ตอนที่ 220

เก้ามังกรผนึกปีศาจ

จี้เทียนซิงเอื้อมมือไปหยิบเม็ดยาวิญญาณโลหิตด้วยความลังเลเล็กน้อย

จากนั้นก็โยนเข้าปากและนั่งดูดซับพลังของมันอยู่ในห้องโถง

อย่างไรก็ตาม

เซี่ยงหวู่จี้และฉู่เทียนเซิงได้แสดงทัศนคติต่อเขาไปหมดแล้วว่าภารกิจนี้จะไม่มีผลกระทบต่อความสำคัญในปัจจุบันและอนาคตของเขา

หากเขาทำสำเร็จก็นับว่าเป็นบุญวาสนาที่น่ายินดีของนิกาย  ถึงแม้เขาจะล้มเหลว

ทางนิกายก็จะไม่กล่าวโทษใดๆต่อเขา

ส่วนเรื่องผนึกที่เริ่มเสื่อมของมหาข่ายปราณ

ฉู่เทียนเซิงและเซี่ยงหวู่จี้จะหาวิธีอื่นแก้ปัญหาเอง

ตำหนักฉิงเทียนเงียบสงบและเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เซี่ยงหวู่จี้และฉู่เทียนเซิงต่างก็รอคอยอย่างสงบและอดทน

สองชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็วและในที่สุดจี้เทียนซิงก็สามารถดูดซับพลังของเม็ดยาวิญญาณโลหิตได้สำเร็จ

เม็ดยาชนิดนี้มีความพิเศษมาก

มันไม่ได้มีไว้เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บหรือเสริมพลัง บทบาทหน้าที่ของมันมีเพียงอย่างเดียวคือกระตุ้นพลังสายเลือดและปรับแต่งพลังของสายเลือดกระบี่ลี้ลับให้จี้เทียนซิง

ภายใต้อิทธิพลของเม็ดยาเขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าโลหิตในกายกำลังเดือดพล่านและไหลเวียนอย่างทรงพลังเหมือนน้ำไหลบ่า

ในขณะนี้ผิวของเขาปรากฏเป็นสีแดงเข้ม

ร่างกายร้อนรุ่มและแห้งผาก

เมื่อฉู่เทียนเซิงเห็นว่าได้เวลาได้แล้ว

เขาก็กล่าวอย่างจริงจังว่า “ถึงเวลาแล้ว

พวกเราลงมือกันเถอะท่านอาจารย์อา !”

เซี่ยงหวู่จี้พยักหน้า

หลังจากนั้นทั้งสองก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องโถงโดยที่นำจี้เทียนซิงไปด้วย  พวกเขามุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของตำหนัก

หลังจากนั้นไม่นานทั้งสามคนก็เข้าไปในห้องลับอันดำมืดห้องหนึ่ง

มันมืดมากแต่มีค่ายกลอันทรงพลังที่กระเพื่อมไปด้วยพลังปราณคอยปกปักษ์รักษาอยู่

ฉู่เทียนเซิงและเซี่ยงหวู่จี้เดินนำเข้าไปในห้องลับก่อน

ส่วนจี้เทียนซิงติดตามอย่างใกล้ชิดจากด้านหลัง

ภายในห้องลับมีข่ายวงกลมรัศมีสามเมตรตั้งอยู่

มันเผยให้เห็นถึงลายเส้นและลวดลายอันหนาแน่นอีกทั้งยังเต็มไปด้วยสัญญาณอาคมพิเศษมากมาย

แต่เดิมนั้นภายในห้องลับว่างเปล่า

ยกเว้นข่ายวงกลมที่ตั้งอยู่ก็ไม่มีสิ่งใดอยู่เลย

วูบ

!

หลังจากฉู่เทียนเซิงวาดฝ่ามือหนึ่งครั้งและร่ายเคล็ดอาคมแขนงหนึ่ง

ข่ายปราณที่อยู่บนพื้นก็ถูกกระตุ้น

เส้นแสงอาคมส่องแสงสีขาวที่พร่างพราวออกมาเกิดเป็นประตูแสงบานหนึ่ง

ประตูแสงนี้คือข่ายปราณเคลื่อนย้ายที่จะนำไปสู่ถ้ำลึกใต้ดินของยอดเขาเมฆาสีชาดนั่นเอง

“ไปกันเถอะ” ฉู่เทียนเซิงกล่าวด้วยเสียงต่ำ

เขาเดินเข้าไปในข่ายปราณเคลื่อนย้ายเป็นคนแรก

หลังจากแสงสีขาวกระพริบจ้าบาดตา ร่างของเขาก็หายไป

จากนั้นเซี่ยงหวู่จี้ก็เดินเข้าไปเป็นคนที่สอง  จี้เทียนซิงรีบตามหลังจากใกล้ชิด

ในขณะนั้นเขารู้สึกว่าภาพเบื้องหน้าเป็นสีขาวโพลนสว่างจ้าและหายไป

“วูบ !”

วินาทีต่อมาแสงสว่างที่อยู่เบื้องหน้าเขาก็หายไป

มันกลับคืนสู่ความมืด จากนั้นเท้าของเขาก็ตกลงบนพื้น

เขายืนนิ่งและทอดสายตามองไปรอบๆ

สิ่งที่เขาได้เห็นคือถ้ำลึกใต้ผืนดิน

ถ้ำมีขนาดเล็ก

มันมีห้องลับเพียงห้องเดียวและบริเวณโดยรอบเป็นกำแพงหินสีน้ำตาลเข้มที่ขรุขระ

ผนังห้องถูกประดับไว้ด้วยโคมไฟหินสองดวงที่เปล่งแสงสลัวไปตามพื้นถ้ำ

บนพื้นดินยังมีอาคมวงกลมแบบเดียวกับในห้องลับ  อากาศค่อนข้างแห้งและหนาวเย็นเล็กน้อย

นอกจากนี้มันยังทำให้รู้สึกหายใจได้อย่างยากลำบากจนจี้เทียนซิงอดไม่ได้ที่จะต้องมุ่นหัวคิ้ว

"ไปเถอะ"

เซี่ยงหวู่จี้ที่อยู่ข้างๆส่งเสียงกระตุ้นเตือนให้ชายหนุ่มเดินไปต่อ

เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปข้างหน้าก็ได้เห็นเส้นทางอันมืดมิด

ฉู่เทียนเซิงและเซี่ยงหวู่จี้เดินนำไปล่วงหน้าและกลืนไปกลับความมืดแล้ว

จี้เทียนซิงรู้สึกแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ถามไถ่อะไรมากมายและเดินตามไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากสามคนเดินผ่านเส้นทางมืดมืดที่ทอดยาวประมาณร้อยเมตร

ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงถ้ำใต้ดินแห่งหนึ่ง

ถ้ำใต้ดินแห่งนี้กล่าวได้ว่าเป็นถ้ำที่ว่างเปล่าที่มีรัศมีหลายกิโลเมตร

มันเป็นถ้ำขนาดใหญ่รูปทรงกลมและมีอากาศไหลเวียนอยู่ตลอดเวลาด้วยหมอกอาคมสีดำ

ทั่วกำแพงเป็นหินสีดำและมีหลายแห่งที่เต็มไปด้วยสีสันสดใสเหมือนอัญมณี

ด้านบนของถ้ำสูงกว่า

100 เมตร

จี้เทียนซิงสามารถมองเห็นแผ่นหินที่อยู่บนเพดานที่สลักไว้ด้วยเส้นสายอาคมอันหนาแน่น

พื้นถ้ำนั้นขรุขระและไม่สม่ำเสมอเผยให้เห็นขอบมุมอันแหลมคมมากมาย

และที่ตามมุมกำแพงหินก็ยังมีเห็ดรางอกเงยขึ้น พวกมันต้องเผชิญกับหมอกอาคมอันมืดมิดจนเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติ

พวกมันเปลี่ยนเป็นสีม่วงดำและยังมีสีแดงเลือดอีกด้วย

อากาศในถ้ำไม่เพียงแค่เย็น

แต่มันยังเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บจับจิตที่ทำให้เลือดในกายแทบแข็งตัว

ในระหว่างที่จี้เทียนซิงเดินเข้าไปในถ้ำ

เขารู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างที่ชั่วร้ายกำลังเคลื่อนผ่านตัวเขาไป

มันเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายที่หนาวเย็น

แต่สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดก็คือเขาไม่รู้ว่าเสียงกระซิบและเสียงร่ำร้องโหยหวนอันน่าสยดสยองนี้มาจากไหนกันแน่

เสียงเหล่านั้นบ้างครั้งก็เหมือนเสียงร้อง

บางครั้งก็เหมือนเสียงกระซิบในสายลมที่ชวนให้ผู้ฟังต้องขนหัวลุกและหนังศีรษะชาด้าน

เห็นได้ชัดว่าฉู่เทียนเซิงและเซี่ยงหวู่จี้มาที่นี่บ่อยและพวกเขาก็คุ้นชินเป็นอย่างดี

ทั้งสองผ่านชั้นของหมอกสีดำและเดินตรงไปยังถ้ำ

จี้เทียนซิงติดตามไม่ห่างจนได้เห็นแท่นบูชายาวร่วมเมตรที่อยู่เบื้องหน้าของเขา

มันเป็นแท่นบูชารูปพีระมิดและทำจากหินสีดำ

นอกจากนี้ยังอัญมณีสีทอง แดง ฟ้า ขาววางอยู่และแผ่ซ่านพลังที่ผันผวนเล็กน้อยออกมา

อัญมณีเหล่านี้เต็มไปด้วยพลังปราณที่หลากหลายและประดับประดาไว้ด้วยลายเส้นอักขระอาคมจำนวนมาก  มันให้บรรยากาศที่ลึกลับต่อผู้พบเห็น

ที่ฐานหินใต้แท่นบูชามีรูปปั้นมังกรเสมือนจริงตั้งอยู่เก้ารูปเรียงรายกันเป็นวงกลมล้อมรอบแท่นบูชาทั้งหมดเอาไว้

สีของมังกรทั้งเก้านั้นแตกต่างกันออกไปและท่าทางของพวกมันก็ยังแตกต่างกัน

บางตัวทำท่าเหมือนจะกระโจนเหนือมหาสมุทร

บางตัวปีนป่ายสู่เวหา บางตัวถลาบินอยู่บนเมฆ

แต่สิ่งเดียวที่พวกมันมีเหมือนกันก็คือท่อลำเลียง

ไม่ว่าพวกมันจะทำท่าทางแบบไหนหรืออยู่ในตำแหน่งใดท่อลำเลียงที่เชื่อมต่อกับพวกมันนี้ก็จะพุ่งไปรวมกันที่แท่นบูชาทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตามแท่นบูชามิได้เคลื่อนไหวและไม่มีแสงของพลังปราณปรากฏให้เห็น  นอกจากนี้รูปปั้นมังกรทั้งเก้าตัวก็แผ่กลิ่นอายเย็นเยือกไร้ซึ่งสีสัน

ขณะเดียวกันไอสีดำจางๆก็ลอยฟุ้งออกมาจากใต้แท่นบูชาและเต็มเติมไปทั่วทั้งถ้ำ

เสียงกระซิบกระซาบที่ชวนขนลุกและเสียงโหยหวนที่ทำให้รู้สึกหลอนก็ค่อยๆส่งออกมาจากใต้แท่นบูชาเป็นระยะๆอย่างไม่หยุดนิ่ง

ชายหนุ่มจ้องมองไปที่แท่นบูชาชั่วครู่หนึ่งและคาดเดาได้ว่าแท่นบูชานี้คืออาคมเก้ามังกรผนึกปีศาจที่ประมุขจัดวางเอาไว้

ฉู่เทียนเซิงหันมามองเขาและกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า

“จี้เทียนซิง

สิ่งนี้ก็คือข่ายอาคมเก้ามังกรผนึกปีศาจของผู้อาวุโสรุ่นก่อน”

“ภายใต้มหาข่ายปราณนี้ยังมีมหาข่ายปราณโบราณที่กำลังเสื่อมสภาพลงตามกาลเวลา  และปีศาจไร้พ่ายก็ถูกผนึกไว้ที่นี่”

“บัดนี้ข้าประมุขจะสอนวิธีเปิดใช้งานอาคมเก้ามังกรผนึกปีศาจให้เจ้า

จดจำไว้ให้มั่น ไม่สำเร็จไม่เป็นไรแต่อย่าได้ทำผิดพลาดเด็ดขาด”

“หลังจากที่เจ้าเรียนรู้แล้ว

ข้ากับอาจารย์อาเซี่ยงก็จะช่วยเจ้าในการเริ่มวางผนึกอาคมใหม่”

“หากพวกเราทำสำเร็จ

นิกายพันธมิตรสวรรค์จะปลอดภัยและมั่นคงไปอีกร้อยปี !”

ฉู่เทียนเซิงกล่าวอย่างหนักแน่นและเต็มไปด้วยความคาดหวัง

แม้กระทั่งเซี่ยงหวู่จี้ก็ยังจ้องมองจี้เทียนซิงและพยักหน้าให้อีกฝ่ายด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังอย่างที่ไม่เคยมีให้มาก่อน

ถึงแม้ปากจะพูดว่าไม่ได้คาดหวังอะไร

แต่สุดท้ายพวกเขาทั้งสองก็ยังอดไม่ได้ที่จะฝากความหวัง