ตอนที่ 216

เหตุการณ์ที่ผันผ่านมานับพันปี

รัตติกาลย่างกรายเข้ามา

แสงไฟในเรือนหลังเล็กเริ่มจางลง บรรยากาศเริ่มเงียบงัน

ซู่หลานก้าวเท้าเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

นางไม่จุดไฟให้ห้องสว่างแต่อย่างใด  เพียงแค่ปิดประตูหน้าต่างมิดชิดและเดินไปที่เตียง

นางปิดตานอนอยู่บนเตียง

ร่างบอบบางดูแข็งทื่อราวกับหุ่นเชิด หลังจากนั้นไม่นานผิวขาวเนียนของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มดุจโลหิตสด

บนหน้าผากมีโลหิตสีแดงชาดส่องสว่างโชติช่วงทะลุทะลวงออกมา

นางยังคงหลับตาอยู่

ร่างกายไม่ขยับเขยื้อนราวกับว่าอยู่ในอาการหลับลึก

แต่ทว่ากลุ่มก้อนโลหิตสีแดงเข้มนั้นกลับล่องลอยวนเวียนอยู่กลางอากาศหลายรอบก่อนจะก่อเกิดเป็นเงาร่างสีแดงของสตรีนางหนึ่งขึ้น

สตรีนางนี้สูงเกือบสองเมตรและมีหน้าตาเหมือนองค์หญิงเสวี่ยอย่างไม่ผิดเพี้ยน

นางลอยอยู่หน้าตั่งเตียงและจ้องมองไปที่ซู่หลานที่กำลังนอนอยู่

ดวงตาฉายแววรังเกียจเดียดฉันท์อย่างล้ำลึก

"บัดซบ !  จิตวิญญาณดั้งเดิมขององค์หญิงอย่างข้ากลับต้องสิงอยู่ในร่างนังมนุษย์ผู้นี้ตลอดทั้งวันจนเกือบถูกทำลาย

!”

ระหว่างที่พูดนางก็บิดคอและแขนขาไปด้วย

“เฮอะ ! หากมิใช่เพราะต้องทำตามแผนให้สำเร็จ

คิดหรือว่าองค์หญิงอย่างข้าจะยอมลดตัวไปสิงสู่ในร่างกายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่น่ารังเกียจและต่ำต้อยอย่างพวกเจ้า

?”

“พวกเจ้ามันทั้งเจ้าเล่ห์กลับกลอก

การที่คนอย่างข้าต้องฝืนยิ้มทำตัวสนิทสนมกับพวกเจ้านี่มันช่างทำให้รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวซะจริง

!”

องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยมีสีหน้าบูดบึ้งขุ่นเคือง

ดวงตาของนางจับจ้องไปที่ซู่หลานที่กำลังนอนหลับอยู่

สีหน้าของนางแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความดูถูกและเกลียดชัง

เห็นได้ชัดว่านางโกรธเกลียดเผ่าพันธุ์มนุษย์เพียงใด

หลังจากนั้นไม่นานรากวิญญาณขององค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยก็นั่งลงบนขอบเตียง

ดวงตาของนางจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างพลางกระซิบกับตัวเองว่า

“นี่ก็เป็นเพราะมันสมองอันปราดเปรื่องของมหาปุโรหิตที่ช่วยให้ข้าสามารถแนบวิญญาณไปกับร่างกายมนุษย์ได้ด้วยวิถีลับ  ดังนั้นข้าจึงสมารถลอบเข้าสู่นิกายพันธมิตรสวรรค์ได้อย่างง่ายดายโดยไม่สะกิดความสงสัยของผู้ใด”

“หึๆๆ ในเมื่อรากวิญญาณของข้าแนบสนิทไปกับเจ้ามนุษย์ซู่หลาน

ต่อให้นังแพศยาหยุนเหยามีสายเลือดที่ตรวจจับกลิ่นอายเผ่าพันธุ์ปีศาจได้ก็ตาม

นางก็ไม่มีทางจับพิรุธข้าได้หรอก !”

“โชคดีที่นังมนุษย์ซวนซวนหน้าโง่นั่นเป็นคนใสซื่อเรียบร้อยจึงไม่สังเกตความผิดปกติเล็กน้อยของข้าได้

แถมมันยังรั้งตัวข้าให้อยู่ในนิกายอีกหลายวัน นี่เป็นสิ่งที่ข้าต้องการพอดี”

“ด้วยเวลาไม่กี่วันนี้ข้าจะต้องฉกฉวยโอกาสทำลายผนึกของมหาข่ายปราณเพื่อช่วยท่านจักรพรรดิปีศาจให้ได้

!”

เมื่อกล่าวถึงตอนนี้

องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยก็นึกถึงเรื่องบางประการที่เกิดขึ้นในวันนี้ขึ้นมาได้  นางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว นัยน์ตาเปล่งประกายจิตสังหารอันเย็นเยือกออกมา

“จะว่าไปเจ้าเด็กสารเลวจี้เทียนซิงนั่นดูเหมือนจะจับสังเกตบางอย่างได้และเริ่มสงสัยในตัวข้า  มันถึงได้จงใจตามติดข้าตลอดทั้งวัน !”

“ช่วงนี้ข้าต้องพยายามอยู่ให้ห่างมัน ถึงแม้การถอดรากวิญญาณของข้าจะลึกล้ำจนแทบไม่อาจตรวจจับได้ก็ตาม

อย่างน้อยการระวังตัวไว้ก่อนก็ย่อมดีกว่าปล่อยให้เสียการใหญ่”

“นอกจากนี้ ข้าลอบเข้ามาเพียงลำพังและต้องมีการเตรียมตัวอย่างรัดกุมก่อนจะสมทบกับมหาปุโรหิตเพื่อทำลายการผนึกมหาข่ายปราณ

!”

หลังจากกระซิบกระซาบอยู่ครู่หนึ่ง

องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยก็เริ่มวางแผนต่อไปจากนั้นก็พุ่งกลับเข้าสู่หน้าผากของซู่หลาน

......

ห้าวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ตลอดห้าวันนี้จี้เทียนซิงปิดด่านบ่มเพาะอยู่ภายในห้องลับตลอดเวลา

หลังจากพยายามอย่างหนักในที่สุดเขาก็สามารถบรรเทาจุดฝังเข็มจุดที่สามของเส้นชีพจรหลักเส้นแรกได้สำเร็จ  ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นเล็กน้อยและอยู่ไม่ไกลจากขอบเขตปราณจิตขั้นที่สอง

นิกายพันธมิตรสวรรค์สงบเรียบร้อยอยู่หลายวันและยังไม่มีข่าวคราวใดๆ

หลังจากออกจากหอยุทธ์ฟงอวิ๋น

จี้เทียนซิงก็มุ่งหน้าไปยังตำหนักเมฆขาวและถามหยุนเหยาเกี่ยวกับความคืบหน้าของสุสานพันปีในภูเขามังกร

เหล่าอาวุโสหลายคนของนิกายได้รั้งอยู่บนภูเขาเป็นเจ็ดแปดวันแล้ว

ตามหลักควรจะมีข่าวสารเล็กน้อยส่งกลับมาบ้าง

ทว่า

เมื่อเขาถามหยุนเหยา นางก็ส่ายหัวและตอบว่ายังไม่มีความคืบหน้าใดๆ

มหาข่ายปราณระดับสวรรค์ที่ปกปักษ์รักษาสุสานแห่งนั้นลึกลับอยากจะคาดเดา

อาวุโสหลายคนของนิกายต่างสุมหัวกันหาทางออกก็ยังไม่อาจศึกษาให้เข้าได้ใจ

มันเต็มไปด้วยความลึกลับปกคลุม

สิ่งเดียวที่พวกเขามั่นใจได้ก็คือความแข็งแกร่งทนทานของมหาข่ายปราณระดับสวรรค์นี้ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง

มันดำรงอยู่มาเป็นพันๆปีแต่ก็ยังคงสภาพเดิมอย่างไม่บุบสลาย

จี้เทียนซิงรู้ประหลาดใจเล็กน้อยหลังจากได้ยินข่าว

มันเป็นทั้งเรื่องดีแต่ก็ชวนให้ฉงน

เขาเริ่มสนใจสุสานพันปีมากขึ้นเรื่อยๆและต้องการรู้ว่าสุสานแห่งนั้นเก็บซ่อนความลับอะไรเอาไว้

หลังจากปลดผนึกปราการป้องกันของมันได้แล้วอะไรจะเกิดขึ้น

แต่น่าเสียดายที่ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขายังอยู่ในระดับต่ำเตี้ยเรี้ยดิน

เขาทำได้เพียงรอฟังข่าวอย่างอดทนอยู่ในนิกายเท่านั้น

นอกจากนี้ผ่านมาหลายวันเขาก็ยังไม่ได้พบหน้าซวนซวนแม้แต่ครั้งเดียว

คาดว่านางคงจะอยู่กับแม่นางซู่หลาน

เมื่อจี้เทียนซิงครุ่นคิดถึงซู่หลาน

เขาก็อดรู้สึกพิศวงและคาใจต่อรูปลักษณ์กลิ่นอายรอบตัวของสตรีผู้นั้นไม่ได้  เขารู้สึกกระวนกระวายและไม่สบายใจเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม

เขาไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับซู่หลานจึงมิอาจฟันธงได้ว่านางผิดปกติที่ตรงไหน  เพราะท้ายที่สุดแล้วซู่หลานก็เป็นพี่สาวที่ดีคนหนึ่งของซวนซวน

หากเขาเข้าไปยุ่มย่ามมากไปจะทำให้ซวนซวนไม่พอใจเอาได้

ดังนั้นจี้เทียนซิงจึงทำได้เพียงปล่อยผ่านเรื่องนี้และพยายามไม่นึกถึงมันอีก

กลางดึกของคืนนั้น

ชายหนุ่มบ่มเพาะอยู่ภายในห้องลับ

ทันใดนั้นเองภายในจิตใจของเขาก็มีเสียงของจิตวิญญาณกระบี่จางเทียนดังกระทบโสต

“ไอ้หนู เข้ามานี่ ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”

ทันทีที่ได้ยินเสียงของจางเทียน

จี้เทียนซิงก็มีความสุขและหยุดการบ่มเพาะอย่างรวดเร็ว

จิตสำนึกของเขาดำดิ่งเข้าไปในสุสานเทพกระบี่

มันรวมตัวกันเป็นกายมนุษย์โปร่งแสงที่บินผ่านแดนรกร้างอย่างรวดเร็วเพื่อมุ่งหน้าไปยังอนุสาวรีย์กระบี่

เขาเงยหน้าขึ้นจ้องมองกระบี่ยักษ์สูงเสียดฟ้าที่องอาจและถามเสียงดังว่า

“อาวุโสจางเทียน ในที่สุดท่านจำอะไรได้แล้วงั้นหรือ

?”

ภายในกระบี่ยักษ์ดำทมิฬที่อยู่เบื้องหน้า

เสียงของจิตกระบี่จางเทียนดังลอดออกมา “ถูกต้อง

สุสานโบราณและมหาข่ายปราณระดับสวรรค์ที่เจ้าพูดถึงนั่นทำให้ข้านึกขึ้นได้ถึงเรื่องเมื่อพันปีที่ผ่านมา”

“เทพกระบี่เคยเดินทางผ่านดินแดนดาราบรรพกาลและรั้งอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง  ในตอนนั้นเขาได้พบเด็กหนุ่มที่มีชะตาต้องกันโดยบังเอิญ”

“เด็กหนุ่มผู้นั้นเข้ากันได้ดีกับเทพกระบี่

เทพกระบี่จึงได้พาเด็กคนนั้นติดตามเดินทางไปด้วยหลายวันและสอนวิถีแห่งข่ายอาคมให้”

“หลังจากนั้น เวลาได้ผันผ่านไปนานกว่าทศวรรษ

เทพกระบี่ได้ทราบข่าวของเด็กหนุ่มผู้มีชะตาต้องกันในตอนนั้นว่ามันได้กลายเป็นหนึ่งในสุดยอดฝีมือขอบเขตปราณฟ้าของดินแดนดาราบรรพกาลไปแล้ว

อีกทั้งยังกลายเป็นปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญข่ายอาคมอย่างหาตัวจับยาก”

เมื่อได้ยินเรื่องราวเหล่านี้

จี้เทียนซิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเนื้อเต้นและกล่าวถามว่า

“เช่นนั้นก็แสดงว่าสุสานพันปีที่อยู่ลึกใต้ภูเขามังกรก็น่าจะเกี่ยวข้องกับเด็กหนุ่มผู้นั้น

?”

“มหาข่ายปราณระดับสวรรค์เป็นเขาร่ายขึ้น ?

หรือว่าสุดยอดฝีมือที่ถูกกลบฝังในหลุมฝังศพในสุสานนั่นก็คือตัวเขาเอง ?”

จิตกระบี่จางเทียนดื่มด่ำกับช่วงเวลาในอดีตและกล่าวต่อด้วยเสียงต่ำว่า

“ยังไม่แน่หรอก

สิ่งที่ข้าเพิ่งเล่าให้เจ้าฟังก็คือเหตุการณ์หนึ่งที่เคยเกิดขึ้นเมื่อพันปีก่อน

มันเพียงเกี่ยวข้องกับดินแดนแห่งนี้เท่านั้น”

“ข้ายังไม่อาจฟันธงได้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสุสานพันปีในภูเขามังกรหรือไม่”

“ไอ้หนู

หากเจ้าอยากทำให้แน่ใจก็จงเดินทางไปยังภูเขามังกรอีกครั้ง

ข้าจำเป็นต้องเห็นมหาข่ายปราณระดับสวรรค์นี้ด้วยตนเองก่อนจะตัดสินใจได้ว่า

เรื่องทั้งสองนี้เกี่ยวข้องกันจริงหรือไม่”

สำหรับคำขอนี้

จี้เทียนซิงพยักหน้าทันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

“ตกลง

เช่นนั้นข้าจะมุ่งหน้าไปภูเขามังกรพรุ่งนี้แต่เช้า

จากนั้นข้าจะเรียกท่านออกมาให้เห็นมหาข่ายปราณนั้นด้วยตนเอง”

*ปล.

จิตกระบี่จางเทียนไม่ใช่เทพกระบี่นะ คนละคนกัน *