่วมมือกับคนประเภทนี้ !

"โห ? ขนาดนั้นเชียว ?  ในเมื่อเจ้าคิดว่าฆ่าแมงมุมตัวนี้แล้วจะผ่านโลกนี้ไปได้

เช่นนั้นก็จงพยายามเข้าก็แล้วกัน  ข้าก็อยากจะรู้นักว่าเจ้าจะผ่านไปได้ง่ายๆอย่างปากว่าหรือไม่”

“ช่วยตัวเองไปก็แล้วกัน !”

หลังจากแค่นเสียงเย็น จี้เทียนซิงก็หันหลังเดินจากไปโดยไม่ลังเล

"เฮ้ย เดี๋ยวก่อน ! อย่าเพิ่งไปสิวะ !"

ซื่อเหวินหยูตะโกนเรียกด้วยความกระวนกระวาย  มันทั้งเหนื่อยล้าและรู้สึกอับจนหนทาง

อย่างไรก็ตาม เสียงร้องเรียกของมันก็ถูกกลบทับด้วยเสียงอันดังสนั่นจากการต่อสู้ที่กำลังพัวพัน.......

……………

จี้เทียนซิงรีบปลีกตัวออกจากจัตุรัสอย่างรวดเร็วและยังคงวิ่งผ่านเมืองเพื่อหาเบาะแสอื่นในการออกไปจากโลกใบนี้

หลังจากนั้นไม่นาน ในขณะที่เขาวิ่งไปตามท้องถนนเขาก็ได้เห็นผู้ฝึกยุทธ์ถือกระบี่หลายคนกำลังเข่นฆ่าผู้คนตามท้องถนน

ศพจำนวนมากนอนกองอยู่บนพื้นดินด้านนอกประตูร้านค้าหลายแห่ง

และมีคราบโลหิตเปรอะเปื้อนไปทั่วบริเวณ

ผู้ฝึกยุทธ์เหล่านั้นถือสิ่งของที่ฉกชิงเอาไว้ในมือด้วยสีหน้าเย่อหยิ่งจองหอง

พลางคำรามอย่างถือดี

“ฟุ่บ !”

จี้เทียนซิงรีบพุ่งเข้าใส่ด้วยสีหน้าดำทะมึน

คนชักกระบี่มังกรดำออกมาโดยไร้วาจา สับสังหารผู้ฝึกยุทธ์โฉดชั่วเหล่านั้นในทันที

"ฉัวะ ! ฉัวะ ! ฉัวะ !"

คลื่นกระบี่ตระการตาหลายสิบหลายถูกซัดออก

มันนำมาซึ่งจิตสังหารอันรุนแรงที่โอบล้อมผู้ฝึกยุทธ์เหล่านั้น

พวกมันทุกคนหวาดกลัว

พลันเหวี่ยงกระบี่ขึ้นต้านรับในทันที

อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้มิใช่คู่มือจี้เทียนซิงแม้แต่น้อย

หลังจากสองฝ่ายประชันกันไม่กี่กระบวนท่า พวกมันก็เพลี่ยงพล้ำจนศีรษะหลุดจากบ่า

หลังจากการตายของพวกมัน เปลวเพลิงสีทองได้จุดประกายขึ้น

แปรสภาพเป็นพลังปราณธาตุทองอันบริสุทธิ์ยิ่ง และพุ่งเข้าสู่ร่างกายของจี้เทียนซิง

หลังจากองค์ประกอบสีทองได้ผสานเข้ากับพลังปราณของจี้เทียนซิง

ความแข็งแกร่งของเขาก็ได้รับการพัฒนา

"ตอนที่ซื่อเหวินหยูฆ่าผู้บริสุทธิ์ในเมือง

ศพที่ถูกสังหารเหล่านั้นมิได้เผาไหม้และพลังปราณสีทองก็ปะทุออกมาอย่างเบาบางยิ่ง

แม้มันจะได้ดูดซับก็คงเพิ่มพลังให้ไม่มากนัก”

"ส่วนในกรณีของข้า

หลังจากสังหารผู้ฝึกยุทธ์ชั่วร้ายเหล่านี้

ร่างกายของพวกมันจะถูกเผาไหม้กลายเป็นปราณสีทองที่บริสุทธิ์ยิ่ง

มันสามารถช่วยพัฒนาและยกระดับพลังของข้าได้อย่างรวดเร็ว”

เมื่อคิดได้เช่นนี้

จี้เทียนซิงก็เข้าใจดีว่าวิธีการของเขานั้นเหมาะสมและรวดเร็วที่สุด

จากนั้นเขาก็เดินไปทั่วเมืองเพื่อหาเบาะแสในการผ่านไปจากโลกใบนี้

ในระหว่างขั้นตอนนี้

เขาก็ได้พบกับเหตุการณ์เดิมๆ ชาวบ้านที่วิ่งหนีตายด้วยความหวาดกลัว กับ

เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่โหดเหี้ยม

เมื่อใดก็ตามที่เขาพบผู้ฝึกยุทธ์ที่ไร้มนุษยธรรมที่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์

เขาก็จะไม่ปล่อยพวกมันไว้และจู่โจมอย่างสายฟ้าแลบ

หลังจากผู้ฝึกยุทธ์เหล่านั้นถูกสังหาร ศพของพวกมันจะถูกจุดประกายเปลวเพลิงสีทองออกมา

กลายเป็นพลังปราณธาตุทองที่ไหลบ่าเข้าสู่ร่างกายของจี้เทียนซิง

ในที่สุด ครึ่งวันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

จี้เทียนซิงได้สังหารผู้ฝึกยุทธ์โหดเหี้ยมไปหลายร้อยคนอย่างต่อเนื่อง

ส่งผลให้พลังบ่มเพาะของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมากจนในที่สุดก็ก้าวเข้าสู่ขอบเขตปราณจิตขั้นที่หก

!

ในเวลานี้เอง เขาได้เดินมาถึงจวนเก่าๆหลังหนึ่ง

มีเสียงกรีดร้องอยู่ในห้องรอบๆลานบ้านและมีศพหลายศพนอนทอดร่างอยู่ในลาน

คนเหล่านั้นเป็นสตรีและคนรับใช้

จี้เทียนซิงหลับตาเงี่ยหูฟังตำแหน่งเสียงของการต่อสู้

จนทราบตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและพุ่งทะยานเข้าไปในส่วนลึกของบ้านดั่งสายฟ้าแลบ

ภายในห้องโถงใหญ่ มีกลุ่มคนแต่งตัวดีกลุ่มหนึ่ง

คนเหล่านี้มีทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ คนชรา ซึ่งเป็นเจ้าของจวนแห่งนี้

เหล่าโจรป่าชุดดำที่อยู่ตรงหน้ามีหลายคน

พวกมันฟันกลุ่มเจ้าของจวนด้วยกระบี่ในมืออย่างโหดเหี้ยม

ศีรษะหลายหัวกลิ้งไปตามพื้น ภาพที่ได้เห็นสุดที่คนทั่วไปจะทนดูได้

ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ ผู้คนหลายสิบคนจากสามช่วงอายุได้ถูกศีรษะ

ร่างกายของพวกเขาล้มลงกับพื้นและสิ้นลมไปในที่สุด

หลังจากโจรป่าลงมือเสร็จสิ้น

พวกมันก็เริ่มค้นหาทรัพย์สินและสิ่งของมีค่า

ไม่นานหลังจากนั้นจี้เทียนซิงก็ถลาเข้ามาถึงห้องโถงด้วยสีหดหู่  คนกุมกระบี่ในมือไว้แน่น พลันตวัดออกไปด้วยพลังทั้งหมดอย่างโกรธแค้น

ก่อเกิดเป็นคลื่นกระบี่ปกคลุมไปทั่วห้องที่จู่โจมเข้าใส่โจรป่าอำหิตเหล่านั้น

โจรป่าที่เหลือพุ่งเข้ามาสมทบในห้องโถงทันทีพลางคำรามอย่างเกรี้ยวกราดและตอบโต้กลับ

ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือดในห้องโถง  ในไม่ช้าสมรภูมิก็ย้ายจากกลางห้อง ไปที่ประตู

ในที่สุดก็ขยับไปที่ลานกว้างด้านนอก

เสียงกระบี่ปะทะกันดัง ‘เคร้ง เคร้ง  เคร้ง !’ ไม่ขาดสาย  หอบพัดสายลมอันรุนแรงปัดเป่ากระจายไปทั่วลานกว้าง

หลังจากช่วงเวลาสั้นๆผ่านไป

โจรป่าหลายคนที่มีพลังในขอบเขตปราณจิตก็ถูกสังหารด้วยน้ำมือของจี้เทียนซิง

ศพทั้งหลายจุดประกายเปลวเพลิงสีทองและเปลี่ยนเป็นพลังปราณธาตุทองที่ถ่ายเทเข้าสู่ร่างของจี้เทียนซิง

แต่ในระหว่างที่เขากำลังจะสอดกระบี่คืนฝัก

เขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของเด็กดังขึ้นภายในห้องโถง

เขาชะงักไปวูบหนึ่งก่อนที่จะหันกลับทะยานกลับเข้าไปในห้องโถงอย่างไม่ลังเล

ด้านหลังแผงกั้นมุมห้องโถง

เขาได้เห็นดรุณีน้อยนางหนึ่งที่มีอายุราวๆ 6-7 ขวบกำลังนั่งขดตัวร้องไห้

ถึงแม้จี้เทียนซิงจะรู้ว่าโลกใบนี้คือภาพมายา

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ทั้งหมดมิใช่เรื่องจริง

อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาได้เห็นครอบครัวหนึ่งต้องถูกฆ่าล้างโคตรอย่างอนาถ

อีกทั้งยังพบดรุณีน้อยเพียงคนเดียวที่มีชีวิตรอด

อารมณ์ของเขาก็กลายเป็นหดหู่โดยพลัน

ชายหนุ่มเหยียดมือออกไปเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าของดรุณีน้อย

พลางกล่าวปลอบโยนด้วยน้ำเสียงอบอุ่นอยู่หลายคำก่อนที่นางจะหยุดร้องไห้

ดรุณีน้อยจ้องมองเขาด้วยดวงตาที่กระจ่างใส

เผยให้เห็นความไร้เดียงสาของนาง

ขณะนั้นเอง นางถือกระจกสัมฤทธิ์เก่าๆออกมาและมอบให้กับจี้เทียนซิงพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

"พี่ชายใหญ่คะ นี่ค่ะ ข้าให้ท่าน"