ตอนที่ 387 สามคนอีกแล้ว ?

บนแผ่นมังกรเทียนซวน

มีหมอกทมิฬสองกลุ่มพวยพุ่งขึ้นอย่างเบาบาง

หลงหยุนเซียวจ้องไปที่แผนที่อยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก

"เหอะๆ ไม่ผิดแน่ มีพวกมารร้ายแฝงตัวก่อเรื่องชั่วร้ายอยู่”

"หนึ่งในนั้นอยู่ใกล้กับนิกายพันธมิตรสวรรค์อย่างมาก

ช่างกำแหงนัก !"

หยุดไปครู่หนึ่ง

มันก็มองไปยังกลุ่มหมอกทมิฬที่หนาแน่นที่สุดบนแผนที่และถามว่า

“นายพลหยู

ท่านทราบหรือไม่ว่าหมอกกลุ่มนี้อยู่ในสถานที่ใด ?"

นายพลหยูจ้องไปที่แผนที่อยู่พักใหญ่

จากนั้นโค้งคารวะรายงานว่า “เรียนเทียนจือ ข้าน้อยได้ศึกษาข้อมูลสถานที่ของดินแดนดาราบรรพกาลเมื่อวานนี้

พอจะมีความรู้อยู่บ้าง

สถานที่ที่กลุ่มหมอกหนาแน่นแข็งกร้าวที่สุดก็คือในเมืองโบราณแห่งหนึ่ง

เรียกกันว่าเมืองวิญญาณเพลิงขอรับ”

"ในเมืองแห่งนี้มีผู้ฝึกยุทธ์สามเผ่าพันธุ์

เก้าตระกูลอาศัยอยู่เป็นกลุ่มหลัก

ประชากรส่วนมากมีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกับแปดนิกายใหญ่มาอย่างยาวนาน รุ่นสู่รุ่น”

"ยิ่งไปกว่านั้นเมืองวิญญาณเพลิงยังได้รับการปกปักษ์รักษาจากการก่อตัวของมหาข่ายปราณลวงตา

คนทั่วไปมิอาจมองเห็นการคงอยู่ของเมืองๆนี้

แปดนิกายใหญ่หากจะเข้าไปในเมืองต้องมีป้ายยืนยันถึงจะเข้าไปได้ขอรับ”

หลังจากฟังคำอธิบายของนายพลหยูฉิน

หลงหยุนเซียวก็เกิดความคิดขึ้นในใจ

มันสั่งการด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “นายพลหยู พรุ่งนี้เช้าเราเทียนจือจะออกจากนิกายพันธมิตรสวรรค์

มุ่งหน้าไปกำจัดมารที่เหลือรอดอยู่ในเมืองวิญญาณเพลิง ท่านรั้งอยู่ที่นี่

ร่วมมือกับฉู่เทียนเซิงออกค้นหาเบาะแสในการทำลายล้างพวกมารปีศาจบริเวณรอบๆนิกายพันธมิตรสวรรค์ให้สิ้นซากซะ”

นายพลหยูฉินสีหน้าเปลี่ยนไป คนโค้งคำนับอย่างรวดเร็วพลางกล่าวว่า

“เทียนจือ

เรื่องนี้ทำไม่ได้เด็ดขาด !  ท่านเป็นบุตรแห่งตี้จวิน

ตัวตนของท่านล้ำค่ายิ่งกว่าสิ่งใด

ท่านจะเอาตัวเองไปเสี่ยงอัตราในการกำจัดพวกมารได้อย่างไรขอรับ ?!”

"เรื่องนี้มอบหมายให้ข้ารับใช้อย่างกระหม่อมเถิด  ส่วนท่านก็อยู่บัญชาการที่นี่

น่าจะเป็นเรื่องเหมาะสมที่สุดขอรับ"

ก่อนออกจากลานจักรพรรดิจ้งโจว ตี้จวินเคยกำชับมันหนักหนาว่าความปลอดภัยของเทียนจือต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง

เรื่องไม่คาดฝันใดๆมิอาจนำมายกอ้างปัดความรับผิดชอบได้

เมื่อถูกสั่งการอย่างเด็ดขาดเช่นนี้

หากมันยอมให้เทียนจือเดินทางไปยังเมืองวิญญาณเพลิงเพื่อสังหารพวกมารเพียงลำพัง   จะมิให้มันร้อนใจได้อย่างไร ?

หลงหยุนเซียวขมวดคิ้ว จ้องมองอีกฝ่ายอย่างเคร่งขรึมพลางกล่าวว่า

"นายพลหยู เราเทียนจือเดินทางมายังดินแดนห่างไกลเช่นนี้

ย่อมแบกรับหน้าที่และความรับผิดชอบที่หนักอึ้งไว้บนสองไหล่

หากนิ่งเฉยทำตัวเป็นโอรสสวรรค์เพียงแต่ชื่อ เสพสุขไปวันๆ เราจะปกป้องราษฏร์จากเงื้อมมือปีศาจที่แฝงตัวได้อย่างไร

? เรามิใช่บุรุษที่ขลาดเขลาเยี่ยงนั้น

!”

นายพลหยูทอดถอนใจ

มันรู้ดีว่าคำพูดมันมิอาจขัดขวางเจตนาของอีกฝ่ายได้ มันจึงเปลี่ยนคำพูด “เทียนจือ

หากท่านคิดจะไปเมืองวิญญาณเพลิงจริงๆ ข้าน้อยจะต้องติดตามท่านไปด้วยขอรับ”

"ไม่จำเป็น"

หลงหยุนเซียวโบกมือแสดงความมั่นใจ

พลางกล่าวต่อไปอย่างเชื่อมั่นในตัวเองว่า

“เราเทียนจือถือกำเนิดมาพร้อมกับเส้นชีพจรลมปราณอันศักดิ์สิทธิ์, กายเทพอัสนีฟ้า

พวกมารปีศาจยากที่จะทำร้ายเราได้”

“ด้วยความแข็งแกร่งและระดับปราณยุทธ์ของเรา

ลำพังระดับขุนพลหรือราชามารทั่วไปย่อมไม่อยู่ในสายตา !”

นายพลหยูเฉินยังคงรู้สึกไม่สบายใจ

จึงต้องการโน้มน้าวใจอีกฝ่ายอยู่หลายคำ

“เทียนจือ

แต่.....”

“ไม่มีแต่ !

ท่านกับเราใครเป็นผู้นำใครเป็นผู้ตามกันแน่ ?

หลงหยุนเซียวขมวดคิ้วพลางพูดตัดบทและสั่งการด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่

“ข้าน้อยมิกล้าขอรับ....”

นายพลหยูฉินอับจนถ้อยคำ

มันทำได้เพียงเชื่อฟังและเดินออกจากห้องไป

………………

ตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น หลงหยุนเซียวเดินออกจากตำหนักเทียนเหอ

มุ่งหน้าไปหาหยุนเหยาในตำหนักเมฆขาว

ในเวลานี้หยุนเหยากำลังนั่งเข้าฌานอยู่บนหลังคาของตำหนักเมฆขาว  นางนั่งอยู่บนอาสนะหยก หันหน้าไปทางหน้าผาที่เต็มไปด้วยทะเลเมฆ

สองตาปิดสนิท

นางยังคงอยู่ในอาภรณ์ขาวพิสุทธิ์

เกศายาวสลวยแผ่สยายปกคลุมทั่วแผ่นหลังที่บอบบาง

กลิ่นอายและรัศมีพลังของนางดูบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ ยากที่ผู้คนจะเข้าใกล้

นางถูกรายล้อมไปด้วยเมฆหมอกสีขาวจำนวนมาก ราวกับว่านางเป็นนางฟ้าที่นั่งบ่มเพาะอยู่กลางสรวงสวรรค์

หลงหยุนเซียวจ้องมองร่างเงาอันอรชรของนาง แววตากลายเป็นนุ่มนวลอ่อนโยนขึ้น

พลันเอ่ยวาจาอย่างสุภาพว่า

“เหยาเหยา

เหตุใดเจ้าถึงได้เข้าฌานบ่มเพาะพลังแต่เช้าตรู่ขนาดนี้เล่า ?”

หยุนเหยาสิ้นสุดการบ่มเพาะ

เปิดเปลือกตาขึ้นแต่มิได้มองย้อนกลับไป คนกล่าวด้วยเสียงเย็นว่า

“ข้าทำสมาธิอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อคืน  เจ้าจะถามให้มันได้อะไรขึ้นมา ?”

หลงหยุนเซียวรู้สึกกระดากอายเล็กน้อย

มันรู้ดีว่าหยุนเหยายังคงโกรธเคืองต่อเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้

เพียงแต่สิ่งที่มันไม่ทราบก็คือ

เหตุผลที่หยุนเหยากระสับกระส่ายจนต้องนั่งสมาธิทั้งคืนมิใช่เพราะมัน  แต่เป็นเพราะจูบของจี้เทียนซิง

หลงหยุนเซียวเงียบไปครู่หนึ่งและไม่ได้พูดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมา

เพื่อมิให้บรรยากาศระหว่างพวกเขากลายเป็นอึดอัดยิ่งขึ้น

จากนั้นมันก็เอ่ยปากเข้าเรื่องธุระในทันทีว่า

“เหยาเหยา

ที่เรามาหาเจ้าแต่เช้าก็เพราะมีเรื่องต้องการให้เจ้าช่วย"

จากนั้นมันก็หยุดเงียบ รอคำตอบของนาง

แต่ทว่าหยุนเหยายังคงนั่งอยู่บนอาสนะในขณะที่หันหลังให้

ทำให้มันมิอาจเห็นสีหน้าและการแสดงออกใดๆของนาง

หลงหยุนเซียวชิงกล่าวต่อไปว่า "เราได้ดูดาวบนท้องฟ้าเมื่อคืนนี้ผ่านข่ายอาคมทำนายชะตาฟ้าจนคาดการณ์ได้ว่า

สถานการณ์ความวุ่นวายในอาณาจักรเทียนเฉินนั้นยังไงก็ต้องเกิด

และเกิดจากฝีมือของพวกมาร”

“เมื่อคืนเราถึงขั้นใช้แผ่นมังกรเทียนซวนในการค้นหาตำแหน่งจากไอมารของพวกมารปีศาจ

จนพบสถานที่กบดานของพวกมัน

เป็นไปได้สูงว่าพวกมันมีเจตนาไม่ดีต่อนิกายพันธมิตรสวรรค์”

“ในความเห็นของเรา

ตราบใดที่พวกมารชั่วถูกกำจัด เรื่องราวบาดหมางและความขัดแย้งระหว่างนิกายเจ้ากับกระบี่ฟ้าย่อมคลี่คลายลง

และสถานการณ์โดยรวมของอาณาจักรเทียนเฉินจะมีเสถียรภาพขึ้น"

“เราพบว่าพวกมารได้ซ่อนตัวอยู่ในเมืองวิญญาณเพลิง

ดังนั้นเราจึงคิดเดินทางไปที่นั่นเพื่อทำลายล้างพวกมันเป็นการส่วนตัว อย่างไรก็ตาม

เรื่องนี้สำคัญมาก เราต้องการคำแนะนำและกำลังเสริมจากเจ้า"

หลังจากมันพูดจบ หยุนเหยาถึงมีการตอบสนอง

นางยืนขึ้นและหันไปมองหลงหยุนเซียวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“ในเมื่อเทียนจือมีธุระต้องการเรียกใช้

หยุนเหยาย่อมมิกล้าขัดคำสั่งและจะต้องช่วยท่านในการกวาดล้างพวกมารแน่นอน”

การแสดงออกและน้ำเสียงของหยุนเหยาดูเย็นชาและเป็นทางการมาก

ราวกับว่านางกำลังสนทนากับผู้ที่มีศักดิ์ฐานะต่างกัน

ถึงแม้ว่าหลงหยุนเซียวจะรู้สึกกระดากเล็กน้อย

แต่ในเมื่อหยุนเหยารับปากว่าจะเดินทางไปยังเมืองวิญญาณเพลิงด้วยกันก็ทำให้มันมีความสุขมากแล้ว

มันตื่นเต้นยินดีและเต็มไปด้วยความคาดหวังสำหรับการเดินทางไปยังเมืองวิญญาณเพลิง

อย่างไรก็ตาม

หยุนเหยากลอกตาพลางกล่าวเสริมว่า “ในเมื่อพวกมารปีศาจหลบซ่อนอยู่ในเมืองวิญญาณเพลิง

เช่นนั้นข้าก็มีเรื่องแนะนำและบังอาจขอให้เทียนจือรับไว้พิจารณา”

"ข้าคุ้นเคยกับดินแดนดาราบรรพกาลก็จริงแต่ไม่เคยเข้าไปในเมืองวิญญาณเพลิง  มีเพียงศิษย์น้องเทียนซิงที่เคยไปสถานที่นั้น

มันคุ้นเคยกับสถานการณ์ในเมืองมากกว่า”

"ถ้าหากเทียนจือต้องการให้ภารกิจนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี  พวกเราพาศิษย์น้องจี้ไปด้วยจะเป็นประโยชน์กว่า"

หลงหยุนเซียวขมวดคิ้วในทันที

ความสุขในใจอันตธารหายไปในพริบตา

มันต้องการใช้โอกาสนี้

ออกเดินทางสองต่อสองกับหยุนเหยาเพื่อเพิ่มความสนิทสนม

ซึ่งความจริงแล้วการทำลายล้างพวกมารในเมืองนั้น ลำพังตัวมันคนเดียวก็เหลือแหล่

มันคาดไม่ถึงว่าหยุนเหยาจะเล็งเห็นถึงเจตนาแฝงของมัน

จึงใช้ข้ออ้างที่สมเหตุสมผลพาจี้เทียนซิงร่วมทางไปด้วย !

"น่าโมโหนัก !  นี่เราต้องร่วมทางกันสามคนอีกแล้ว ?!"

ในใจของหลงหยุนเซียวรู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก มันพึมพำอย่างเงียบๆคนเดียว

อย่างไรก็ตาม ฉากหน้ามันก็ไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา

เพียงพยักหน้าอย่างสงบ “ในเมื่อเจ้าเห็นว่าสมควร เราย่อมตกลง

เพื่อให้แผนการทำลายล้างพวกมารสำเร็จลุล่วงและราบรื่น  เราไม่มีปัญหา"

เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าและเห็นด้วยกับเรื่องนี้

หยุนเหยาจึงไม่พูดอะไรอีก

นางเหินร่างลงจากหลังคาและกลับเข้าไปในตำหนัก

นางแจ้งสาวใช้ให้ส่งข้อความไปที่ลานเทียนซิง  จากนั้นตนเองก็มุ่งหน้าไปยังตำหนักฉิงเทียน

เพื่อรายงานสถานการณ์ให้ฉู่เทียนเซิงทราบ

เมื่อได้ยินคำบอกเล่าของหยุนเหยา

ฉู่เทียนเซิงก็รู้สึกกังวลถึงความปลอดภัยของเทียนจือไม่น้อย   อย่างไรก็ตาม

มันไม่มีอำนาจพอจะห้ามปรามอีกฝ่ายได้

ทำได้เพียงพยักหน้าและบอกให้นางระวังตัวให้มาก

ครึ่งชั่วยามต่อมา

จี้เทียนซิงก็มุ่งหน้ามาถึงตำหนักเมฆขาว มารวมตัวกับหยุนเหยาและหลงหยุนเซียว

หลังจากหยุนเหยาอธิบายสถานการณ์คร่าวๆให้ฟัง  ชายหนุ่มก็พยักหน้าตกลงโดยไม่ลังเล

จากนั้น

ทั้งสามคนก็ออกจากนิกายพันธมิตรสวรรค์ มุ่งหน้าไปยังเมืองวิญญาณเพลิง