ตอนที่ 137

ลักลอบเรียนรู้

ย่างสู่รัตติกาล

จี้เทียนซิงออกจากหอวิญญาณโอสถและกลับไปที่หอยุทธ์ฟงอวิ๋น

เขาเยี่ยมอาการจี้เค่อและคุยกับนางอยู่นาน  เมื่อรู้ว่าอาการของนางนั้นไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว

หลังจากพักผ่อนสักเดือนก็เป็นปกติดี เขาจึงรู้สึกโล่งใจในที่สุด

เมื่อกลับถึงหอยุทธ์ฟงอวิ๋นเขาก็ยังนอนไม่หลับ

จึงเข้าไปในห้องลับเพื่อรักษาอาการและฝึกฝนต่อ

มะรืนนี้ก็จะเป็นวันสิ้นเดือนที่ฮั่นเฉียวเซิงต้องการประเมินทักษะในการปรุงยาของศิษย์ทุกคนแล้ว  แต่จี้เทียนซิงถูกขังอยู่ในถ้ำวายุทมิฬร่วมสิบกว่าวันจึงไม่สามารถฝึกฝนการปรุงยาได้

เขาห่างไกลจากศิษย์คนอื่นๆมากนัก

ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ในการประเมินใหญ่ครั้งแรกของหอยุทธ์ฟงอวิ๋น

เขายังคิดที่จะเข้าร่วมการทดสอบในวันมะรืนนี้เหมือนทุกคน

หนึ่งคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากฝึกฝนอย่างหนักอีกหนึ่งคืน

อาการบาดเจ็บของจี้เทียนซิงก็ฟื้นฟูขึ้นมากมายและสีหน้าก็ดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่เขาชำระล้างร่างกายเสร็จก็มุ่งหน้าไปยังตำหนักไท่อันตามเดิม

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ไปตำหนักไท่อันร่วมสิบวันเพราะถูกขังไว้ในถ้ำวายุทมิฬ

แต่ในเมื่อตอนนี้ได้รับอิสระภาพแล้ว

เขาก็ต้องกลับไปกวาดพื้นตามเดิมเนื่องจากยังไม่ครบกำหนด

เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น

จี้เทียนซิงก็มาถึงประตูของตำหนักไท่อัน

ทาสกระบี่ใบ้ผู้พิทักษ์ประตูไม่ได้เห็นอีกฝ่ายมาหลายวันแล้ว

เมื่อได้พบกันอีกครั้งจึงมีสีหน้าตกตะลึงไม่น้อย  จี้เทียนซิงจึงอธิบายให้เขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้นถึงไม่ได้มา

จากนั้นก็ได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าไปในตำหนัก

หลังจากเข้าสู่ในตำหนักไท่อัน

เขาก็หยิบไม้กวาดมาทำความสะอาดอย่างขยันขันแข็ง

แต่กวาดพื้นอยู่ได้สักพักประตูห้องโอสถก็เปิดออก

เซี่ยงหวู่จี้ผลักประตูออกมายืนหาวและบิดขี้เกียจอยู่ใต้ชายคา ผมเผ้าหนวดเคราที่เป็นสีขาวยังคงเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบสมุนไพรและโอสถ

เมื่อเขาเห็นจี้เทียนซิงกำลังกวาดพื้นในลานกว้างก็กระพริบตาปริบๆและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“ไอ้เด็กเหม็น

เจ้าไม่ได้มากวาดพื้นเกือบครึ่งเดือน ไฉนวันนี้ถึงโผล่หน้ามาได้เล่า ?”

จี้เทียนซิงรีบเดินไปคารวะเซี่ยงหวู่จี้และอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังสั้นๆ

หลังจากเซี่ยงหวู่จี้ได้ฟังก็เกิดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าที่แก่ชรา

เขาหัวเราะลั่นและกล่าวว่า “ฮ่าๆๆ เจ้าเด็กเหลือขอเอ้ย

เจ้านี่มันโคตรของโคตรซวยเสียจริง !”

“เจ้าเข้านิกายมาไม่ถึงเดือนแต่ต้องโดนลงโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ซวยบัดซบ ฮ่าๆๆ”

จี้เทียนซิพูดไม่ออก

มีเพียงรอยยิ้มเหยเกที่ปรากฏบนใบหน้า เซี่ยงหวู่จี้หาวขึ้นอีกครั้ง

เขานึกถึงเรื่องบางอย่างได้จึงโบกมือและกล่าวว่า “เจ้าหนู ไม่ต้องกวาดพื้นแล้ว

วันนี้มาช่วยงานอย่างอื่นข้า เจ้าไปที่ห้องโอสถและคอยดูโอสถในเตาปรุงยาไว้ให้ดี  อย่าให้ผิดพลาดล่ะ ไม่งั้นตาแก่ผู้นี้จะฆ่าเจ้า

!”

“ข้านั่งหลังคดหลังแข็งมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้วขอกลับไปนอนพักผ่อนในห้องซักครู่”

เขาไม่รอฟังคำตอบของจี้เทียนซิงแต่เดินดุ่ยๆกลับเข้าไปนอนในห้องทันที

จี้เทียนซิงอ้าปากค้างกับความเผด็จการของตาแก่ผู้นี้

แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายจึงส่ายหัวและเก็บไม้กวาด เดินไปที่ห้องโอสถเพื่อเฝ้าเตาปรุงยา

.........

ภายในห้องมีเตาปรุงยา

3 เตา แต่มีอยู่เตาเดียวที่เต็มไปด้วยควันสีฟ้า มีเส้นสายอาคมที่กำลังวิ่งอยู่ใต้ก้นของเตาปรุงยาและทำให้เกิดเปลวไฟเพื่อควบคุมความร้อนของเตา

จี้เทียนซิงไม่รู้ว่าเซี่ยงหวู่จี้กำลังปรุงโอสถอะไรอยู่ในเตา

แต่ควันสีฟ้าที่พวยพุ่งออกมานั้นเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของพืชพรรณสมุนไพรและทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลาย

งานของจี้เทียนซิงนั้นง่ายมาก

เพียงแค่จับตาดูเตาปรุงยาและตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีอุบัติเหตุใดๆเกิดขึ้นระหว่างกระบวนการหลอม

ตราบใดที่อาคมใต้เตาไม่หยุดทำงาน

เปลวไฟแท้จริงที่ช่วยในการปรุงยาก็จะไม่ดับมอด ดังนั้นจี้เทียนซิงจึงไม่ได้ห่วงอะไรมาก เขานั่งลงข้างๆเตาปรุงยาและจ้องมองเตาอยู่ครู่ใหญ่ๆจนรู้สึกเบื่อเล็กน้อย

เขาหันไปมองรอบๆและเห็นตำราเก่าที่โต๊ะตรงหัวมุมสองสามเล่ม

ซึ่งตำราพวกนี้เกี่ยวข้องกับการปรุงยา  เขาเดินไปหยิบพวกมันมาเปิดอ่านดูอยู่ไม่กี่หน้า

จากนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ดวงตาเปล่งประกายความสุข

“ตำราโบราณเล่มนี้มีความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับเต๋าแห่งการปรุงยา

ศิษย์ฝ่ายนอกไม่อาจเข้าถึงได้เลยด้วยซ้ำ !”

“ข้าคิดไม่ถึงว่าตาแก่นั่นจะวางตำราล้ำค่าไว้บนโต๊ะมั่วซั่วเช่นนี้....

ตอนนี้เขาหลับอยู่

ข้าต้องฉวยโอกาสอ่านดูให้มากที่สุด”

จากนั้นจี้เทียนซิงก็หยิบตำราโบราณมานั่งที่โต๊ะและอ่านอย่างใจจดใจจ่อ

เวลาผ่านไปอย่างเงียบงัน

ครึ่งวันผ่านไปโดยไม่รู้ตัว

จี้เทียนซิงไม่หิวและไม่ง่วงแม้แต่น้อย

เขาก้มหน้าก้มตาอ่านตำราพวกนั้นจนหมดทุกเล่ม จนกระทั่งระดับความรู้และความเข้าใจในวิถีการปรุงยาของเขาลึกซึ้งขึ้น

ความเข้าใจและความรู้สึกอันชัดเจนปรากฏขึ้นในหัวมากมาย

ก่อนหน้านี้เขามีคำถามที่แก้ไม่ตกและรู้สึกสับสนมากมายเกี่ยวกับศาสตร์ในการปรุงยา

แต่ตอนนี้ปัญหาส่วนใหญ่ก็กระจ่างและทำให้เขาตระหนักถึงการแก้ปัญหาได้ในทันที

จนกระทั่งถึงตอนเที่ยง

เซี่ยงหวู่จี้ก็ยังคงหลับอยู่ในห้องและไม่ได้รู้เลยว่าจี้เทียนซิงแอบอ่านตำราโอสถชั้นสูงของเขาจนหมดสิ้นแล้ว

จี้เทียนซิงวางตำราโบราณลงบนโต๊ะและเริ่มไตร่ตรองเนื้อหาในการทดสอบสิ้นเดือนนี้

“พรุ่งนี้จะเป็นการทดสอบที่ข้าต้องปรับแต่งเม็ดยารวมวิญญาณ, เม็ดยาหยกฟ้าและเม็ดยาบำรุงใจ น่าเสียดายที่ข้ายังไม่มีโอกาสได้ฝึกฝนการปรุงยาแม้แต่น้อย  ดังนั้นโอกาสล้มเหลวย่อมสูงมาก...”

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เขาก็เริ่มวิตกกังวล

หลังจากคร่ำครวญด้วยความคิดอยู่ครู่หนึ่ง

ทันใดนั้นเขาก็เหลือบไปเห็นเตาปรุงยาทองเหลืองที่ไม่ได้ใช้งานและมองไปที่ตู้เก็บโอสถรอบๆ

ความคิดอุกอาจเริ่มผุดขึ้นในใจของเขา....

“ตาแก่นี่มีทั้งเตาปรุงยาและสมุนไพรหลากหลายชนิด ข้าแอบ ไม่สิ.....ขอยืมห้องปรุงยาของเขาเพื่อทดลองปรับแต่งเม็ดยาทั้งสามชนิดนี้ดีกว่า”

“อีกทั้งยาสามชนิดนี้ก็ไม่ได้ใช้โอสถคุณภาพสูงอะไรและหาได้ไม่ยาก....ตาแก่คงไม่สนใจกระมัง

?”

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

จี้เทียนซิงก็คิดจะลองปรุงยาด้วยตนเองดู เขารวบรวมสูตรยาทั้งสามชนิดและหยิบสมุนไพรกว่าสามสิบชนิดจากในตู้

จากนั้นเขาก็เปิดอาคมที่เตาปรุงยาทองเหลืองและใช้ปราณแท้กระตุ้นอาคมให้ทำงานเพื่ออุ่นเตาปรุงยา

หลังจากเตรียมการทั้งหมดเสร็จสิ้น

เขาก็เริ่มปรับแต่งเม็ดยาสะสมวิญญาณ ผ่านไปครึ่งชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว

จากที่ตำรากล่าวไว้ มันนับว่าเสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว

อย่างไรก็ตาม

เมื่อจี้เทียนซิงเปิดฝา เขาก็ได้กลิ่นไหม้เล็กน้อย

นอกจากนี้ในเตาก็ไม่มีเม็ดยาอยู่เลย มีเพียงขี้เถ้าสีดำสนิทเท่านั้น....

“อ่า.... การปรุงยาครั้งแรก  ล้มเหลวจริงๆด้วยแหะ”

“โชคดีที่ไม่มีใครเห็น ไม่งั้นคงขายหน้าน่าดู... ”

จี้เทียนซิงรู้สึกเขินเล็กน้อย

เขารีบทำความสะอาดขี้เถ้าสีดำภายในเตาอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม

เซี่ยงหวู่จี้ที่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครทราบ

กำลังยืนกอดอกพิงประตูและจ้องมองจี้เทียนซิงด้วยสีหน้าเย้ยหยันพลางกล่าวว่า

“การจัดเตรียมถูกต้อง

ขั้นตอนในการกลั่นโอสถก็ถูกต้อง

แต่....เจ้าลืมควบคุมเปลวไฟนะเจ้าหนู !”

“งี่เง่าเอ้ย เรื่องแค่นี้ไม่รู้แล้วเจ้าจะปรุงยาสำเร็จได้อย่างไร

?”

จี้เทียนซิงสะดุ้งโหยง

หัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มและหันหน้าไปมองที่ประตู  เมื่อเขาได้เห็นเซี่ยงหวู่จี้ก็รีบยิ้มอ่อนอย่างมีเลศนัยพลางกล่าวแก้เก้อว่า

“ผู้อาวุโส ท่านมาได้ไง  ไม่ใช่ว่าหลับอยู่หรือ...?”

ใบหน้าของเซี่ยงหวู่จี้เผยแววเย้ยหยันแต่ก็ไม่ได้มีท่าทางโกรธเคืองใดๆ

เขากล่าวว่า

“ข้าได้กลิ่นเหม็นไหม้โชยผ่านมาถึงสามห้อง  จะให้หลับลงได้อย่างไร ?!”

“เหอะ !  หากข้าหลับลึกกว่านี้จนไม่รู้เรื่อง

สงสัยเจ้าคงได้เผาห้องปรุงยาของข้าจนเหี้ยนหมด !”