เหตุการณ์ที่ผันผ่านมานับพันปี
รัตติกาลย่างกรายเข้ามา
แสงไฟในเรือนหลังเล็กเริ่มจางลง บรรยากาศเริ่มเงียบงัน
ซู่หลานก้าวเท้าเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
นางไม่จุดไฟให้ห้องสว่างแต่อย่างใด เพียงแค่ปิดประตูหน้าต่างมิดชิดและเดินไปที่เตียง
นางปิดตานอนอยู่บนเตียง
ร่างบอบบางดูแข็งทื่อราวกับหุ่นเชิด หลังจากนั้นไม่นานผิวขาวเนียนของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มดุจโลหิตสด
บนหน้าผากมีโลหิตสีแดงชาดส่องสว่างโชติช่วงทะลุทะลวงออกมา
นางยังคงหลับตาอยู่
ร่างกายไม่ขยับเขยื้อนราวกับว่าอยู่ในอาการหลับลึก
แต่ทว่ากลุ่มก้อนโลหิตสีแดงเข้มนั้นกลับล่องลอยวนเวียนอยู่กลางอากาศหลายรอบก่อนจะก่อเกิดเป็นเงาร่างสีแดงของสตรีนางหนึ่งขึ้น
สตรีนางนี้สูงเกือบสองเมตรและมีหน้าตาเหมือนองค์หญิงเสวี่ยอย่างไม่ผิดเพี้ยน
นางลอยอยู่หน้าตั่งเตียงและจ้องมองไปที่ซู่หลานที่กำลังนอนอยู่
ดวงตาฉายแววรังเกียจเดียดฉันท์อย่างล้ำลึก
"บัดซบ ! จิตวิญญาณดั้งเดิมขององค์หญิงอย่างข้ากลับต้องสิงอยู่ในร่างนังมนุษย์ผู้นี้ตลอดทั้งวันจนเกือบถูกทำลาย
!”
ระหว่างที่พูดนางก็บิดคอและแขนขาไปด้วย
“เฮอะ ! หากมิใช่เพราะต้องทำตามแผนให้สำเร็จ
คิดหรือว่าองค์หญิงอย่างข้าจะยอมลดตัวไปสิงสู่ในร่างกายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่น่ารังเกียจและต่ำต้อยอย่างพวกเจ้า
?”
“พวกเจ้ามันทั้งเจ้าเล่ห์กลับกลอก
การที่คนอย่างข้าต้องฝืนยิ้มทำตัวสนิทสนมกับพวกเจ้านี่มันช่างทำให้รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวซะจริง
!”
องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยมีสีหน้าบูดบึ้งขุ่นเคือง
ดวงตาของนางจับจ้องไปที่ซู่หลานที่กำลังนอนหลับอยู่
สีหน้าของนางแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความดูถูกและเกลียดชัง
เห็นได้ชัดว่านางโกรธเกลียดเผ่าพันธุ์มนุษย์เพียงใด
หลังจากนั้นไม่นานรากวิญญาณขององค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยก็นั่งลงบนขอบเตียง
ดวงตาของนางจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างพลางกระซิบกับตัวเองว่า
“นี่ก็เป็นเพราะมันสมองอันปราดเปรื่องของมหาปุโรหิตที่ช่วยให้ข้าสามารถแนบวิญญาณไปกับร่างกายมนุษย์ได้ด้วยวิถีลับ ดังนั้นข้าจึงสมารถลอบเข้าสู่นิกายพันธมิตรสวรรค์ได้อย่างง่ายดายโดยไม่สะกิดความสงสัยของผู้ใด”
“หึๆๆ ในเมื่อรากวิญญาณของข้าแนบสนิทไปกับเจ้ามนุษย์ซู่หลาน
ต่อให้นังแพศยาหยุนเหยามีสายเลือดที่ตรวจจับกลิ่นอายเผ่าพันธุ์ปีศาจได้ก็ตาม
นางก็ไม่มีทางจับพิรุธข้าได้หรอก !”
“โชคดีที่นังมนุษย์ซวนซวนหน้าโง่นั่นเป็นคนใสซื่อเรียบร้อยจึงไม่สังเกตความผิดปกติเล็กน้อยของข้าได้
แถมมันยังรั้งตัวข้าให้อยู่ในนิกายอีกหลายวัน นี่เป็นสิ่งที่ข้าต้องการพอดี”
“ด้วยเวลาไม่กี่วันนี้ข้าจะต้องฉกฉวยโอกาสทำลายผนึกของมหาข่ายปราณเพื่อช่วยท่านจักรพรรดิปีศาจให้ได้
!”
เมื่อกล่าวถึงตอนนี้
องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยก็นึกถึงเรื่องบางประการที่เกิดขึ้นในวันนี้ขึ้นมาได้ นางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว นัยน์ตาเปล่งประกายจิตสังหารอันเย็นเยือกออกมา
“จะว่าไปเจ้าเด็กสารเลวจี้เทียนซิงนั่นดูเหมือนจะจับสังเกตบางอย่างได้และเริ่มสงสัยในตัวข้า มันถึงได้จงใจตามติดข้าตลอดทั้งวัน !”
“ช่วงนี้ข้าต้องพยายามอยู่ให้ห่างมัน ถึงแม้การถอดรากวิญญาณของข้าจะลึกล้ำจนแทบไม่อาจตรวจจับได้ก็ตาม
อย่างน้อยการระวังตัวไว้ก่อนก็ย่อมดีกว่าปล่อยให้เสียการใหญ่”
“นอกจากนี้ ข้าลอบเข้ามาเพียงลำพังและต้องมีการเตรียมตัวอย่างรัดกุมก่อนจะสมทบกับมหาปุโรหิตเพื่อทำลายการผนึกมหาข่ายปราณ
!”
หลังจากกระซิบกระซาบอยู่ครู่หนึ่ง
องค์หญิงเสวี่ยเยวี่ยก็เริ่มวางแผนต่อไปจากนั้นก็พุ่งกลับเข้าสู่หน้าผากของซู่หลาน
......
ห้าวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ตลอดห้าวันนี้จี้เทียนซิงปิดด่านบ่มเพาะอยู่ภายในห้องลับตลอดเวลา
หลังจากพยายามอย่างหนักในที่สุดเขาก็สามารถบรรเทาจุดฝังเข็มจุดที่สามของเส้นชีพจรหลักเส้นแรกได้สำเร็จ ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นเล็กน้อยและอยู่ไม่ไกลจากขอบเขตปราณจิตขั้นที่สอง
นิกายพันธมิตรสวรรค์สงบเรียบร้อยอยู่หลายวันและยังไม่มีข่าวคราวใดๆ
หลังจากออกจากหอยุทธ์ฟงอวิ๋น
จี้เทียนซิงก็มุ่งหน้าไปยังตำหนักเมฆขาวและถามหยุนเหยาเกี่ยวกับความคืบหน้าของสุสานพันปีในภูเขามังกร
เหล่าอาวุโสหลายคนของนิกายได้รั้งอยู่บนภูเขาเป็นเจ็ดแปดวันแล้ว
ตามหลักควรจะมีข่าวสารเล็กน้อยส่งกลับมาบ้าง
ทว่า
เมื่อเขาถามหยุนเหยา นางก็ส่ายหัวและตอบว่ายังไม่มีความคืบหน้าใดๆ
มหาข่ายปราณระดับสวรรค์ที่ปกปักษ์รักษาสุสานแห่งนั้นลึกลับอยากจะคาดเดา
อาวุโสหลายคนของนิกายต่างสุมหัวกันหาทางออกก็ยังไม่อาจศึกษาให้เข้าได้ใจ
มันเต็มไปด้วยความลึกลับปกคลุม
สิ่งเดียวที่พวกเขามั่นใจได้ก็คือความแข็งแกร่งทนทานของมหาข่ายปราณระดับสวรรค์นี้ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง
มันดำรงอยู่มาเป็นพันๆปีแต่ก็ยังคงสภาพเดิมอย่างไม่บุบสลาย
จี้เทียนซิงรู้ประหลาดใจเล็กน้อยหลังจากได้ยินข่าว
มันเป็นทั้งเรื่องดีแต่ก็ชวนให้ฉงน
เขาเริ่มสนใจสุสานพันปีมากขึ้นเรื่อยๆและต้องการรู้ว่าสุสานแห่งนั้นเก็บซ่อนความลับอะไรเอาไว้
หลังจากปลดผนึกปราการป้องกันของมันได้แล้วอะไรจะเกิดขึ้น
แต่น่าเสียดายที่ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขายังอยู่ในระดับต่ำเตี้ยเรี้ยดิน
เขาทำได้เพียงรอฟังข่าวอย่างอดทนอยู่ในนิกายเท่านั้น
นอกจากนี้ผ่านมาหลายวันเขาก็ยังไม่ได้พบหน้าซวนซวนแม้แต่ครั้งเดียว
คาดว่านางคงจะอยู่กับแม่นางซู่หลาน
เมื่อจี้เทียนซิงครุ่นคิดถึงซู่หลาน
เขาก็อดรู้สึกพิศวงและคาใจต่อรูปลักษณ์กลิ่นอายรอบตัวของสตรีผู้นั้นไม่ได้ เขารู้สึกกระวนกระวายและไม่สบายใจเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม
เขาไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับซู่หลานจึงมิอาจฟันธงได้ว่านางผิดปกติที่ตรงไหน เพราะท้ายที่สุดแล้วซู่หลานก็เป็นพี่สาวที่ดีคนหนึ่งของซวนซวน
หากเขาเข้าไปยุ่มย่ามมากไปจะทำให้ซวนซวนไม่พอใจเอาได้
ดังนั้นจี้เทียนซิงจึงทำได้เพียงปล่อยผ่านเรื่องนี้และพยายามไม่นึกถึงมันอีก
กลางดึกของคืนนั้น
ชายหนุ่มบ่มเพาะอยู่ภายในห้องลับ
ทันใดนั้นเองภายในจิตใจของเขาก็มีเสียงของจิตวิญญาณกระบี่จางเทียนดังกระทบโสต
“ไอ้หนู เข้ามานี่ ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
ทันทีที่ได้ยินเสียงของจางเทียน
จี้เทียนซิงก็มีความสุขและหยุดการบ่มเพาะอย่างรวดเร็ว
จิตสำนึกของเขาดำดิ่งเข้าไปในสุสานเทพกระบี่
มันรวมตัวกันเป็นกายมนุษย์โปร่งแสงที่บินผ่านแดนรกร้างอย่างรวดเร็วเพื่อมุ่งหน้าไปยังอนุสาวรีย์กระบี่
เขาเงยหน้าขึ้นจ้องมองกระบี่ยักษ์สูงเสียดฟ้าที่องอาจและถามเสียงดังว่า
“อาวุโสจางเทียน ในที่สุดท่านจำอะไรได้แล้วงั้นหรือ
?”
ภายในกระบี่ยักษ์ดำทมิฬที่อยู่เบื้องหน้า
เสียงของจิตกระบี่จางเทียนดังลอดออกมา “ถูกต้อง
สุสานโบราณและมหาข่ายปราณระดับสวรรค์ที่เจ้าพูดถึงนั่นทำให้ข้านึกขึ้นได้ถึงเรื่องเมื่อพันปีที่ผ่านมา”
“เทพกระบี่เคยเดินทางผ่านดินแดนดาราบรรพกาลและรั้งอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ในตอนนั้นเขาได้พบเด็กหนุ่มที่มีชะตาต้องกันโดยบังเอิญ”
“เด็กหนุ่มผู้นั้นเข้ากันได้ดีกับเทพกระบี่
เทพกระบี่จึงได้พาเด็กคนนั้นติดตามเดินทางไปด้วยหลายวันและสอนวิถีแห่งข่ายอาคมให้”
“หลังจากนั้น เวลาได้ผันผ่านไปนานกว่าทศวรรษ
เทพกระบี่ได้ทราบข่าวของเด็กหนุ่มผู้มีชะตาต้องกันในตอนนั้นว่ามันได้กลายเป็นหนึ่งในสุดยอดฝีมือขอบเขตปราณฟ้าของดินแดนดาราบรรพกาลไปแล้ว
อีกทั้งยังกลายเป็นปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญข่ายอาคมอย่างหาตัวจับยาก”
เมื่อได้ยินเรื่องราวเหล่านี้
จี้เทียนซิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเนื้อเต้นและกล่าวถามว่า
“เช่นนั้นก็แสดงว่าสุสานพันปีที่อยู่ลึกใต้ภูเขามังกรก็น่าจะเกี่ยวข้องกับเด็กหนุ่มผู้นั้น
?”
“มหาข่ายปราณระดับสวรรค์เป็นเขาร่ายขึ้น ?
หรือว่าสุดยอดฝีมือที่ถูกกลบฝังในหลุมฝังศพในสุสานนั่นก็คือตัวเขาเอง ?”
จิตกระบี่จางเทียนดื่มด่ำกับช่วงเวลาในอดีตและกล่าวต่อด้วยเสียงต่ำว่า
“ยังไม่แน่หรอก
สิ่งที่ข้าเพิ่งเล่าให้เจ้าฟังก็คือเหตุการณ์หนึ่งที่เคยเกิดขึ้นเมื่อพันปีก่อน
มันเพียงเกี่ยวข้องกับดินแดนแห่งนี้เท่านั้น”
“ข้ายังไม่อาจฟันธงได้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสุสานพันปีในภูเขามังกรหรือไม่”
“ไอ้หนู
หากเจ้าอยากทำให้แน่ใจก็จงเดินทางไปยังภูเขามังกรอีกครั้ง
ข้าจำเป็นต้องเห็นมหาข่ายปราณระดับสวรรค์นี้ด้วยตนเองก่อนจะตัดสินใจได้ว่า
เรื่องทั้งสองนี้เกี่ยวข้องกันจริงหรือไม่”
สำหรับคำขอนี้
จี้เทียนซิงพยักหน้าทันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“ตกลง
เช่นนั้นข้าจะมุ่งหน้าไปภูเขามังกรพรุ่งนี้แต่เช้า
จากนั้นข้าจะเรียกท่านออกมาให้เห็นมหาข่ายปราณนั้นด้วยตนเอง”
*ปล.
จิตกระบี่จางเทียนไม่ใช่เทพกระบี่นะ คนละคนกัน *
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved