จี้เทียนซิงรั้งสายตาไปที่หมู่ดาวอันพร่างพราวเต็มท้องฟ้าและมองย้อนลงมาที่ข่ายอาคมใต้เท้าของเขา
บนพื้นหินสีดำมีก้อนหินที่จับกลุ่มกันมีขนาดกว้างเท่าฝ่ามือ
ระหว่างก้อนมีแสงสีเงินจางๆราวกับแสงของดวงดาวที่กำลังส่องประกาย
เขาก้าวเท้าข้ามลำห้วยและเดินไปที่กึ่งกลางของข่ายอาคม
ในส่วนกลางของข่ายอาคมขนาดใหญ่แกะสลักไว้ด้วยรูปดอกบัวบานที่มีเก้ากลีบ
จี้เทียนซิงรู้ได้ในทันทีว่านี่คือการก่อตัวของข่ายอาคมชนิดหนึ่ง, บงกชนพเก้า
มันเป็นข่ายอาคมทรงพลังที่อยู่ในระดับที่เหนือกว่าระดับปราณฟ้า
ก่อนหน้าที่เขาจะได้พบเต่ามังกร เขามักจะคิดอยู่เสมอว่าระดับปราณฟ้าเป็นขีดจำกัดของผู้ฝึกยุทธ์
อย่างไรก็ตาม หลังจากเต่ามังกรตัวนั้นได้ถ่ายทอดวิถีแห่งข่ายอาคมหลากหลายรูปแบบ
มันทำให้เขาได้ประจักษ์ว่ายังมีข่ายอาคมที่วิเศษยอดเยี่ยมยิ่งกว่าระดับปราณฟ้าอยู่อีก
ขอบเขตมรรคายุทธ์ของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ก็เฉกเช่นเดียวกัน
เหนือกว่ายอดฝีมือระดับปราณฟ้า ย่อมต้องมีขอบเขตที่ลึกลับอัศจรรย์อีกมากมาย
แน่นอนว่าข่ายอาคมและขอบเขตวิถียุทธ์ที่สูงส่งกว่าระดับปราณฟ้านั้นยังเป็นอะไรที่อยู่ห่างจากเขามากเกินไปในตอนนี้
เขาไม่ได้รู้อะไรมากนัก เพียงคาดเดาได้อย่างเลือนลาง
ตำแหน่งของ 'เกสรดอกไม้' บนแท่นบงกชนพเก้านั้นเป็นศูนย์กลางของข่ายอาคม อีกทั้งยังเป็นแกนกลางของหอคอยเจ็ดดาวอีกด้วย
'เกสรดอกไม้' ฝังด้วยเพชรเงินรูปทรงขนาดเท่ากำปั้น มีความใสและเปล่งประกายแวววาว
เมื่อเข้าไปใกล้พอ จี้เทียนซิงสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าหินแร่สีเงินนี้เปี่ยมไปด้วยพลังและกลิ่นอายที่ครอบคลุมทั้งฟ้าดิน
มันราวกับดวงจันทราที่สดใสบนท้องฟ้า !
เขารับรู้ได้ทันทีว่าข่ายอาคมที่อยู่ใต้เท้าของเขาก็คือค่ายกลเจ็ดดาวในตำนาน
ค่ายกลเจ็ดดาวเป็นแกนหลักของหอคอยเจ็ดดาว
มันไม่เพียงแค่มีผลกระทบอันน่าทึ่งเท่านั้น แต่มันยังเป็นรากฐานความแข็งแกร่งเพื่อรองรับตัวหอคอยเจ็ดดาวทั้งหมด
ค่ายกลเจ็ดดาวขนาดใหญ่นี้ได้ดูดซับพลังของดวงดาวเป็นเวลาหลายปีและมีพลังอันยิ่งใหญ่ของหมู่ดาว
ด้วยเหตุนี้เองจึงมีแสงสีเงินไหลเข้ามาตามเส้นสายที่โยงใย และเส้นสายเหล่านี้ก็มีความหนาแน่นเหมือนใยแมงมุมในข่ายอาคม
และหินแร่สีเงินที่อยู่ในเกสรดอกไม้นี้ก็เป็นหัวใจสำคัญของค่ายกลเจ็ดดาวที่สำคัญยิ่ง
!
หลังจากเฝ้าดูอยู่ครู่หนึ่ง จี้เทียนซิงก็ร่ายวิถีลับเพื่อเรียกโลงหยกวิญญาณออกมา
"วูบ !"
