ตอนที่ 328 บงกชนพเก้า

จี้เทียนซิงรั้งสายตาไปที่หมู่ดาวอันพร่างพราวเต็มท้องฟ้าและมองย้อนลงมาที่ข่ายอาคมใต้เท้าของเขา

บนพื้นหินสีดำมีก้อนหินที่จับกลุ่มกันมีขนาดกว้างเท่าฝ่ามือ

ระหว่างก้อนมีแสงสีเงินจางๆราวกับแสงของดวงดาวที่กำลังส่องประกาย

เขาก้าวเท้าข้ามลำห้วยและเดินไปที่กึ่งกลางของข่ายอาคม

ในส่วนกลางของข่ายอาคมขนาดใหญ่แกะสลักไว้ด้วยรูปดอกบัวบานที่มีเก้ากลีบ

จี้เทียนซิงรู้ได้ในทันทีว่านี่คือการก่อตัวของข่ายอาคมชนิดหนึ่ง, บงกชนพเก้า

มันเป็นข่ายอาคมทรงพลังที่อยู่ในระดับที่เหนือกว่าระดับปราณฟ้า

ก่อนหน้าที่เขาจะได้พบเต่ามังกร  เขามักจะคิดอยู่เสมอว่าระดับปราณฟ้าเป็นขีดจำกัดของผู้ฝึกยุทธ์

อย่างไรก็ตาม หลังจากเต่ามังกรตัวนั้นได้ถ่ายทอดวิถีแห่งข่ายอาคมหลากหลายรูปแบบ

มันทำให้เขาได้ประจักษ์ว่ายังมีข่ายอาคมที่วิเศษยอดเยี่ยมยิ่งกว่าระดับปราณฟ้าอยู่อีก

ขอบเขตมรรคายุทธ์ของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ก็เฉกเช่นเดียวกัน

เหนือกว่ายอดฝีมือระดับปราณฟ้า ย่อมต้องมีขอบเขตที่ลึกลับอัศจรรย์อีกมากมาย

แน่นอนว่าข่ายอาคมและขอบเขตวิถียุทธ์ที่สูงส่งกว่าระดับปราณฟ้านั้นยังเป็นอะไรที่อยู่ห่างจากเขามากเกินไปในตอนนี้

เขาไม่ได้รู้อะไรมากนัก  เพียงคาดเดาได้อย่างเลือนลาง

ตำแหน่งของ 'เกสรดอกไม้' บนแท่นบงกชนพเก้านั้นเป็นศูนย์กลางของข่ายอาคม  อีกทั้งยังเป็นแกนกลางของหอคอยเจ็ดดาวอีกด้วย

'เกสรดอกไม้' ฝังด้วยเพชรเงินรูปทรงขนาดเท่ากำปั้น มีความใสและเปล่งประกายแวววาว

เมื่อเข้าไปใกล้พอ จี้เทียนซิงสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าหินแร่สีเงินนี้เปี่ยมไปด้วยพลังและกลิ่นอายที่ครอบคลุมทั้งฟ้าดิน

มันราวกับดวงจันทราที่สดใสบนท้องฟ้า !

เขารับรู้ได้ทันทีว่าข่ายอาคมที่อยู่ใต้เท้าของเขาก็คือค่ายกลเจ็ดดาวในตำนาน

ค่ายกลเจ็ดดาวเป็นแกนหลักของหอคอยเจ็ดดาว

มันไม่เพียงแค่มีผลกระทบอันน่าทึ่งเท่านั้น แต่มันยังเป็นรากฐานความแข็งแกร่งเพื่อรองรับตัวหอคอยเจ็ดดาวทั้งหมด

ค่ายกลเจ็ดดาวขนาดใหญ่นี้ได้ดูดซับพลังของดวงดาวเป็นเวลาหลายปีและมีพลังอันยิ่งใหญ่ของหมู่ดาว

ด้วยเหตุนี้เองจึงมีแสงสีเงินไหลเข้ามาตามเส้นสายที่โยงใย  และเส้นสายเหล่านี้ก็มีความหนาแน่นเหมือนใยแมงมุมในข่ายอาคม

และหินแร่สีเงินที่อยู่ในเกสรดอกไม้นี้ก็เป็นหัวใจสำคัญของค่ายกลเจ็ดดาวที่สำคัญยิ่ง

!

หลังจากเฝ้าดูอยู่ครู่หนึ่ง จี้เทียนซิงก็ร่ายวิถีลับเพื่อเรียกโลงหยกวิญญาณออกมา

"วูบ !"

ด้วยแสงสีทองที่ทะยานขึ้นบนฝ่ามือ กล่องหยกขนาดเท้าหัวแม่มือก็โผล่ขึ้นมา

มองผ่านกล่องหยกสีขาวใส เขาสามารถเห็นสตรีนางหนึ่งนอนอยู่ในกล่องหยก

นั่นก็คือจี้เค่อที่อยู่ในอาการไม่ได้สติ

เขาถือโลงหยกวิญญาณด้วยสองมือและวางมันไว้บนเกสรดอกไม้อย่างระมัดระวัง

หินแร่สีเงินมีการตอบสนองในทันที มันปลดปล่อยพลังอันยิ่งใหญ่ของดวงดาวและถ่ายเทลงไปในโลงหยกวิญญาณอย่างพุ่งพล่าน

โลงหยกวิญญาณดึงพลังดวงดาวที่รุนแรงออกมาและจุดประกายลำแสงเปล่งปลั่งออกมา  หลังจากมันได้ปรับสภาพพลังจากดวงดาวแล้ว มันถูกส่งผ่านไปยังร่างกายของจี้เค่อเป็นลำดับต่อไป

แม้ว่าจี้เทียนซิงจะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงในร่างกายของจี้เค่อ แต่เขาก็สามารถเห็นได้ว่า หลังจากโลงหยกวิญญาณอัดพลังดวงดาวบริสุทธิ์เข้าสู่ร่างกายของนาง

อาการของนางก็คงที่ ลมหายมั่นคงและสงบนิ่ง

จี้เทียนซิงนั่งลงขัดสมาธิบนเส้นสายของข่ายอาคม

จ้องมองโลงหยกวิญญาณและสังเกตอย่างเงียบงันเป็นเวลานาน

เมื่อเห็นว่าสภาพอาการของจี้เค่อเสถียรและไม่มีปฏิกิริยาที่ผิดปกติ

เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งใจ

“ฟั่บ

ฟั่บ “

จากนั้นเขาโบกมือก่อเกิดเป็นคลื่นแสงปราณแท้เพื่อเริ่มร่ายข่ายอาคม

เขาต้องการจัดวางข่ายปราณขนาดเล็กอันเงียบสงบชนิดหนึ่งขึ้น

ผนึกโลงหยกวิญญาณไว้ในเกสรดอกไม้เพื่อที่มันจะได้สามารถดึงเอาพลังของหินแร่สีเงินได้นานขึ้นและต่อเนื่อง

กระบวนการนี้หากเป็นที่อื่นเขาสามารถทำให้เสร็จได้อย่างง่ายดายภายในครึ่งชั่วยาม

แต่ที่ใต้เท้าของเขานั้นดำรงอยู่ด้วยค่ายกลเจ็ดดาวขนาดใหญ่

ซึ่งมีโลงหยกวิญญาณวางไว้บนศูนย์กลางของบงกชนพเก้า

ข่ายปราณเล็กที่เขาจะจัดวางนี้จะต้องเข้ากันได้กับค่ายกลเจ็ดดาวและบงกชนพเก้า

เพื่อให้พวกมันผสานกันและประสิทธิภาพได้สูงสุด

นี่จะทำให้เขาจัดวางข่ายปราณยากขึ้นอย่างน้อยก็หลายสิบเท่า

!

โชคดีที่ได้รับความรู้มากมายจากเต่ามังกร

ดังนั้นเขาจึงสามารถทำเรื่องที่ยากเย็นนี้ให้สำเร็จได้ หากเปลี่ยนเป็นผู้เชี่ยวชาญข่ายอาคมทั่วไปคงไม่มีทางทำได้

..............

ความเงียบงันแล่นผ่านห้วงกาลเวลา ผืนแผ่นฟ้าอันกว้างใหญ่เต็มไปด้วยหมู่ดาว

ดูเหมือนเป็นนิรันดร์

หนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

จี้เทียนซิงยังคงโบกมือไปมาในการร่ายอาคมเพื่อชักนำปราณแท้ออกมา

ลากเป็นเส้นโค้งสีทองกลางอากาศ

ซึ่งกระบวนการเหล่านี้สูบกินพลังปราณของเขาเป็นอย่างมาก

เมื่อมาถึงจุดนี้ เขาใช้ปราณแท้ไปมากกว่าแปดส่วน

จิตวิญญาณอ่อนล้าสุดขีด ไม่เพียงแค่ใบหน้าซีดเซียวเท่านั้น

แต่หน้าผากยังเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นไหลออกมา

โชคดีที่ในที่สุดเขาก็สามารถจัดวางข่ายปราณสำเร็จและเชื่อมโยงมันเข้ากับโลงหยกวิญญาณ

เขาค่อยๆถอนฝ่ามือออกและระบายลมหายใจออกมา

"ฮู่ว ... ในที่สุดข้าก็ทำสำเร็จ !"

เขามองลงไปที่เกสรดอกไม้และได้เห็นโล่ป้องกันขนาดเท่าฝ่ามือที่เปล่งแสงสีทองออกมา

มันมีไว้เพื่อปกป้องโลงหยกวิญญาณ

เขาจ้องมองผ่านโล่แสงสีทองไปที่โลงหยกขนาดเล็กพลันกระซิบว่า

"เค่อเค่อ จงพักที่นี่อย่างสงบเถอะ หลังจากที่เจ้าตื่นขึ้นมาพลังดวงดาวแห่งฟ้าดินจะผสานเข้ากับสายเลือดดาราแดงของเจ้า"

“เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าไม่เพียงแค่สามารถปรับแต่งพลังแปลกปลอมที่ผนึกอยู่ในร่างได้เท่านั้น

แต่ความแข็งแกร่งของเจ้าจะรุดหน้าอย่างก้าวกระโดดและขอบเขต ...... "

ชายหนุ่มกระซิบแผ่วเบาราวกับพูดกับตัวเอง

น้ำเสียงของเขาค่อยๆอ่อนแอลงเรื่อยๆ

เขารีบคุกเข่าหลับตาและบ่มเพาะอย่างเงียบงัน

เร่งฟื้นฟูพลังปราณแท้และพลังกายโดยด่วน

เพื่อที่จะวางโลงหยกวิญญาณได้อย่างไม่พะว้าพะวง

เขาต้องใช้พลังแทบทั้งหมดในการจัดวางข่ายปราณป้องกัน

ผลที่ตามมาทำให้เขาอ่อนล้าถึงขีดสุด

ในเวลานี้เขาไม่ได้โอสถวิเศษและผลไม้วิญญาณ

แต่ด้วยพลังที่แผ่ออกมาจากค่ายกลเจ็ดดาวและแร่หินสีเงินก็ทำให้เขาสามารถฟื้นฟูพลังได้อย่างรวดเร็ว

ในขณะที่เขากำลังอยู่ในสถานะบ่มเพาะ

หินแร่สีเงินก็ปล่อยแสงสีเงินออกมาและถ่ายเทใส่เขาอย่างต่อเนื่อง

แสงสีเงินเหล่านี้เป็นพลังจากหมู่ดาว

มันเหนือล้ำและบริสุทธิ์ยิ่งกว่ารัศมีพลังฟ้าดินบนโลก มันทั้งหนาแน่นและทรงพลัง

จี้เทียนซิงปรับแต่งพลังจากดวงดาวอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ฟื้นฟูความแข็งแกร่งเขาก็ยังใช้พลังจากดวงดาวเหล่านี้ในการบรรเทาจุดฝังเข็มเพื่อบ่มเพาะวิถีใจกระบี่ไปในตัว

เวลาผ่านไปสามวันโดยไม่รู้ตัว

หลังจากบ่มเพาะฟื้นฟูติดต่อกันสามวันสามคืน

เขาได้เรียนรู้พลังแห่งดวงดาวและในที่สุดก็ฟื้นฟูพลังกลับมาได้สำเร็จ

ยิ่งไปกว่านั้นเขายังใช้ประโยชน์จากพลังจากดวงดาวในการบรรเทาจุดฝังเข็มเพิ่มได้อีกสามจุด  ผลทำให้แปดจุดฝังเข็มภายในเส้นชีพจรกระบี่เส้นที่หกได้ถูกบรรเทาครบถ้วน

ในที่สุดจี้เทียนซิงก็ทะลวงด่านและมาถึงขอบเขตปราณจิตขั้นที่เจ็ดสำเร็จ

!

แต่ในขณะนี้เอง ค่ายกลเจ็ดดาวที่เงียบสงัดมาหลายวันได้เกิดลำแสงสีขาวกระพริบขึ้น

"วู้ม !"

หลังจากลำแสงสีขาวกระจายตัวออกไป

เงาร่างในเสื้อคลุมสีขาวพลันปรากฏตัวขึ้นจากอากาศที่เบาบางบนทางเดินสีดำ

ชายหนุ่มผู้นี้ก็คือซื่อเหวินหยู  เสื้อคลุมสีขาวพิสุทธิ์ของมันขาดกระรุ่งกระริ่ง

กายาชุ่มโชกไปด้วยเลือดและฝุ่นละออง

ผมเผ้าของมันกระเซิงยุ่งเหยิง สารรูปของมันมิต่างอันใดกับขอทาน

ด้วยสีหน้าเย่อหยิ่งจองหอง

คนยืนอยู่บนทางเดินสีดำราวกับน้ำหมึก

แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวพลางหัวเราะลั่นราวกับคนบ้า

"หึ... หึๆ.....  ฮ่ะๆ  ฮ่าๆๆๆๆๆ

!   เป็นไงเล่า หากไร้ซึ่งหยุนเหยา ข้า ซื่อเหวินหยูก็คืออัจฉริยะอันดับหนึ่ง

!"

"ข่ายอาคมฟ้าดินแล้วไง ? ข่ายปราณระดับปราณฟ้าแล้วทำไม ?! ด้วยความรู้และสติปัญญาของข้า  แม้จะล้มเหลวมาสองครั้ง

แต่ข้าก็สามารถหาเบาะแสและทำลายมันได้ในครั้งที่สาม !”

“ในที่สุดข้าก็มาถึงชั้นสูงสุดของหอคอยเจ็ดดาว

!!!"