ตอนที่ 260

มันทำได้อย่างไร

?

เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้มองไปที่ฝ่ามือขวา

ดวงตากระพริบถี่ด้วยความสับสน

นางไม่อาจทำใจเชื่อได้ว่าจี้เทียนซิงที่ถูกนางซัดหัตถ์ปราณโลหิตเข้าไปเต็มๆกลับไม่ตกตาย

แถมยังได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น

ภายใต้ความโกรธ

นางไม่มีเวลามาครุ่นคิดมากนักและทะยานร่างเข้าหาอีกฝ่ายราวกับพายุ

“เดรัจฉานน้อย มอบชีวิตมา !”

หัตถ์ปราณโลหิตของเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้ตะปบลงมาจากท้องฟ้าและกระแทกเข้าหาศีรษะของจี้เทียนซิงอย่างรวดเร็ว

แต่ในขณะนี้เอง

เสียงโห่ร้องอย่างฉับพลันดังมาจากด้านข้างและปรากฏคลื่นกระบี่เพลิงสามเมตรที่เข้ามาใกล้

"นังปีศาจ ! คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้า

!”

เห็นได้ชัดว่าฮ่าวเมิ่งมาถึงทันเวลาและฟาดกระบี่ยักษ์ออกมาเพื่อสกัดกั้นการโจมตีของเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้

หากนางไม่หยุดมือก็ต้องโดนกระบี่ยักษ์ของฮ่าวเมิ่งทุบเข้าจังเบอร์

เมื่อไร้ทางเลือก

นางจึงทำได้เพียงต้องละเว้นการสังหารจี้เทียนซิงและหันไปรับมือฮ่าวเมิ่งแทน

“ปึง ! ปึง

!”

นางโบกหัตถ์ปราณโลหิตคู่นั้นเข้าต้านรับกระบี่ยักษ์เพลิงของฮ่าวเมิ่งและกระแทกปัดมันลงกับพื้น

เสียง

ปัง ดังขึ้น หญ้ารกครึ้มถูกถากเป็นทางยาวสามเมตรและกว้างเกือบหนึ่งเมตร

ตามมาด้วยพื้นดินที่ไหม้เกรียมจากไอเพลิงของกระบี่ยักษ์

“โอ้วววววว

!!”

ฮ่าวเมิ่งคำรามลั่น

เขากระชับกระบี่ยักษ์ด้วยสองมือและเหวี่ยงฟาดจากด้านล่างเข้าหาเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้อีกระลอก

เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้ถูกฮ่าวเมิ่งตามติดพัวพันและต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการต้านรับการโจมตีอันบ้าคลั่งของเขา

ตึง

!  ตึง

!!

ทั้งสองฝ่ายกลับมาสัประยุทธ์กันอย่างรุนแรงอีกรอบจนเกิดเสียงดังและสั่นสะเทือนไปทั่ว

รัศมี

20 เมตรรอบๆนั้นกลายเป็นยุ่งเหยิง

เศษหินดินทรายปลิวกระเด็นระเกะระกะไปทั่วบริเวณ

“ตอนนี้ล่ะ !”

เมื่อสบโอกาส

จี้เทียนซิงร่ายรำเพลงกระบี่ดาราเหินกระบวนท่าที่สามทันที

มุ่งเป้าไปที่เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้ที่อยู่ไม่ไกลออกไป

“ประกายแสง...  มังกรแดง  !!”

ชายหนุ่มเร่งเร้าพลังชั่วชีวิตรวบรวมออกมาเป็นคลื่นกระบี่ทองคำยาวสามเมตรปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ

พรึ่บ  พรึ่บ  !

คลื่นกระบี่ผันแปรเป็นเปลวเพลิงสีทองที่ลุกไหม้

จากนั้นคงรูปลักษณ์เป็นมังกรตัวหนึ่ง

มันเปล่งแสงสว่างเป็นทางยาวและพุ่งเข้าหาเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้อย่างรวดเร็ว

เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้กำลังต่อสู้พัวพันกับฮ่าวเมิ่ง

และในช่วงเวลานั้นเองที่นางสัมผัสได้ถึงขุมพลังมหาศาลที่พุ่งเข้าหา

ทันใดนั้นสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปและรีบหลบหนีทันที

แต่ทว่า

นางช้าไปก้าวหนึ่งและไม่สามารถหลบหนีจากการระเบิดของประกายแสงมังกรได้

เปรี้ยง

!!!!

ได้ยินเพียงเสียงกัมปนาทดังขึ้น

ประกายแสงมังกรแดงกระทบร่างของนางเข้าเต็มเปาและหอบเอาร่างของนางลากเป็นทางยาวไถลไปหลายเมตร

เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้ถูกกระแทกจนกระเด็นและร่วงหล่นลงบนพื้นหญ้า

ตามมาด้วยการกระอักโลหิตสีม่วงเป็นทางยาว

เมื่อลุกขึ้นจากพื้น

สารรูปของนางก็ดูไม่จืด ผมเผ้ายุ่งเหยิง สีหน้าบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ราวกับปีศาจร้าย

ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยและเจตนาฆ่าฟันที่ปะทุอย่างรุนแรง

เกราะหนังที่นางสวมใส่ระเบิดออกเผยให้เห็นผิวสีม่วงและรอยแผลขนาดใหญ่ที่ชัดเจนและลึกจนเห็นกระดูก

เนื้อสดบนบาดแผลนั้นม้วนตัว

โลหิตสีม่วงเข้มพุ่งทะลักออกมาไหลนองลงบนพื้นผ่านเกราะหนังที่ผุพัง

หญ้าบนพื้นที่ถูกปกคลุมไปด้วยโลหิตสีม่วงเข้มกลายเป็นแห้งเหี่ยวและดำสนิทในทันที

เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้จ้องมองไปที่จี้เทียนซิงด้วยความโกรธ

ดวงตาของนางสั่นระริก ใบหน้าบิดเบี้ยวไปด้วยความแค้น

"จี้ ! เทียน

! ซิง !"

“เจ้ากล้าดียังไงถึงทำให้ข้าบาดเจ็บ ! ข้าจะถลกหนังเจ้า !”

นางกรีดร้องออกมาด้วยความโกรธจนแทนเสียสติ

ก่อนหน้านี้นางไม่เคยมองจี้เทียนซิงอยู่ในสายตา

เพียงมองเขาเป็นมดปลวกและไก่ป่วยๆตัวหนึ่งที่สามารถใช้นิ้วเดียวก็บดขยี้ได้

อย่างไรก็ตาม

'มดปลวก' ตัวนี้กลับทำให้นางบาดเจ็บอย่างรุนแรงและมีสภาพน่าสังเวชยิ่ง

นี่เป็นการดูหมิ่นและเหยียดหยามครั้งใหญ่

!

นางรู้สึกว่าศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจของเผ่าพันธุ์ปีศาจกำลังถูกเหยียบย่ำ

หากไม่สามารถบดขยี้จี้เทียนซิงให้แหลกลาญ

นางจะล้างความอัปยศและสลายความเกลียดชังไปได้อย่างไร ?

ฮ่าวเมิ่งได้เห็นอาการบาดเจ็บของเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้ก็ชะงักงันในทันที

เขามองไปที่ด้านหลังของนางสลับกับจี้เทียนซิงด้วยดวงตาที่เปล่งสีสันแปลกๆ

ในใจของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและสะท้านอย่างรุนแรง

“ไอ้หนูนี่......เห็นได้ชัดว่ามีพลังในขอบเขตปราณจิตขั้นที่สองเท่านั้น

เหตุใดมันถึงทำร้ายนังปีศาจจนบาดเจ็บได้ถึงขั้นนี้ ?”

“บ้าชัดๆ ! ข้าเอาชนะนังปีศาจไม่ได้

แม้แต่จะทำให้นางบาดเจ็บก็ยังไม่คิดฝัน แล้วเจ้าหนูนี่ทำได้อย่างไร ?”

ฮ่าวเมิ่งคิดอยู่เสมอว่าตนเองรู้จักจี้เทียนซิงดีพอ

แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เขาพบว่าอีกฝ่ายต่างออกไปจากเมื่อก่อนซึ่งเขาไม่อาจทำความเข้าใจได้อีกแล้ว

ทันใดนั้นเองมันก็เข้าใจถ่องแท้แล้วว่าเหตุใดเขาถึงกล้าประกาศท้าสู้กับไป๋หวู่เชิน

หากว่ากันตามจริง

ไป๋หวู่เชินแข็งแกร่งกว่าฮ่าวเมิ่งแต่ด้อยกว่าเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้ ดังนั้นเมื่อจี้เทียนซิงสามารถทำร้ายเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้ได้

เขาก็ย่อมเอาชนะไป๋หวู่เชินได้เช่นกัน !

เมื่อคิดได้ดังนี้ฮ่าวเมิ่งก็หรี่ตามองจี้เทียนซิงอย่างลึกซึ้ง

ในใจสวดภาวนาให้ไป๋หวู่เชิน

“ศิษย์พี่ไป๋หนอศิษย์พี่ไป๋.....

ข้าเพียงหวังว่าถึงวันประลองท่านจะไม่แพ้ยับเยินจนน่าอดสูหรอกนะ....

ยอมเป็นศิษย์รับใช้ปีเดียวก็ยังดีซะกว่าต้องพิกลพิการในการประลอง”

..........

ในเวลาเดียวกันเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้ก็ทะยานเข้าใส่จี้เทียนซิงอีกครั้งและทำการโจมตีอย่างบ้าคลั่ง

จี้เทียนซิงตกอยู่ในภาวะวิกฤติและอาจได้รับบาดเจ็บสาหัสจากหัตถ์ปราณโลหิตได้ตลอดเวลา

เขาต้องใช้ฝีเท้าอย่างหนักและโคจรย่างก้าวไร้เงาเพื่อหลบหนีการโจมตีดั่งพายุของนาง

“อ๊ะ ! คิดเพลินไปหน่อย  ศิษย์น้องจี้ข้ามาช่วยแล้ว !”

ฮ่าวเมิ่งได้สติและมุ่งหน้าไปช่วยจี้เทียนซิงอย่างรวดเร็ว

เขาเหวี่ยงกระบี่ยักษ์ฟาดฟันเข้าหาเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้อย่างดุดัน

ยอดฝีมือทั้งสามปะทะกันอย่างต่อเนื่องในป่าทึบ

มันก่อให้เกิดเสียงดังสนั่นและพื้นดินสั่นสะเทือนไปทั่ว

ในช่วงเวลานี้จี้เทียนซิงถูกการโจมตีของเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้ตามติดอย่างไม่ลดละ

เขาทำได้เพียงต้านรับและหลบหลีกอย่างสิ้นหนทาง

โดยไม่รู้ตัว

จุดฝังเข็มทั้งหลายตามจุดชีพจรได้ถูกกรุยทางด้วยพลังปราณอันมหาศาล

จนทำให้การบรรเทาเสร็จสิ้นไปในเวลาไม่นาน

ทั้งสามประมือพัวพันกันเพียงครึ่งชั่วยาม

แต่มันกลับทำให้จุดฝังเข็มห้าจุดของจี้เทียนซิงถูกบรรเทาในระยะเวลาอันสั้น !

เมื่อพลังของเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้แผ่วลง

การโจมตีก็เริ่มช้าลงและช้าลงเป็นเงาตามตัว

แรงกดทับที่มีต่อจี้เทียนซิงก่อนหน้านี้ก็เริ่มคลายลง

ในเวลานี้เขาก็ค้นพบว่าจุดฝังเข็มแปดจุดของเส้นชีพจรกระบี่เส้นที่สองได้ถูกบรรเทาโดยสมบูรณ์

เขาทะลุผ่านขอบเขตปราณจิตขั้นที่สองจนก้าวล่วงไปสู่ปราณจิตขั้นที่สาม

!

แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บหลายครั้งหลายครา

แต่ทั้งหมดนี้ก็ทำให้เขาพึงพอใจอย่างยิ่งจนไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ

ในเวลานี้เอง

ในป่าไม่ไกลออกไปได้เกิดเสียงคำรามต่ำดังขึ้น

“จวินจู้ !  กลับไปที่ถ้ำปีศาจเดี๋ยวนี้ !   นี่เป็นแผนล่อเสือออกจากถ้ำ

พวกมนุษย์แบ่งกำลังอีกส่วนหนึ่งเข้าไปสังหารนักรบของเรา !”

นี่คือเสียงของมหาปุโรหิตซึ่งตะโกนออกมาเป็นภาษาของเผ่าพันธุ์ปีศาจ

น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยโทสะและความโกรธแค้น

เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้สีหน้าเปลี่ยนไปทันที

ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชังอันล้ำลึก

ดวงตาของนางจ้องเขม็งไปที่จี้เทียนซิงและฮ่าวเมิ่ง

จากนั้นก็หันหลังทะยานกลับไปที่ถ้ำปีศาจด้วยความรวดเร็ว

ชายหนุ่มทั้งสองเห็นอีกฝ่ายคิดจะหลบหนีจึงร้องเตือนให้กันและคิดจะตามล่า

“ตามไปเร็ว ! พวกเราต้องรั้งนางไว้ให้ได้

!”

“อย่าปล่อยให้นางหนีไป ! ถ่วงเวลาไว้ให้ทีมอื่น !”

จี้เทียนซิงและฮ่าวเมิ่งพุ่งเป็นเส้นรุ้งเข้าไปในป่าทึบและไล่ล่านางด้วยความเร็วสูงสุด

อย่างไรก็ตาม

เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้กลายเป็นลำแสงสีแดงเลือกและกระพริบหายไปในป่าด้วยความเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ

หลังจากช่วงเวลาสั้นๆ

เมื่อจี้เทียนซิงและฮ่าวเมิ่งวิ่งออกจากป่าไปที่ปากถ้ำปีศาจ พวกเขาก็ได้เห็นเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้และมหาปุโรหิตที่เพิ่งเข้าไปในถ้ำ

ต่อมา

หยุนเหยา เฟิงหมินและอู่อวี้ก็รีบไปที่ประตู แน่นอนว่าพวกเขาคิดจะตามล่ามหาปุโรหิต

คนทั้งสามต่างได้รับบาดเจ็บ

แต่บาดแผลก็ไม่หนักหนามากนักและไม่มีอันตรายถึงชีวิต