อีกหนึ่งบุรุษที่ปรากฏในแผนที่ดวงดาว
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามที่รุนแรงของเซียงหวู่จี้
ฉู่เทียนเซิงก็เผยให้เห็นถึงความกระวนกระวายในทันที
เขายอบกายและก้มศีรษะลง หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ท่านอาจารย์อา
นี่เป็นความประมาทเลินเล่อของศิษย์เอง แน่นอนว่าข้าจะหาวิธีแก้ไขให้ได้ !”
“ถึงแม้ว่าจี้หลิงจะรู้ความลับนี้
แต่เขาก็ยังเป็นแค่ศิษย์ชั้นนอก ศิษย์จะสั่งการให้ผู้ดูแลของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นจับตาเขาไว้และจะไม่ปล่อยให้เขาเปิดเผยความลับออกไปได้แม้แต่นิดเดียว
!”
เซี่ยงหวู่จี้พยักหน้าแต่ความโกรธเคืองก็ยังไม่หายไปจึงถือโอกาสนี้อบรมฉู่เทียนเซิงสักรอบหนึ่ง
“ฉู่เทียนเซิง
ภายภาคหน้าก่อนที่เจ้าจะลงมือทำสิ่งใด
เจ้าควรใช้สมองน้อยๆคิดให้รอบคอบกว่านี้เสียก่อน
ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นประมุข แต่คำพูดของเจ้าก็ไม่ใช่ประกาศิตของนิกายทั้งหมด
! ในปีนั้น..... เป็นเพราะเจ้าคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในเหล่าศิษย์
แต่เจ้าก็ยังไม่ใช่คนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเป็นประมุขนิกาย
!”
“เช่นเดียวกับข้าผู้อาวุโส ... ข้าแข็งแกร่งที่สุดในเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลาย
แต่ข้าก็สำนึกตนดีว่าไม่อาจขึ้นเป็นประมุขที่ดีได้อย่างแน่นอน มิฉะนั้นรากฐานนับสหัสวรรษของนิกายคงถูกทำลายด้วยมือข้า
!”
คำพูดของเซี่ยงหวู่จี้สามารถกล่าวได้ว่าเป็นการอบรมที่แทงใจและวิจารณ์คุณสมบัติของฉู่เทียนเซิงอย่างละเอียดและตรงไปตรงมา คนผู้นี้มีพลังที่แข็งแกร่งจริง
แต่ความสามารถและสายตาในการมองผู้คนนั้นมิได้สอดคล้องกับสถานะประมุขของนิกาย
ใบหน้าของฉู่เทียนเซิงแทบระเบิดเป็นสีขาว
แต่เขาทำได้เพียงน้อมรับการอบรมสั่งสอนและการดูหมิ่นอย่างอ่อนน้อมเท่านั้น เขาไม่กล้าแข็งข้อต่อเซี่ยงหวู่จี้
หลังจากที่เซี่ยงหวู่จี้กล่าววาจายืดยาว, ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหงุดหงิดหรือกระหาย เขาหยิบเหยือกชาจากแหวนมิติที่นิ้วมือออกมาและนั่งดื่มในห้องโถงใหญ่
ฉู่เทียนเซิงก็ไม่กล้าห้ามปรามอีกฝ่าย เขาทำได้เพียงนำกระดองเต่าที่ดูแปลกตาและลึกลับออกมาเพื่อมองดูมันอย่างเงียบงัน
เขาเคล็ดวิชาลับอัดลมปราณเข้าไปในกระดองเต่าและทำให้จุดสีเงินของกระดองเปลี่ยนไปทันที หลังจากนั้นครู่หนึ่ง จุดสีเงินจำนวนมากก็ถูกจัดเรียงเป็นเส้นโค้งหลายเส้น
ก่อเป็นลวดลายที่ลึกลับซับซ้อน
ฉู่เทียนเซิงที่เห็นรูปแบบนี้ปรากฏขึ้นก็มีสีหน้าตกตะลึงจนวิญญาณแทบหลุดจากร่าง
ดวงตาของเขาฉายแววประหลาดใจและตะโกนออกมาว่า
“ท่านอาจารย์อา ! ท่านดูนี่สิ ข้าทำนายชะตาด้วยแผนที่ดวงดาว
ผลออกมาว่าบุคลผู้มีชะตาท้าทายสวรรค์ที่พวกเรามองหายังอยู่ในนิกาย !”
เซี่ยงหวู่จี้ที่กำลังดื่มชาจากเหยือกพลันสะดุ้งโหยง
ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้เขาก็สำลักน้ำจนแทบจะพ่นมันออกมา เขาหันขวับไปมองที่ฉู่เทียนเซิงและสบถออกมาว่า
“ฉู่เทียนเซิง
เจ้านี่มันสมองหมูหรือเปล่า ? เจ้าไม่ได้ขับไล่จี้หลิงออกจากพื้นที่ของนิกาย
เขาก็ต้องอยู่ในนิกายอยู่แล้ว !”
ฉู่เทียนเซิงรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว
“ไม่ใช่ขอรับท่านอาจารย์อา ! บุคลผู้ท้าทายชะตาสวรรค์ที่แผนที่ดวงดาวแสดงออกมาในครั้งนี้ไม่ใช่จี้หลิง
แต่เป็นอีกคน !”
“ว่าไงนะ ! มีอีกคน?”
เซี่ยงหวู่จี้ตกตะลึงและถามด้วยความสับสนว่า
“ก่อนหน้านี้แผนที่ดวงดาวทำนายว่าบุคลผู้ท้าทายชะตาสวรรค์นั้นอยู่ที่รัฐนภากระจ่างนี่นา... เอาเถอะ ในเมื่อบุคลผู้นี้ยังมีอีกคน
ขอเพียงอยู่ในนิกายย่อมไม่ใช่เรื่องยากที่จะหาตัว”
“ลองหาดูว่ามีศิษย์ทั้งหมดกี่คนที่มาจากรัฐนภากระจ่าง
เรียกพวกเขาตรวจสอบโดยละเอียด”
ฉู่เทียนเซิงรีบเก็บแผนที่ดวงดาวกลับไปอย่างรวดเร็วและพยักหน้าพลางกล่าวว่า
“ศิษย์ทราบแล้วขอรับ ท่านอาจารย์อา !”
เขาเองก็คาดไม่ถึงผลลัพธ์เช่นนี้และรู้สึกขอบคุณสวรรค์อย่างมากที่เหลือทางรอดให้แก่นิกายพันธมิตรสวรรค์
ถึงแม้ว่าจี้หลิงจะไม่สามารถเคลื่อนอาคมเก้ามังกรสยบมารได้
แต่บุคลผู้ท้าทายโชคชะตาตัวจริงก็ยังอยู่ในนิกาย
ฉู่เทียนเซิงรู้สึกผ่อนคลายมากและเริ่มเกิดความรู้สึกคาดหวังอย่างลึกซึ้ง
......
เช้าตรู่ของวันถัดมาฉู่เทียนเซิงได้เปิดประชุมกับอาวุโสทั้งเก้าของนิกายเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้
เขานั่งบนบัลลังก์ประมุขนิกายและกวาดสายตาจับจ้องไปยังอาวุโสทั้งเก้าพลางถามอย่างเคร่งขรึม
“เมื่อวานนี้ข้าให้พวกท่านไปตรวจสอบการบุกรุกของเผ่ามาร พวกท่านได้เบาะแสอันใดบ้าง
?”
ผู้อาวุโสฝ่ายนอกฉู่ฮวายซานรีบก้าวออกมาข้างหน้าทันทีและประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม
“รายงานท่านประมุข
พวกข้าพบว่าเมื่อคืนก่อนเผ่ามารที่บุกรุกเข้ามาคือหนึ่งชายชราหนึ่งรุ่นเยาว์ขอรับ”
“ชายชราคือมหาปุโรหิตแห่งเผ่ามาร ส่วนอีกหนึ่งเป็นสตรีรุ่นเยาว์ที่ไม่ทราบตัวตนและฐานะของนาง
จากการคาดเดา นางสมควรเป็นลูกหลานที่ทรงอิทธิพลของเผ่ามาร”
“เมื่อตอนที่พวกเราพบร่องรอยของพวกมัน
พวกเราร่วมมือกันโจมตีพวกมันแต่น่าเสียดาย สุดท้ายพวกมันเรียกหมอกออกมาจากร่มประหลาดคันหนึ่งและหลบหนีไปได้”
ฉู่เทียนเซิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่งก็พยักหน้าพลางกล่าวว่า “มหาปุโรหิตผู้นี้บุกเข้ามาในนิกายสามครั้งตลอดสามศตวรรษ
(300 ปี) แต่มันก็หลบหนีไปได้ทุกครั้ง”
“เมื่อมันใช้ร่มหมอกรัตติกาลซึ่งเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามาร ต่อให้ข้าลงมือเองก็ยังไม่อาจจับมันได้เช่นกัน
เอาเถอะ ถือว่าพวกท่านได้พยายามเต็มที่แล้ว เรื่องนี้ไม่อาจตำหนิใครได้ อีกอย่าง
เมื่อพวกมันรู้ว่าเรากำลังตามล่าพวกมันอยู่
มันคงไม่กล้าเคลื่อนไหวในช่วงนี้”
หลังจากกล่าวรายงานเสร็จ
ฉู่ฮวายซานก็ประสานมือคารวะและอำลากลับตำหนักไปพร้อมกับอาวุโสอีกสองคน
หลังจากนั้นผู้อาวุโสของหอวิญญาณโอสถก็ก้าวออกมาและรายงานต่อฉู่เทียนเซิงว่า
“เรียนท่านประมุข ข้าน้อยมีเรื่องสำคัญที่ต้องรายงาน”
ฉู่เทียนเซิงพยักหน้าและถามว่า
“เรื่องอันใดหรือ ?”
ผู้อาวุโสของหอวิญญาณโอสถกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“ศิษย์ฝ่ายนอกของหอยุทธ์ไป๋หลู่ที่ชื่อว่าจี้เค่อ นางฟื้นขึ้นเมื่อคืน
ดังนั้นเรื่องของศิษย์ฝ่ายนอกเมื่อ 13
วันก่อนสมควรได้ข้อสรุปแล้ว”
ที่จริงแล้วเรื่องของศิษย์ฝ่ายนอกนั้นไม่จำเป็นต้องให้ฉู่เทียนเซิงที่เป็นประมุขต้องลดตัวลงมาจัดการ
และอาวุโสท่านนี้คงไม่ต้องรายงาน
แต่ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เกี่ยวพันถึงจี้หลิงว่าที่ศิษย์สายตรงของประมุข นั้นผู้อาวุโสจึงรายงานเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว
ฉู่เทียนเซิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งหลังจากได้ยิน
จากนั้นก็พยักหน้าพลางกล่าวว่า “ก็ดี ท่านพาข้าไปพบนาง
ข้าต้องการสอบถามนางด้วยตัวเอง”
“ขอรับท่านประมุข”
ผู้อาวุโสหอวิญญาณโอสถประสานมือคารวะและเดินนำหน้าฉู่เทียนเซิงเพื่อมุ่งหน้าไปยังยอดเขาวิญญาณโอสถทันที
สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่บนเชิงเขาและเป็นสถานที่หวงห้ามแห่งหนึ่งของนิกายพันธมิตรสวรรค์ ศิษย์ทั่วไปไม่สามารถย่างกรายเข้ามาได้ มันมีตำหนักสูงใหญ่นับร้อยที่ล้อมรอบไว้ด้วยต้นไม้สูงตระหง่าน
ตำหนักถูกปกคลุมไปด้วยเมฆครึ้มและทำให้หอวิญญาณโอสถราวกับอยู่ในดินแดนมหัศจรรย์
ฉู่เทียนเซิงติดตามอาวุโสแห่งหอวิญญาณโอสถเข้าไปในห้องๆหนึ่งที่เต็มไปด้วยสมุนไพรและได้เห็นสตรีสองนางอยู่ภายในห้อง
คนแรกก็คือจี้เค่อที่กำลังนอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าซีดเซียว
ดวงตาของนางดูไร้สีสันเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านางยังไม่ฟื้นฟูเต็มที่ ส่วนสตรีอีกคนหนึ่งก็สาวใช้ของหอวิญญาณหอโอสถ
นางกำลังถือซุปสมุนไพรเพื่อป้อนให้แก่จี้เค่อ
เมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสและฉู่เทียนเซิงเดินเข้ามา
สาวใช้ก็ตื่นตระหนกและรีบทำความเคารพทั้งสองด้วยความนอบน้อมทันที ส่วนจี้เค่อไม่สามารถลุกขึ้นมาได้จึงแสดงความเคารพด้วยการพยักหน้าและเอ่ยปากทักทาย
จากนั้นผู้อาวุโสของหอวิญญาณโอสถก็กล่าวกับนางว่า
“จี้เค่อ ท่านผู้นี้คือประมุขนิกายพันธมิตรสวรรค์, ฉู่เทียนเซิง
ท่านมาเยี่ยมเจ้าเป็นพิเศษเพื่อสอบถามเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนั้น”
“เจ้าสามารถเล่าเรื่องทั้งหมดได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
แต่เจ้าต้องพูดความจริงเท่านั้น ห้ามโกหกแม้แต่ครึ่งคำ มิฉะนั้นจะต้องโดนลงโทษ !”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved