ตอนที่ 133

อีกหนึ่งบุรุษที่ปรากฏในแผนที่ดวงดาว

เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามที่รุนแรงของเซียงหวู่จี้

ฉู่เทียนเซิงก็เผยให้เห็นถึงความกระวนกระวายในทันที

เขายอบกายและก้มศีรษะลง หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ท่านอาจารย์อา

นี่เป็นความประมาทเลินเล่อของศิษย์เอง แน่นอนว่าข้าจะหาวิธีแก้ไขให้ได้ !”

“ถึงแม้ว่าจี้หลิงจะรู้ความลับนี้

แต่เขาก็ยังเป็นแค่ศิษย์ชั้นนอก ศิษย์จะสั่งการให้ผู้ดูแลของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นจับตาเขาไว้และจะไม่ปล่อยให้เขาเปิดเผยความลับออกไปได้แม้แต่นิดเดียว

!”

เซี่ยงหวู่จี้พยักหน้าแต่ความโกรธเคืองก็ยังไม่หายไปจึงถือโอกาสนี้อบรมฉู่เทียนเซิงสักรอบหนึ่ง

“ฉู่เทียนเซิง

ภายภาคหน้าก่อนที่เจ้าจะลงมือทำสิ่งใด

เจ้าควรใช้สมองน้อยๆคิดให้รอบคอบกว่านี้เสียก่อน

ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นประมุข แต่คำพูดของเจ้าก็ไม่ใช่ประกาศิตของนิกายทั้งหมด

!   ในปีนั้น..... เป็นเพราะเจ้าคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในเหล่าศิษย์

แต่เจ้าก็ยังไม่ใช่คนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเป็นประมุขนิกาย

!”

“เช่นเดียวกับข้าผู้อาวุโส ... ข้าแข็งแกร่งที่สุดในเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลาย

แต่ข้าก็สำนึกตนดีว่าไม่อาจขึ้นเป็นประมุขที่ดีได้อย่างแน่นอน มิฉะนั้นรากฐานนับสหัสวรรษของนิกายคงถูกทำลายด้วยมือข้า

!”

คำพูดของเซี่ยงหวู่จี้สามารถกล่าวได้ว่าเป็นการอบรมที่แทงใจและวิจารณ์คุณสมบัติของฉู่เทียนเซิงอย่างละเอียดและตรงไปตรงมา  คนผู้นี้มีพลังที่แข็งแกร่งจริง

แต่ความสามารถและสายตาในการมองผู้คนนั้นมิได้สอดคล้องกับสถานะประมุขของนิกาย

ใบหน้าของฉู่เทียนเซิงแทบระเบิดเป็นสีขาว

แต่เขาทำได้เพียงน้อมรับการอบรมสั่งสอนและการดูหมิ่นอย่างอ่อนน้อมเท่านั้น  เขาไม่กล้าแข็งข้อต่อเซี่ยงหวู่จี้

หลังจากที่เซี่ยงหวู่จี้กล่าววาจายืดยาว, ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหงุดหงิดหรือกระหาย เขาหยิบเหยือกชาจากแหวนมิติที่นิ้วมือออกมาและนั่งดื่มในห้องโถงใหญ่

ฉู่เทียนเซิงก็ไม่กล้าห้ามปรามอีกฝ่าย  เขาทำได้เพียงนำกระดองเต่าที่ดูแปลกตาและลึกลับออกมาเพื่อมองดูมันอย่างเงียบงัน

เขาเคล็ดวิชาลับอัดลมปราณเข้าไปในกระดองเต่าและทำให้จุดสีเงินของกระดองเปลี่ยนไปทันที   หลังจากนั้นครู่หนึ่ง จุดสีเงินจำนวนมากก็ถูกจัดเรียงเป็นเส้นโค้งหลายเส้น

ก่อเป็นลวดลายที่ลึกลับซับซ้อน

ฉู่เทียนเซิงที่เห็นรูปแบบนี้ปรากฏขึ้นก็มีสีหน้าตกตะลึงจนวิญญาณแทบหลุดจากร่าง

ดวงตาของเขาฉายแววประหลาดใจและตะโกนออกมาว่า

“ท่านอาจารย์อา !  ท่านดูนี่สิ ข้าทำนายชะตาด้วยแผนที่ดวงดาว

ผลออกมาว่าบุคลผู้มีชะตาท้าทายสวรรค์ที่พวกเรามองหายังอยู่ในนิกาย !”

เซี่ยงหวู่จี้ที่กำลังดื่มชาจากเหยือกพลันสะดุ้งโหยง

ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้เขาก็สำลักน้ำจนแทบจะพ่นมันออกมา เขาหันขวับไปมองที่ฉู่เทียนเซิงและสบถออกมาว่า

“ฉู่เทียนเซิง

เจ้านี่มันสมองหมูหรือเปล่า ?  เจ้าไม่ได้ขับไล่จี้หลิงออกจากพื้นที่ของนิกาย

เขาก็ต้องอยู่ในนิกายอยู่แล้ว !”

ฉู่เทียนเซิงรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว

“ไม่ใช่ขอรับท่านอาจารย์อา !  บุคลผู้ท้าทายชะตาสวรรค์ที่แผนที่ดวงดาวแสดงออกมาในครั้งนี้ไม่ใช่จี้หลิง

แต่เป็นอีกคน !”

“ว่าไงนะ !  มีอีกคน?”

เซี่ยงหวู่จี้ตกตะลึงและถามด้วยความสับสนว่า

“ก่อนหน้านี้แผนที่ดวงดาวทำนายว่าบุคลผู้ท้าทายชะตาสวรรค์นั้นอยู่ที่รัฐนภากระจ่างนี่นา...   เอาเถอะ ในเมื่อบุคลผู้นี้ยังมีอีกคน

ขอเพียงอยู่ในนิกายย่อมไม่ใช่เรื่องยากที่จะหาตัว”

“ลองหาดูว่ามีศิษย์ทั้งหมดกี่คนที่มาจากรัฐนภากระจ่าง

เรียกพวกเขาตรวจสอบโดยละเอียด”

ฉู่เทียนเซิงรีบเก็บแผนที่ดวงดาวกลับไปอย่างรวดเร็วและพยักหน้าพลางกล่าวว่า

“ศิษย์ทราบแล้วขอรับ ท่านอาจารย์อา !”

เขาเองก็คาดไม่ถึงผลลัพธ์เช่นนี้และรู้สึกขอบคุณสวรรค์อย่างมากที่เหลือทางรอดให้แก่นิกายพันธมิตรสวรรค์

ถึงแม้ว่าจี้หลิงจะไม่สามารถเคลื่อนอาคมเก้ามังกรสยบมารได้

แต่บุคลผู้ท้าทายโชคชะตาตัวจริงก็ยังอยู่ในนิกาย

ฉู่เทียนเซิงรู้สึกผ่อนคลายมากและเริ่มเกิดความรู้สึกคาดหวังอย่างลึกซึ้ง

......

เช้าตรู่ของวันถัดมาฉู่เทียนเซิงได้เปิดประชุมกับอาวุโสทั้งเก้าของนิกายเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้

เขานั่งบนบัลลังก์ประมุขนิกายและกวาดสายตาจับจ้องไปยังอาวุโสทั้งเก้าพลางถามอย่างเคร่งขรึม

“เมื่อวานนี้ข้าให้พวกท่านไปตรวจสอบการบุกรุกของเผ่ามาร พวกท่านได้เบาะแสอันใดบ้าง

?”

ผู้อาวุโสฝ่ายนอกฉู่ฮวายซานรีบก้าวออกมาข้างหน้าทันทีและประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม

“รายงานท่านประมุข

พวกข้าพบว่าเมื่อคืนก่อนเผ่ามารที่บุกรุกเข้ามาคือหนึ่งชายชราหนึ่งรุ่นเยาว์ขอรับ”

“ชายชราคือมหาปุโรหิตแห่งเผ่ามาร ส่วนอีกหนึ่งเป็นสตรีรุ่นเยาว์ที่ไม่ทราบตัวตนและฐานะของนาง

จากการคาดเดา นางสมควรเป็นลูกหลานที่ทรงอิทธิพลของเผ่ามาร”

“เมื่อตอนที่พวกเราพบร่องรอยของพวกมัน

พวกเราร่วมมือกันโจมตีพวกมันแต่น่าเสียดาย สุดท้ายพวกมันเรียกหมอกออกมาจากร่มประหลาดคันหนึ่งและหลบหนีไปได้”

ฉู่เทียนเซิงขมวดคิ้วเล็กน้อย

หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่งก็พยักหน้าพลางกล่าวว่า “มหาปุโรหิตผู้นี้บุกเข้ามาในนิกายสามครั้งตลอดสามศตวรรษ

(300 ปี) แต่มันก็หลบหนีไปได้ทุกครั้ง”

“เมื่อมันใช้ร่มหมอกรัตติกาลซึ่งเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามาร  ต่อให้ข้าลงมือเองก็ยังไม่อาจจับมันได้เช่นกัน

เอาเถอะ ถือว่าพวกท่านได้พยายามเต็มที่แล้ว เรื่องนี้ไม่อาจตำหนิใครได้  อีกอย่าง

เมื่อพวกมันรู้ว่าเรากำลังตามล่าพวกมันอยู่

มันคงไม่กล้าเคลื่อนไหวในช่วงนี้”

หลังจากกล่าวรายงานเสร็จ

ฉู่ฮวายซานก็ประสานมือคารวะและอำลากลับตำหนักไปพร้อมกับอาวุโสอีกสองคน

หลังจากนั้นผู้อาวุโสของหอวิญญาณโอสถก็ก้าวออกมาและรายงานต่อฉู่เทียนเซิงว่า

“เรียนท่านประมุข ข้าน้อยมีเรื่องสำคัญที่ต้องรายงาน”

ฉู่เทียนเซิงพยักหน้าและถามว่า

“เรื่องอันใดหรือ ?”

ผู้อาวุโสของหอวิญญาณโอสถกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“ศิษย์ฝ่ายนอกของหอยุทธ์ไป๋หลู่ที่ชื่อว่าจี้เค่อ   นางฟื้นขึ้นเมื่อคืน

ดังนั้นเรื่องของศิษย์ฝ่ายนอกเมื่อ 13

วันก่อนสมควรได้ข้อสรุปแล้ว”

ที่จริงแล้วเรื่องของศิษย์ฝ่ายนอกนั้นไม่จำเป็นต้องให้ฉู่เทียนเซิงที่เป็นประมุขต้องลดตัวลงมาจัดการ

และอาวุโสท่านนี้คงไม่ต้องรายงาน

แต่ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เกี่ยวพันถึงจี้หลิงว่าที่ศิษย์สายตรงของประมุข  นั้นผู้อาวุโสจึงรายงานเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว

ฉู่เทียนเซิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งหลังจากได้ยิน

จากนั้นก็พยักหน้าพลางกล่าวว่า “ก็ดี ท่านพาข้าไปพบนาง

ข้าต้องการสอบถามนางด้วยตัวเอง”

“ขอรับท่านประมุข”

ผู้อาวุโสหอวิญญาณโอสถประสานมือคารวะและเดินนำหน้าฉู่เทียนเซิงเพื่อมุ่งหน้าไปยังยอดเขาวิญญาณโอสถทันที

สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่บนเชิงเขาและเป็นสถานที่หวงห้ามแห่งหนึ่งของนิกายพันธมิตรสวรรค์  ศิษย์ทั่วไปไม่สามารถย่างกรายเข้ามาได้  มันมีตำหนักสูงใหญ่นับร้อยที่ล้อมรอบไว้ด้วยต้นไม้สูงตระหง่าน

ตำหนักถูกปกคลุมไปด้วยเมฆครึ้มและทำให้หอวิญญาณโอสถราวกับอยู่ในดินแดนมหัศจรรย์

ฉู่เทียนเซิงติดตามอาวุโสแห่งหอวิญญาณโอสถเข้าไปในห้องๆหนึ่งที่เต็มไปด้วยสมุนไพรและได้เห็นสตรีสองนางอยู่ภายในห้อง

คนแรกก็คือจี้เค่อที่กำลังนอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าซีดเซียว

ดวงตาของนางดูไร้สีสันเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านางยังไม่ฟื้นฟูเต็มที่  ส่วนสตรีอีกคนหนึ่งก็สาวใช้ของหอวิญญาณหอโอสถ

นางกำลังถือซุปสมุนไพรเพื่อป้อนให้แก่จี้เค่อ

เมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสและฉู่เทียนเซิงเดินเข้ามา

สาวใช้ก็ตื่นตระหนกและรีบทำความเคารพทั้งสองด้วยความนอบน้อมทันที  ส่วนจี้เค่อไม่สามารถลุกขึ้นมาได้จึงแสดงความเคารพด้วยการพยักหน้าและเอ่ยปากทักทาย

จากนั้นผู้อาวุโสของหอวิญญาณโอสถก็กล่าวกับนางว่า

“จี้เค่อ ท่านผู้นี้คือประมุขนิกายพันธมิตรสวรรค์, ฉู่เทียนเซิง

ท่านมาเยี่ยมเจ้าเป็นพิเศษเพื่อสอบถามเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนั้น”

“เจ้าสามารถเล่าเรื่องทั้งหมดได้ตั้งแต่ต้นจนจบ

แต่เจ้าต้องพูดความจริงเท่านั้น ห้ามโกหกแม้แต่ครึ่งคำ มิฉะนั้นจะต้องโดนลงโทษ !”