ด้วยแสงสีทองที่ทะยานขึ้นบนฝ่ามือ กล่องหยกขนาดเท้าหัวแม่มือก็โผล่ขึ้นมา
มองผ่านกล่องหยกสีขาวใส เขาสามารถเห็นสตรีนางหนึ่งนอนอยู่ในกล่องหยก
นั่นก็คือจี้เค่อที่อยู่ในอาการไม่ได้สติ
เขาถือโลงหยกวิญญาณด้วยสองมือและวางมันไว้บนเกสรดอกไม้อย่างระมัดระวัง
หินแร่สีเงินมีการตอบสนองในทันที มันปลดปล่อยพลังอันยิ่งใหญ่ของดวงดาวและถ่ายเทลงไปในโลงหยกวิญญาณอย่างพุ่งพล่าน
โลงหยกวิญญาณดึงพลังดวงดาวที่รุนแรงออกมาและจุดประกายลำแสงเปล่งปลั่งออกมา หลังจากมันได้ปรับสภาพพลังจากดวงดาวแล้ว มันถูกส่งผ่านไปยังร่างกายของจี้เค่อเป็นลำดับต่อไป
แม้ว่าจี้เทียนซิงจะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงในร่างกายของจี้เค่อ แต่เขาก็สามารถเห็นได้ว่า หลังจากโลงหยกวิญญาณอัดพลังดวงดาวบริสุทธิ์เข้าสู่ร่างกายของนาง
อาการของนางก็คงที่ ลมหายมั่นคงและสงบนิ่ง
จี้เทียนซิงนั่งลงขัดสมาธิบนเส้นสายของข่ายอาคม
จ้องมองโลงหยกวิญญาณและสังเกตอย่างเงียบงันเป็นเวลานาน
เมื่อเห็นว่าสภาพอาการของจี้เค่อเสถียรและไม่มีปฏิกิริยาที่ผิดปกติ
เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งใจ
“ฟั่บ
ฟั่บ “
จากนั้นเขาโบกมือก่อเกิดเป็นคลื่นแสงปราณแท้เพื่อเริ่มร่ายข่ายอาคม
เขาต้องการจัดวางข่ายปราณขนาดเล็กอันเงียบสงบชนิดหนึ่งขึ้น
ผนึกโลงหยกวิญญาณไว้ในเกสรดอกไม้เพื่อที่มันจะได้สามารถดึงเอาพลังของหินแร่สีเงินได้นานขึ้นและต่อเนื่อง
กระบวนการนี้หากเป็นที่อื่นเขาสามารถทำให้เสร็จได้อย่างง่ายดายภายในครึ่งชั่วยาม
แต่ที่ใต้เท้าของเขานั้นดำรงอยู่ด้วยค่ายกลเจ็ดดาวขนาดใหญ่
ซึ่งมีโลงหยกวิญญาณวางไว้บนศูนย์กลางของบงกชนพเก้า
ข่ายปราณเล็กที่เขาจะจัดวางนี้จะต้องเข้ากันได้กับค่ายกลเจ็ดดาวและบงกชนพเก้า
เพื่อให้พวกมันผสานกันและประสิทธิภาพได้สูงสุด
นี่จะทำให้เขาจัดวางข่ายปราณยากขึ้นอย่างน้อยก็หลายสิบเท่า
!
โชคดีที่ได้รับความรู้มากมายจากเต่ามังกร
ดังนั้นเขาจึงสามารถทำเรื่องที่ยากเย็นนี้ให้สำเร็จได้ หากเปลี่ยนเป็นผู้เชี่ยวชาญข่ายอาคมทั่วไปคงไม่มีทางทำได้
..............
ความเงียบงันแล่นผ่านห้วงกาลเวลา ผืนแผ่นฟ้าอันกว้างใหญ่เต็มไปด้วยหมู่ดาว
ดูเหมือนเป็นนิรันดร์
หนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
จี้เทียนซิงยังคงโบกมือไปมาในการร่ายอาคมเพื่อชักนำปราณแท้ออกมา
ลากเป็นเส้นโค้งสีทองกลางอากาศ
ซึ่งกระบวนการเหล่านี้สูบกินพลังปราณของเขาเป็นอย่างมาก
เมื่อมาถึงจุดนี้ เขาใช้ปราณแท้ไปมากกว่าแปดส่วน
จิตวิญญาณอ่อนล้าสุดขีด ไม่เพียงแค่ใบหน้าซีดเซียวเท่านั้น
แต่หน้าผากยังเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นไหลออกมา
โชคดีที่ในที่สุดเขาก็สามารถจัดวางข่ายปราณสำเร็จและเชื่อมโยงมันเข้ากับโลงหยกวิญญาณ
เขาค่อยๆถอนฝ่ามือออกและระบายลมหายใจออกมา
"ฮู่ว ... ในที่สุดข้าก็ทำสำเร็จ !"
เขามองลงไปที่เกสรดอกไม้และได้เห็นโล่ป้องกันขนาดเท่าฝ่ามือที่เปล่งแสงสีทองออกมา
มันมีไว้เพื่อปกป้องโลงหยกวิญญาณ
เขาจ้องมองผ่านโล่แสงสีทองไปที่โลงหยกขนาดเล็กพลันกระซิบว่า
"เค่อเค่อ จงพักที่นี่อย่างสงบเถอะ หลังจากที่เจ้าตื่นขึ้นมาพลังดวงดาวแห่งฟ้าดินจะผสานเข้ากับสายเลือดดาราแดงของเจ้า"
“เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าไม่เพียงแค่สามารถปรับแต่งพลังแปลกปลอมที่ผนึกอยู่ในร่างได้เท่านั้น
แต่ความแข็งแกร่งของเจ้าจะรุดหน้าอย่างก้าวกระโดดและขอบเขต ...... "
ชายหนุ่มกระซิบแผ่วเบาราวกับพูดกับตัวเอง
น้ำเสียงของเขาค่อยๆอ่อนแอลงเรื่อยๆ
เขารีบคุกเข่าหลับตาและบ่มเพาะอย่างเงียบงัน
เร่งฟื้นฟูพลังปราณแท้และพลังกายโดยด่วน
เพื่อที่จะวางโลงหยกวิญญาณได้อย่างไม่พะว้าพะวง
เขาต้องใช้พลังแทบทั้งหมดในการจัดวางข่ายปราณป้องกัน
ผลที่ตามมาทำให้เขาอ่อนล้าถึงขีดสุด
ในเวลานี้เขาไม่ได้โอสถวิเศษและผลไม้วิญญาณ
แต่ด้วยพลังที่แผ่ออกมาจากค่ายกลเจ็ดดาวและแร่หินสีเงินก็ทำให้เขาสามารถฟื้นฟูพลังได้อย่างรวดเร็ว
ในขณะที่เขากำลังอยู่ในสถานะบ่มเพาะ
หินแร่สีเงินก็ปล่อยแสงสีเงินออกมาและถ่ายเทใส่เขาอย่างต่อเนื่อง
แสงสีเงินเหล่านี้เป็นพลังจากหมู่ดาว
มันเหนือล้ำและบริสุทธิ์ยิ่งกว่ารัศมีพลังฟ้าดินบนโลก มันทั้งหนาแน่นและทรงพลัง
จี้เทียนซิงปรับแต่งพลังจากดวงดาวอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ฟื้นฟูความแข็งแกร่งเขาก็ยังใช้พลังจากดวงดาวเหล่านี้ในการบรรเทาจุดฝังเข็มเพื่อบ่มเพาะวิถีใจกระบี่ไปในตัว
เวลาผ่านไปสามวันโดยไม่รู้ตัว
หลังจากบ่มเพาะฟื้นฟูติดต่อกันสามวันสามคืน
เขาได้เรียนรู้พลังแห่งดวงดาวและในที่สุดก็ฟื้นฟูพลังกลับมาได้สำเร็จ
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังใช้ประโยชน์จากพลังจากดวงดาวในการบรรเทาจุดฝังเข็มเพิ่มได้อีกสามจุด ผลทำให้แปดจุดฝังเข็มภายในเส้นชีพจรกระบี่เส้นที่หกได้ถูกบรรเทาครบถ้วน
ในที่สุดจี้เทียนซิงก็ทะลวงด่านและมาถึงขอบเขตปราณจิตขั้นที่เจ็ดสำเร็จ
!
แต่ในขณะนี้เอง ค่ายกลเจ็ดดาวที่เงียบสงัดมาหลายวันได้เกิดลำแสงสีขาวกระพริบขึ้น
"วู้ม !"
หลังจากลำแสงสีขาวกระจายตัวออกไป
เงาร่างในเสื้อคลุมสีขาวพลันปรากฏตัวขึ้นจากอากาศที่เบาบางบนทางเดินสีดำ
ชายหนุ่มผู้นี้ก็คือซื่อเหวินหยู เสื้อคลุมสีขาวพิสุทธิ์ของมันขาดกระรุ่งกระริ่ง
กายาชุ่มโชกไปด้วยเลือดและฝุ่นละออง
ผมเผ้าของมันกระเซิงยุ่งเหยิง สารรูปของมันมิต่างอันใดกับขอทาน
ด้วยสีหน้าเย่อหยิ่งจองหอง
คนยืนอยู่บนทางเดินสีดำราวกับน้ำหมึก
แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวพลางหัวเราะลั่นราวกับคนบ้า
"หึ... หึๆ..... ฮ่ะๆ ฮ่าๆๆๆๆๆ
! เป็นไงเล่า หากไร้ซึ่งหยุนเหยา ข้า ซื่อเหวินหยูก็คืออัจฉริยะอันดับหนึ่ง
!"
"ข่ายอาคมฟ้าดินแล้วไง ? ข่ายปราณระดับปราณฟ้าแล้วทำไม ?! ด้วยความรู้และสติปัญญาของข้า แม้จะล้มเหลวมาสองครั้ง
แต่ข้าก็สามารถหาเบาะแสและทำลายมันได้ในครั้งที่สาม !”
“ในที่สุดข้าก็มาถึงชั้นสูงสุดของหอคอยเจ็ดดาว
!!!"
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved