บนแผ่นมังกรเทียนซวน
มีหมอกทมิฬสองกลุ่มพวยพุ่งขึ้นอย่างเบาบาง
หลงหยุนเซียวจ้องไปที่แผนที่อยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก
"เหอะๆ ไม่ผิดแน่ มีพวกมารร้ายแฝงตัวก่อเรื่องชั่วร้ายอยู่”
"หนึ่งในนั้นอยู่ใกล้กับนิกายพันธมิตรสวรรค์อย่างมาก
ช่างกำแหงนัก !"
หยุดไปครู่หนึ่ง
มันก็มองไปยังกลุ่มหมอกทมิฬที่หนาแน่นที่สุดบนแผนที่และถามว่า
“นายพลหยู
ท่านทราบหรือไม่ว่าหมอกกลุ่มนี้อยู่ในสถานที่ใด ?"
นายพลหยูจ้องไปที่แผนที่อยู่พักใหญ่
จากนั้นโค้งคารวะรายงานว่า “เรียนเทียนจือ ข้าน้อยได้ศึกษาข้อมูลสถานที่ของดินแดนดาราบรรพกาลเมื่อวานนี้
พอจะมีความรู้อยู่บ้าง
สถานที่ที่กลุ่มหมอกหนาแน่นแข็งกร้าวที่สุดก็คือในเมืองโบราณแห่งหนึ่ง
เรียกกันว่าเมืองวิญญาณเพลิงขอรับ”
"ในเมืองแห่งนี้มีผู้ฝึกยุทธ์สามเผ่าพันธุ์
เก้าตระกูลอาศัยอยู่เป็นกลุ่มหลัก
ประชากรส่วนมากมีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกับแปดนิกายใหญ่มาอย่างยาวนาน รุ่นสู่รุ่น”
"ยิ่งไปกว่านั้นเมืองวิญญาณเพลิงยังได้รับการปกปักษ์รักษาจากการก่อตัวของมหาข่ายปราณลวงตา
คนทั่วไปมิอาจมองเห็นการคงอยู่ของเมืองๆนี้
แปดนิกายใหญ่หากจะเข้าไปในเมืองต้องมีป้ายยืนยันถึงจะเข้าไปได้ขอรับ”
หลังจากฟังคำอธิบายของนายพลหยูฉิน
หลงหยุนเซียวก็เกิดความคิดขึ้นในใจ
มันสั่งการด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “นายพลหยู พรุ่งนี้เช้าเราเทียนจือจะออกจากนิกายพันธมิตรสวรรค์
มุ่งหน้าไปกำจัดมารที่เหลือรอดอยู่ในเมืองวิญญาณเพลิง ท่านรั้งอยู่ที่นี่
ร่วมมือกับฉู่เทียนเซิงออกค้นหาเบาะแสในการทำลายล้างพวกมารปีศาจบริเวณรอบๆนิกายพันธมิตรสวรรค์ให้สิ้นซากซะ”
นายพลหยูฉินสีหน้าเปลี่ยนไป คนโค้งคำนับอย่างรวดเร็วพลางกล่าวว่า
“เทียนจือ
เรื่องนี้ทำไม่ได้เด็ดขาด ! ท่านเป็นบุตรแห่งตี้จวิน
ตัวตนของท่านล้ำค่ายิ่งกว่าสิ่งใด
ท่านจะเอาตัวเองไปเสี่ยงอัตราในการกำจัดพวกมารได้อย่างไรขอรับ ?!”
"เรื่องนี้มอบหมายให้ข้ารับใช้อย่างกระหม่อมเถิด ส่วนท่านก็อยู่บัญชาการที่นี่
น่าจะเป็นเรื่องเหมาะสมที่สุดขอรับ"
ก่อนออกจากลานจักรพรรดิจ้งโจว ตี้จวินเคยกำชับมันหนักหนาว่าความปลอดภัยของเทียนจือต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง
เรื่องไม่คาดฝันใดๆมิอาจนำมายกอ้างปัดความรับผิดชอบได้
เมื่อถูกสั่งการอย่างเด็ดขาดเช่นนี้
หากมันยอมให้เทียนจือเดินทางไปยังเมืองวิญญาณเพลิงเพื่อสังหารพวกมารเพียงลำพัง จะมิให้มันร้อนใจได้อย่างไร ?
หลงหยุนเซียวขมวดคิ้ว จ้องมองอีกฝ่ายอย่างเคร่งขรึมพลางกล่าวว่า
"นายพลหยู เราเทียนจือเดินทางมายังดินแดนห่างไกลเช่นนี้
ย่อมแบกรับหน้าที่และความรับผิดชอบที่หนักอึ้งไว้บนสองไหล่
หากนิ่งเฉยทำตัวเป็นโอรสสวรรค์เพียงแต่ชื่อ เสพสุขไปวันๆ เราจะปกป้องราษฏร์จากเงื้อมมือปีศาจที่แฝงตัวได้อย่างไร
? เรามิใช่บุรุษที่ขลาดเขลาเยี่ยงนั้น
!”
นายพลหยูทอดถอนใจ
มันรู้ดีว่าคำพูดมันมิอาจขัดขวางเจตนาของอีกฝ่ายได้ มันจึงเปลี่ยนคำพูด “เทียนจือ
หากท่านคิดจะไปเมืองวิญญาณเพลิงจริงๆ ข้าน้อยจะต้องติดตามท่านไปด้วยขอรับ”
"ไม่จำเป็น"
หลงหยุนเซียวโบกมือแสดงความมั่นใจ
พลางกล่าวต่อไปอย่างเชื่อมั่นในตัวเองว่า
“เราเทียนจือถือกำเนิดมาพร้อมกับเส้นชีพจรลมปราณอันศักดิ์สิทธิ์, กายเทพอัสนีฟ้า
พวกมารปีศาจยากที่จะทำร้ายเราได้”
“ด้วยความแข็งแกร่งและระดับปราณยุทธ์ของเรา
ลำพังระดับขุนพลหรือราชามารทั่วไปย่อมไม่อยู่ในสายตา !”
นายพลหยูเฉินยังคงรู้สึกไม่สบายใจ
จึงต้องการโน้มน้าวใจอีกฝ่ายอยู่หลายคำ
“เทียนจือ
แต่.....”
“ไม่มีแต่ !
ท่านกับเราใครเป็นผู้นำใครเป็นผู้ตามกันแน่ ?
หลงหยุนเซียวขมวดคิ้วพลางพูดตัดบทและสั่งการด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่
“ข้าน้อยมิกล้าขอรับ....”
นายพลหยูฉินอับจนถ้อยคำ
มันทำได้เพียงเชื่อฟังและเดินออกจากห้องไป
………………
ตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น หลงหยุนเซียวเดินออกจากตำหนักเทียนเหอ
มุ่งหน้าไปหาหยุนเหยาในตำหนักเมฆขาว
ในเวลานี้หยุนเหยากำลังนั่งเข้าฌานอยู่บนหลังคาของตำหนักเมฆขาว นางนั่งอยู่บนอาสนะหยก หันหน้าไปทางหน้าผาที่เต็มไปด้วยทะเลเมฆ
สองตาปิดสนิท
นางยังคงอยู่ในอาภรณ์ขาวพิสุทธิ์
เกศายาวสลวยแผ่สยายปกคลุมทั่วแผ่นหลังที่บอบบาง
กลิ่นอายและรัศมีพลังของนางดูบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ ยากที่ผู้คนจะเข้าใกล้
นางถูกรายล้อมไปด้วยเมฆหมอกสีขาวจำนวนมาก ราวกับว่านางเป็นนางฟ้าที่นั่งบ่มเพาะอยู่กลางสรวงสวรรค์
หลงหยุนเซียวจ้องมองร่างเงาอันอรชรของนาง แววตากลายเป็นนุ่มนวลอ่อนโยนขึ้น
พลันเอ่ยวาจาอย่างสุภาพว่า
“เหยาเหยา
เหตุใดเจ้าถึงได้เข้าฌานบ่มเพาะพลังแต่เช้าตรู่ขนาดนี้เล่า ?”
หยุนเหยาสิ้นสุดการบ่มเพาะ
เปิดเปลือกตาขึ้นแต่มิได้มองย้อนกลับไป คนกล่าวด้วยเสียงเย็นว่า
“ข้าทำสมาธิอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อคืน เจ้าจะถามให้มันได้อะไรขึ้นมา ?”
หลงหยุนเซียวรู้สึกกระดากอายเล็กน้อย
มันรู้ดีว่าหยุนเหยายังคงโกรธเคืองต่อเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้
เพียงแต่สิ่งที่มันไม่ทราบก็คือ
เหตุผลที่หยุนเหยากระสับกระส่ายจนต้องนั่งสมาธิทั้งคืนมิใช่เพราะมัน แต่เป็นเพราะจูบของจี้เทียนซิง
หลงหยุนเซียวเงียบไปครู่หนึ่งและไม่ได้พูดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมา
เพื่อมิให้บรรยากาศระหว่างพวกเขากลายเป็นอึดอัดยิ่งขึ้น
จากนั้นมันก็เอ่ยปากเข้าเรื่องธุระในทันทีว่า
“เหยาเหยา
ที่เรามาหาเจ้าแต่เช้าก็เพราะมีเรื่องต้องการให้เจ้าช่วย"
จากนั้นมันก็หยุดเงียบ รอคำตอบของนาง
แต่ทว่าหยุนเหยายังคงนั่งอยู่บนอาสนะในขณะที่หันหลังให้
ทำให้มันมิอาจเห็นสีหน้าและการแสดงออกใดๆของนาง
หลงหยุนเซียวชิงกล่าวต่อไปว่า "เราได้ดูดาวบนท้องฟ้าเมื่อคืนนี้ผ่านข่ายอาคมทำนายชะตาฟ้าจนคาดการณ์ได้ว่า
สถานการณ์ความวุ่นวายในอาณาจักรเทียนเฉินนั้นยังไงก็ต้องเกิด
และเกิดจากฝีมือของพวกมาร”
“เมื่อคืนเราถึงขั้นใช้แผ่นมังกรเทียนซวนในการค้นหาตำแหน่งจากไอมารของพวกมารปีศาจ
จนพบสถานที่กบดานของพวกมัน
เป็นไปได้สูงว่าพวกมันมีเจตนาไม่ดีต่อนิกายพันธมิตรสวรรค์”
“ในความเห็นของเรา
ตราบใดที่พวกมารชั่วถูกกำจัด เรื่องราวบาดหมางและความขัดแย้งระหว่างนิกายเจ้ากับกระบี่ฟ้าย่อมคลี่คลายลง
และสถานการณ์โดยรวมของอาณาจักรเทียนเฉินจะมีเสถียรภาพขึ้น"
“เราพบว่าพวกมารได้ซ่อนตัวอยู่ในเมืองวิญญาณเพลิง
ดังนั้นเราจึงคิดเดินทางไปที่นั่นเพื่อทำลายล้างพวกมันเป็นการส่วนตัว อย่างไรก็ตาม
เรื่องนี้สำคัญมาก เราต้องการคำแนะนำและกำลังเสริมจากเจ้า"
หลังจากมันพูดจบ หยุนเหยาถึงมีการตอบสนอง
นางยืนขึ้นและหันไปมองหลงหยุนเซียวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ในเมื่อเทียนจือมีธุระต้องการเรียกใช้
หยุนเหยาย่อมมิกล้าขัดคำสั่งและจะต้องช่วยท่านในการกวาดล้างพวกมารแน่นอน”
การแสดงออกและน้ำเสียงของหยุนเหยาดูเย็นชาและเป็นทางการมาก
ราวกับว่านางกำลังสนทนากับผู้ที่มีศักดิ์ฐานะต่างกัน
ถึงแม้ว่าหลงหยุนเซียวจะรู้สึกกระดากเล็กน้อย
แต่ในเมื่อหยุนเหยารับปากว่าจะเดินทางไปยังเมืองวิญญาณเพลิงด้วยกันก็ทำให้มันมีความสุขมากแล้ว
มันตื่นเต้นยินดีและเต็มไปด้วยความคาดหวังสำหรับการเดินทางไปยังเมืองวิญญาณเพลิง
อย่างไรก็ตาม
หยุนเหยากลอกตาพลางกล่าวเสริมว่า “ในเมื่อพวกมารปีศาจหลบซ่อนอยู่ในเมืองวิญญาณเพลิง
เช่นนั้นข้าก็มีเรื่องแนะนำและบังอาจขอให้เทียนจือรับไว้พิจารณา”
"ข้าคุ้นเคยกับดินแดนดาราบรรพกาลก็จริงแต่ไม่เคยเข้าไปในเมืองวิญญาณเพลิง มีเพียงศิษย์น้องเทียนซิงที่เคยไปสถานที่นั้น
มันคุ้นเคยกับสถานการณ์ในเมืองมากกว่า”
"ถ้าหากเทียนจือต้องการให้ภารกิจนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี พวกเราพาศิษย์น้องจี้ไปด้วยจะเป็นประโยชน์กว่า"
หลงหยุนเซียวขมวดคิ้วในทันที
ความสุขในใจอันตธารหายไปในพริบตา
มันต้องการใช้โอกาสนี้
ออกเดินทางสองต่อสองกับหยุนเหยาเพื่อเพิ่มความสนิทสนม
ซึ่งความจริงแล้วการทำลายล้างพวกมารในเมืองนั้น ลำพังตัวมันคนเดียวก็เหลือแหล่
มันคาดไม่ถึงว่าหยุนเหยาจะเล็งเห็นถึงเจตนาแฝงของมัน
จึงใช้ข้ออ้างที่สมเหตุสมผลพาจี้เทียนซิงร่วมทางไปด้วย !
"น่าโมโหนัก ! นี่เราต้องร่วมทางกันสามคนอีกแล้ว ?!"
ในใจของหลงหยุนเซียวรู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก มันพึมพำอย่างเงียบๆคนเดียว
อย่างไรก็ตาม ฉากหน้ามันก็ไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา
เพียงพยักหน้าอย่างสงบ “ในเมื่อเจ้าเห็นว่าสมควร เราย่อมตกลง
เพื่อให้แผนการทำลายล้างพวกมารสำเร็จลุล่วงและราบรื่น เราไม่มีปัญหา"
เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าและเห็นด้วยกับเรื่องนี้
หยุนเหยาจึงไม่พูดอะไรอีก
นางเหินร่างลงจากหลังคาและกลับเข้าไปในตำหนัก
นางแจ้งสาวใช้ให้ส่งข้อความไปที่ลานเทียนซิง จากนั้นตนเองก็มุ่งหน้าไปยังตำหนักฉิงเทียน
เพื่อรายงานสถานการณ์ให้ฉู่เทียนเซิงทราบ
เมื่อได้ยินคำบอกเล่าของหยุนเหยา
ฉู่เทียนเซิงก็รู้สึกกังวลถึงความปลอดภัยของเทียนจือไม่น้อย อย่างไรก็ตาม
มันไม่มีอำนาจพอจะห้ามปรามอีกฝ่ายได้
ทำได้เพียงพยักหน้าและบอกให้นางระวังตัวให้มาก
ครึ่งชั่วยามต่อมา
จี้เทียนซิงก็มุ่งหน้ามาถึงตำหนักเมฆขาว มารวมตัวกับหยุนเหยาและหลงหยุนเซียว
หลังจากหยุนเหยาอธิบายสถานการณ์คร่าวๆให้ฟัง ชายหนุ่มก็พยักหน้าตกลงโดยไม่ลังเล
จากนั้น
ทั้งสามคนก็ออกจากนิกายพันธมิตรสวรรค์ มุ่งหน้าไปยังเมืองวิญญาณเพลิง
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved