ตอนที่ 215

ไอ้หนูนั่นทารุณพวกเจ้า

?

ภายในห้องปรุงยาเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของสมุนไพร

เซี่ยงหวู่จี้ในชุดเสื้อคลุมสีม่วงจ้องมองไปที่เตาปรุงยาสีบรอนซ์ที่อยู่ด้านหน้า

เขาโบกมืออย่างต่อเนื่องเพื่อปล่อยพลังปราณธาตุไฟเพื่อควบคุมไฟในเตาปรุงยา

หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หยุดมือ

สีหน้าเผยให้เห็นความยินดีปรีดา

“เตานี้หลอมเสร็จแล้วย่อมเป็นของดีแน่”

เขากระซิบด้วยเสียงแผ่วเบาแล้วหันหลังเดินไปที่มุมห้องเพื่อนั่งลงเอนหลังบนเก้าอี้หวายอย่างสบายอารมณ์

จากนั้นเขาก็หยิบสุราออกมาจากแหวนมิติและยกซดเข้าปาก

ในขณะนี้เอง

ศีรษะเล็กๆสองหัวแอบโผล่เข้ามามองในห้องปรุงยา

เซี่ยงหวู่จี้ที่ได้เห็นภาพนี้ก็มิได้โกรธเคือง

เขาเพียงเผยรอยยิ้มเบาบางวูบหนึ่งพลางกล่าวว่า “เจ้าตัวน้อยทั้งสอง

มานี่ซิ หลบๆซ่อนๆอะไรกันอยู่ได้?”

เฉียนเยวี่ยและเสี่ยวเฮยหลงได้ยินเช่นนี้ก็เผยรอยยิ้มขึ้นทันที

พวกมันบินเข้าไปหาเซี่ยงหวู่จี้ในห้องปรุงยาอย่างรวดเร็ว

“ผู้อาวุโส พวกข้ามาหาท่าน !” เสี่ยวเฮยหลงจ้องมองเซี่ยงหวู่จี้และกล่าวอย่างจริงจัง

ส่วนเฉียนเยวี่ยก็เหยียดอุ้งเท้าหน้าออกมา

ทำท่าทางคารวะเหมือนมนุษย์และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้อาวุโส

มิได้พบหน้าท่านมาตั้งหลายวัน พวกข้าแทบอยากตายเสียเหลือเกิน”

หลังจากนั้นมันก็ไปกดหัวเสี่ยวเฮยหลงที่อยู่ข้างๆและขยิบตาให้อีกฝ่ายราวกับส่งซิก

เสี่ยวเฮยหลงทำหน้าเหลอหลาไปวูบหนึ่งก่อนจะเข้าใจสัญญาณของอีกฝ่าย

มันรีบพยักหน้าหงึกหงักและกล่าวอย่างจริงจังว่า “ถูกต้อง

! ไม่ได้เห็นหน้าท่านแล้วพวกเราโคตรอยากตายเลย !”

เซี่ยงหวู่จี้มุมปากกระตุกและเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะที่จ้องมองพวกมันและกล่าวว่า

“เหอเหอ เจ้าพวกเดรัจฉานน้อย

พวกเจ้าคิดว่าตาเฒ่าอย่างข้าจะมองความคิดตื้นๆของพวกเจ้าไม่ออกงั้นหรือ ? พวกเจ้าเปรี้ยวปากผลไม้วิญญาณของข้าเสียมากกว่า !”

เสี่ยวเฮยหลงตอบโดยไม่คิดว่า

“ถูกต้อง ! ข้าต้องการ

!”

เฉียนเยวี่ยเผยรอยยิ้มอย่างรวดเร็วและอธิบายต่อเซี่ยงหวู่จี้ว่า

“อาวุโส แน่นอนว่าเป็นเพราะพวกเราคิดถึงท่านต่างหากเล่า”

“เมื่อตอนที่พวกเราอาศัยอยู่ในตำหนักไท่อัน ท่านดูแลพวกเราอย่างดี

คอยมอบผลไม้วิญญาณรสเด็ดให้กินไม่มีหมด พวกเราซาบซึ้งน้ำใจของท่านเสมอมา”

เมื่อมันเหลือบไปเห็นโอสถในเตาปรุงยาสีบรอนซ์ที่ส่งกลิ่นหอมหวนโชยมาตลบอบอวล

มันก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย

เซี่ยงหวู่จี้จิบสุราจากน้ำเต้าและกล่าวด้วยเสียงราบเรียบว่า

“ในเมื่อพวกเจ้าซาบซึ้งบุณคุณตาเฒ่าอย่างข้า

เช่นนั้นไม่คิดที่จะทำงานตอบแทนข้าบ้างเลยหรือ ?”

“มังกรน้อยเจ้าไปตัดฟืนและเติมฟืนในโกดังให้เติมก่อนฟ้ามืด”

“จิ้งจอกน้อยเจ้าไปตักน้ำให้ข้า เจ้าต้องตักน้ำให้ได้สามสิบหกถังภายในวันนี้”

เสี่ยวเฮยหลงอึ้งอิ่มกี่และหันขวับไปมองเฉียนเยวี่ยทันที

ดวงตาฉายแววเป็นเชิงถามไถ่

ดวงตาของเฉียนเยวี่ยกระตุก

มุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์และพูดว่า “อาวุโส ท่านอย่าล้อพวกข้าเล่นซี่  ท่านเป็นถึงจอมยุทธ์ขอบเขตปราณฟ้าที่มีพลังเหนือธรรมชาติเชียวนา

เพียงกระดิกนิ้วท่านก็สามารถแผดเผาขุนเขาได้ด้วยสองนิ้ว เพียงหนึ่งฝ่ามือทำลายกองทัพมหาศาลให้ราบพนาสูญ

แล้วยอดฝีมือเช่นท่านคิดจะใช้งานสัตว์อสูรตัวน้อยๆอย่างพวกเราไปตัดฟืนกับตักน้ำเนี่ยนะ...

ได้ที่ไหนกัน !”

“เช่นนี้ดีหรือไม่  ข้าเห็นว่าท่านหลังคดหลังแข็งนั่งปรุงยา ให้ข้านวดหลังให้ท่านดีกว่า

!”

ท้ายที่สุดแล้ว

มันก็ไม่รอให้เซี่ยงหวู่จี้ได้มีโอกาสปฏิเสธมันรีบไปบินข้างหลังอีกฝ่ายและโบกมือน้อยๆทุบนวดหลังให้อย่างดี

เมื่อเห็นเสี่ยวเฮยหลงยังคงลอยบื้ออยู่กลางอากาศ

มันก็รีบส่งซิกไปที่แข้งขาของเซี่ยงหวู่จี้อย่างรวดเร็วหมายจะให้อีกฝ่ายนวดขา

เสี่ยวเฮยหลงงุนงงอยู่วูบหนึ่งก่อนจะมีปฏิกิริยา

มันเหยียดกรงเล็บมังกรคู่หนึ่งออกมาก่อนที่จะบินถลาไปนวดขาให้เซี่ยงหวู่จี้อย่างพิถีพิถัน

เซี่ยงหวู่จี้ขมวดคิ้วแต่ไม่โกรธเคือง

เขากล่าวว่า “บัดซบ เดรัจฉานน้อยทั้งสอง

พวกเจ้ามาเอาอกเอาใจขนาดนี้ ต้องการอะไรกันแน่”

เสี่ยวเฮยหลงหวาดกลัวจนรีบหดกรงเล็บและจ้องมองไปที่เซี่ยงหวู่จี้โดยไม่รู้จะตอบยังไง

เฉียนเยวี่ยยังคงมีท่าทีปลอดโปร่งและนวดหลังต่อไปโดยกล่าวอย่างน้อยเหนือต่ำใจว่า

“ผู้อาวุโส ท่านไม่รู้อะไร

ตั้งแต่ออกจากตำหนักไท่อันไป อาหารการกินที่มีไม่เคยทำให้ท้องพวกเราอิ่มได้...…”

“เฮ้อ... ก็คือพวกเรากินไม่อิ่มนั่นแหละ !  ผู้อาวุโส

พวกเราคิดถึงท่านยิ่งนัก

พวกข้าคิดถึงวันคืนอันชื่นมื่นที่ได้อยู่ในตำหนักไท่อันกับท่านเสียเหลือเกิน”

ในขณะที่พูดอย่างหดหู่

ดวงตาของมันก็เริ่มปกคลุมไปด้วยม่านหมอกและมีน้ำตาปรากฏขึ้นในดวงตาขนาดใหญ่ของมัน

มันดูสลดเศร้าสร้อยและมองไปที่เซี่ยงหวู่จี้ด้วยแววตาจริงใจ

ท่าทางของมันน่าเวทนาและน่าสงสารมาก

เซี่ยงหวู่จี้ไม่อาจทำอะไรได้นอกจากกลอกลูกตาไปมาและกล่าวว่า

“งั้นก็แสดงว่าไอ้หนูจี้เทียนซิงโหดร้ายทารุณกับพวกเจ้า

?”

เฉียนเยวี่ยลังเลเล็กน้อยแต่ไม่พูดอะไร

ส่วนเสี่ยวเฮยหลงกลับพยักหน้าหงึกๆ

เซี่ยงหวู่จี้จ้องมองไปที่เสี่ยวเฮยหลงและเขกกบาลเฉียนเยวี่ย

เขาแค่นเสียงด้วยความเคืองว่า “เฮอะ

เจ้าเดรัจฉานทั้งสองเล่นละครไม่ค่อยเข้าขากันเลยนะ

คราวหน้าคราวหลังเตี๊ยมกันให้ดีกว่านี้หน่อย !”

“เอาเถอะ ข้าขี้เกียจจะสืบสาวราวเรื่องให้มากความ  นี่ก็เห็นว่าเพราะพวกเจ้าน่าสงสารหรอกนะ....”

ยังไม่ทันพูดจบเฉียนเยวี่ยก็หัวเราะร่าและกล่าวด้วยความดีใจว่า

“ขอบคุณผู้อาวุโส

ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านใจดีที่สุด !”

จุดนี้หมอกน้ำตาในดวงตาของมันก็หายวับไปทันที

มันเล่นละครได้ดูน่าสงสารและเจ้าเล่ห์สมเป็นจิ้งจอกอย่างแท้จริง...

เซี่ยงหวู่จี้ส่ายหัวยิ้มเจื่อนโดยไม่กล่าวอะไร

เขาวาดฝ่ามือปรากฏเป็นผลไม้วิญญาณนับสิบๆผลและโอสถวิเศษมากมายวางไว้บนโต๊ะ

“เอาล่ะ ไม่ต้องท่ามาก ยัดๆเข้าไปซะ”

ทั้งเสี่ยวเฮยหลงและเฉียนเยวี่ยต่างแววตาเป็นประกายอย่างร่าเริง

พวกมันทิ้งดิ่งไปยังกองผลไม้วิญญาณและหยิบกินอย่างเอร็ดอร่อย

เซี่ยงหวู่จี้จ้องมองไปที่พวกมันและอดไม่ได้ที่เผยรอยยิ้มออกมา

จากนั้นก็ยกน้ำเต้าซดสุราต่อไป

ทั้งหมดทั้งมวลก็สืบเนื่องมาจากช่วงนี้ทรัพยากรบ่มเพาะของจี้เทียนซิงมีเหลือไม่มากนัก

จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะไม่มีผลไม้วิญญาณและโอสถล้ำค่าเหลือพอให้เฉียนเยวี่ยและเสี่ยเฮยหลงได้สวาปามเหมือนเมื่อก่อน

พวกมันจึงทำได้แค่เพียงดูดซับรัศมีพลังของฟ้าดินเพื่อฟื้นฟูความแข็งแกร่งอย่างเชื่องช้า

เมื่อตอนนี้พวกมันมีของอร่อยมากองตรงหน้า

ด้วยทรัพยากรจำนวนนี้ก็เพียงพอให้พวกมันได้ปรับแต่งและฟื้นฟูพลังได้ถึงสิบวัน

ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม

เฉียนเยวี่ยและเสี่ยวเฮยหลงก็กินผลไม้วิญญาณและโอสถวิเศษจนหมดเกลี้ยง ทั้งสองขอบคุณเซี่ยงหวู่จี้ยกใหญ่และบินออกจากห้องปรุงยาด้วยความพึงพอใจ

พวกมันบินกลับไปหาจี้เทียนซิงและกลับเข้าไปหลับในถุงมิติเพื่อดูดซับปรับแต่งพลังจากผลไม้วิญญาณที่เพิ่งกินไป

เมื่อจี้เทียนซิงทำความสะอาดเสร็จเขาก็เดินไปที่ห้องปรุงยาเพื่อหาเซี่ยงหวู่จี้และถามเกี่ยวกับการบ่มเพาะ

ด้วยคำแนะนำของเซี่ยงหวู่จี้

ชายหนุ่มก็สามารถเปิดประตูความรู้ใหม่และเข้าใจปัญหาหลักที่ค้างคาใจอยู่ได้

โดยไม่รู้ตัว

บ่ายของวันหนึ่งก็ผ่านไป

เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน

จี้เทียนซิงก็ออกจากตำหนักไท่อันและกลับไปที่หอยุทธ์ฟงอวิ๋น

......

ตำหนักอันวิจิตรงดงามแห่งหนึ่ง ภายในลานกว้างที่เงียบสงบ

ซวนซวนกำลังเดินเข้าไปในลานกว้างพร้อมกับซู่หลานและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“พี่ซู่หลาน

ข้าไม่ได้พบหน้าท่านมาเกือบครึ่งปีแล้ว ท่านพักอยู่ที่นี่ก่อนสักหลายวันนะ”

ซู่หลานยิ้มตอบและพยักหน้าพลางกล่าวว่า

“ก็ดี เราสองพี่น้องจะได้อยู่คุยกันนานๆหน่อย”

ซวนซวนชี้ไปที่เรือนที่ดูเงียบสงบหลังหนึ่งและยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า

“พี่ซู่หลาน ท่านพักอยู่ในเรือนเล็กนี้ก็แล้วกันนะ มันไม่ค่อยมีคนมาพัก

ท่านอาศัยอยู่ที่นี่จะไม่มีผู้ใดมารบกวน”

เมื่อได้ยินประโยคนี้

ทันใดนั้นซู่หลานก็แสดงรอยยิ้มออกมาและพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ดีมากเลย น้องซวนซวนช่างมีน้ำใจนัก”

“เอาล่ะ เช่นนั้นท่านพักผ่อนก่อนเถอะ

ข้าจะมาหาท่านใหม่วันพรุ่งนี้” ซวนซวนพยักหน้าแล้วโบกมือลา

จากนั้นก็หันหลังเดินออกไป

ซู่หลานยิ้มตอบและเฝ้ามองเงาหลังอันชดช้อยของซวนซวนที่ค่อยๆเดินลับตาไป   ทันใดนั้นรอยยิ้มของนางก็สลายสิ้น

สีหน้าท่าทางกลายเป็นมืดมนหดหู่