ตอนที่ 362 ความลับของหยุนเหยา

จี้เทียนซิงรอคอยวันนี้มาเนิ่นนาน

เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ตอนที่เขายังไม่ได้เข้าเป็นศิษย์ของนิกายพันธมิตรสวรรค์

จิตกระบี่จางเทียนบอกกับเขาว่า หากต้องการทะลวงผ่านความสามารถโดยกำเนิด เขาจะต้องครอบครองลูกปัดแห่งดวงดาราให้ได้

ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้ทำการสืบเสาะหาเบาะแสอย่างยากลำบากและเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายหลายครั้งหลายครา

จนในที่สุดเขาก็ตามสืบจนทราบผลลัพธ์และสรุปได้ว่าลูกปัดแห่งดวงดารานั้นอยู่ในสุสานโบราณพันปีแห่งนี้

แต่กำลังของตัวเขาเองนั้นยังไม่เพียงพอ

ทำได้เพียงทำลายข่ายปราณได้แค่สองชั้นแรกเท่านั้น

โชคดีที่มีหยุนเหยาอยู่เคียงข้าง ด้วยความช่วยเหลือของนาง

ภายใต้การชี้แนะของเขา นางจึงสามารถช่วยเขาทำลายสองข่ายปราณที่เหลือได้สำเร็จ

จี้เทียนซิงมองดูข่ายปราณเบื้องหน้า

ในใจเต็มไปด้วยมวลอารมณ์หลากหลาย

หยุนเหยาก็รู้สึกเช่นเดียวกัน

แต่นางเหนื่อยล้าและอ่อนเพลียมาก

ทว่านางก็เข้าใจดีว่าสถานการณ์ตอนนี้เวลามีจำกัด

มันไม่ใช่เวลาจะมาผ่อนคลาย จึงกล่าวว่า

"เทียนซิง

ในที่สุดเราก็ทำลายมหาข่ายปราณพิทักษ์สุสานพันปีได้สำเร็จ เข้าไปข้างในกันเถอะ"

จี้เทียนซิงพยักหน้าและลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เดินไปที่สุสานพร้อมกับนาง

ทั้งสองเดินมาจนถึงขอบสุสานที่เคยมีม่านแสงของข่ายปราณขวางกั้น

ยกเท้าขึ้นเหยียบลงบนทางเส้นศิลาดำอันเย็นเยียบ

"วูบ !"

มีแสงสีขาวลึกลับสองสายที่ส่องแสงในอากาศที่ว่างเปล่า

และมันก็อันตรธานหายไป

ทั้งสองไม่รู้สึกถึงความผิดปกติแต่อย่างใด

พวกเขาก้าวเดินไปอย่างระมัดระวัง มุ่งหน้าตรงไปยังอนุสาวรีย์หินขนาดใหญ่ที่สุดปลายทางเดิน

ในเวลานี้เองชูไฮว่ซานก็ทะยานตามติดและกล่าวเตือนด้วยสีหน้าเป็นกังวลว่า

“เทียนซิง

หยุนเหยา เจ้าสองคนรอก่อน !"

"พวกเจ้าสูญเสียทั้งลมปราณและพลังวิญญาณไปมากมาย

อยู่ในสภาพอ่อนแอมาก หากมีอันตรายหรือเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นในสุสาน

ข้าเกรงว่าพวกเจ้าจะได้รับอันตราย !”

"ข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วย

หากมีอะไรเกิดขึ้นอาจจะพอช่วยได้... "

กล่าวจบชูไฮว่ซานก็ยกเท้าขึ้นเหยียบลงบนพื้นศิลาสีดำ

ติดตามจี้เทียนซิงและหยุนเหยาไป

แต่ในขณะนี้เอง ลำแสงสีขาวลึกลับสายนั้นกระพริบแลบขึ้นอีกครั้งกลางอากาศอันมืดมิด

เป้ง  !

เพียงได้ยินเสียงกระแทกดังขึ้น

ชูไฮว่ซานบินกระเด็นออกไปด้วยแสงสีขาวลึกลับ

ถึงแม้จะมีพลังในขอบเขตปราณโอสถขั้นที่เจ็ด

คนกลับต้องอ้าปากถ่มโลหิตสดออกมาโดยพลังลึกลับ

มันลอยละลิ่วไปไกลและชนเข้ากับผนังจตุรัสห่างออกไปกว่าร้อยเมตร !

เมื่อได้เห็นฉากนี้

ผู้คนรอบๆพลันตัวแข็งทื่อในทันที สีหน้าเต็มไปด้วยวิตกกังวลและสงสัย

“เกิดอะไรขึ้น ? ไฉนผู้อาวุโสชูถึงได้ถูกกระแทกกลับมา ?”

“แปลกมาก

มิใช่ว่ามหาข่ายปราณถูกเจาะทะลวงและยับยั้งการทำงานไว้แล้วหรอหรือ ?  ทำไมมันยังสามารถดีดร่างของจอมยุทธ์ระดับปราณโอสถกระเด็นกลับมาได้

?”

“หยุนเหยากับจี้เทียนซิงที่เดินเข้าไปก่อนหน้านี้กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แต่......อาวุโสชูถูกดีดกระดอนกลับมา

มหาข่ายปราณชุดนี้แปลกประหลาดยิ่ง !”

ผู้ดูแลและผู้อาวุโสหลายคนของนิกายพันธมิตรสวรรค์ต่างก็พูดคุยกันด้วยความสยอง

พวกมันรีบรุดไปช่วยพยุงชูไฮว่ซานขึ้นจากพื้นดิน

จี้เทียนซิงและหยุนเหยาชะงักฝีเท้าในทันควัน

ทั้งสองหันไปมองชูไฮว่ซานที่ถูกกระแทกจนบาดเจ็บ ดวงตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลสงสัย

รอจนเห็นอีกฝ่ายลุกขึ้นและได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย

ทั้งสองก็รู้สึกโล่งใจ

จี้เทียนซิงขมวดคิ้วครู่หนึ่งและคาดเดาเหตุผลได้ในทันที

จากนั้นตะโกนอธิบายให้ชูไฮว่ซานและเหล่าผู้ดูแลฟังว่า “อาวุโสชู ข้ารู้ว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น"

"มหาข่ายปราณชุดนี้จัดวางไว้อย่างลึกลับซับซ้อนยิ่ง

ข้ายังมิอาจทำลายมันได้อย่างสมบูรณ์ ทำได้เพียงแค่ปิดการทำงานของพวกมันได้ชั่วคราว

ทว่า พลังในการปกปักษ์สุสานจากผู้บุกรุกก็ยังคงเหลืออยู่”

“ข้ากับหยุนเหยาเป็นผู้ลงมือทำลายมันเอง

ทำให้เราทั้งสองกลมกลืนกับมันจึงผ่านเข้ามาได้อย่างราบรื่น ส่วนผู้อื่นที่พยายามเข้ามาจะถูกดีดกลับไป"

หลังจากฟังคำอธิบายของจี้เทียนซิง

ท่าทางของทุกคนก็เปลี่ยนพลางสนทนากัน

"ไม่มั้ง ? มหาข่ายปราณนี้ทรงพลังเพียงนี้เชียว ? ถูกเจาะทะลวงไปแล้วแท้ๆกลับยังมีพลังดั้งเดิมคงเหลืออยู่อีกหรือนี่"

"มหาข่ายปราณจดจำผู้ทำลายได้ ? มีเพียงผู้ที่เคยลงมือถอดรหัสมันจึงจะเข้าไปได้

ส่วนคนที่ไม่เคยทำจะถูกดีดสะท้อนออกมา

นี่มันน่าอัศจรรย์นัก !”

“วันนี้นับว่าเราผู้เฒ่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว

ได้เห็นความลึกลับน่าอัศจรรย์ของมหาข่ายปราณระดับสวรรค์ ถึงตายก็ไม่เสียดายชีวิต

!”

ชูไฮว่ซานและเหล่าอาวุโสหลายคนรู้สึกเหลือเชื่อ

พวกมันทำได้เพียงพยักหน้าเข้าใจและไม่คิดบุ่มบ่ามเข้าไปอีก

พวกมันทั้งหมดยืนอยู่ที่ทางเข้าข่ายปราณ จ้องมองเงาร่างของทั้งสองที่ก้าวเดินลึกเข้าไปในสุสานพันปี

ลอบอธิษฐานในใจอย่างเงียบๆขอให้ไม่มีอุบัติเหตุใดๆเกิดขึ้น

.......

จี้เทียนซิงและหยุนเหยาก้าวขึ้นไปบนทางเดินหินโบราณกว้างกว่าห้าเมตร

มุ่งหน้าต่อไปที่อนุสาวรีย์หินที่สุดทางเดิน

ตลอดเส้นทางหินสีดำกว้างนี้แผ่กลิ่นไออันลึกลับตึงเครียดแก่ผู้คน  ที่สุดปลายทางเดินมีขั้นบันไดหินสิบแปดขั้น

พวกเขาก้าวเท้าเดินขึ้นไปจนในที่สุดก็มาถึงแท่นสูงร้อยเมตร

ในใจกลางของแท่นสูงนี้มีอนุสาวรีย์หินสีดำที่มีความสูงตะหง่านหลายพันเมตร !

ศิลาหินขนาดใหญ่ยักษ์เช่นนี้หาได้ยากยิ่งบนโลก

ยิ่งไปกว่านั้น ขอบและมุมของศิลาแท่นนี้เรียบกริบราวกับถูกผ่าด้วยคมกระบี่ที่สุดจะคม

จี้เทียนซิงและหยุนเหยาแทบจินตนาการไม่ออกเลยว่า

บุคลที่มีพลังอำนาจสูงล้ำจนสามารถสร้างสุสานพันปีแห่งนี้ได้จะแข็งแกร่งขนาดไหนและเหตุใดถึงต้องสร้างสุสานไว้ที่นี่

?

ศิลาหินแสดงถึงบรรยากาศอันโดดเดี่ยวและกลิ่นอายอันเคร่งขรึม

รอยเส้นสายมากมายบนนั้นเป็นร่องรอยที่บ่งบอกถึงอายุอานามของมันที่ข้ามผ่านกาลเวลานับพันๆปี

มันทั้งเย็นเฉียบและมีน้ำค้างเกาะ

จี้เทียนซิงและหยุนเหยาเงยหน้าขึ้นมองศิลาหินและได้เห็นตัวอักษรจำนวนมากที่สลักอยู่บนนั้น

รอยจารึกแต่ละเส้นลึกสามเมตรเท่ากันทุกเส้น

มันเป็นเส้นสลักอักษรสีเงินที่ถูกขีดเขียนไว้อย่างเฉียบคมราวกับกระบี่วิเศษเล่มหนึ่ง

เผยให้เห็นความหมายของวิชากระบี่ของผู้เปล่าเปลี่ยวไร้คู่เปรียบ เย่อหยิ่ง

อหังการและความมั่นใจ !

จากอักษรและตัวหนังสือที่ถูกเขียนโดยบุคคลผู้นี้

เราสามารถบ่งบอกได้ถึงลักษณะนิสัย อารมณ์และจิตใจของบุคคลผู้นั้น

จี้เทียนซิงที่จ้องมองตัวอักษรขนาดใหญ่ทั้งหมดนี้

ในใจรู้สึกได้เลยว่าบุคลที่จารึกตัวอักษรเหล่านี้ย่อมเป็นบุรุษผู้ทรงพลังสูงส่งที่สุด

เปี่ยมล้นด้วยจิตวิญญาณอันเยือกเย็นและหยิ่งทะนง !

ในขณะนี้เอง หยุนเหยาได้ตรวจดูอักษรจารึกเหล่านั้นอยู่ครู่หนึ่ง

นางอดไม่ได้ที่จะต้องพึมพำแผ่วเบากับตัวเองว่า “สุสานแด่เทพกระบี่ อาจารย์ที่เคารพ”

ทันใดนั้น

สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปและโพล่งขึ้นว่า

"สุสานเทพกระบี่ !?"

"สุสานโบราณใต้ภูเขามังกรกลับเป็นสุสานของเทพกระบี่ได้อย่างไร

?"

จี้เทียนซิงหันไปมองหยุนเหยาด้วยสีหน้าราบเรียบและถามว่า

“ศิษย์พี่  นี่ท่านรู้ข้อความที่เขียนบนอนุสาวรีย์หินนี้ด้วยหรือ ? ท่านเคยได้ยินเกี่ยวกับเทพกระบี่

?"

หยุนเหยาหรี่ตาคู่งามลงเล็กน้อย จ้องมองไปที่อีกฝ่ายด้วยแววตาลึกซึ้งราวกับต้องการมองให้ทะลุ

และได้เห็นว่าเขายังดูเฉยเมยไร้อารมณ์ตื่นเต้นดีใจ ราวกับว่าเขารู้ความลับของสุสานแห่งนี้ก่อนผู้ใดมานานแล้ว

นางคาดเดาบางอย่างในใจและพยักหน้ากล่าวว่า “นามแห่งเทพกระบี่ ทุกกองกำลัง

ทุกสำนักนิกายนับแต่สมัยโบราณทั่วทั้งทวีปลมปราณฟ้าย่อมเคยได้ยิน”

"ในยุคโบราณหลายพันปีก่อน

เทพกระบี่คือผู้ที่ไร้เทียมทานที่สุด เปล่งประกายเจิดจรัสที่สุดและแข็งแกร่งที่สุดในปฐพี"

“แม้จะเป็นลานจักรพรรดิจ้งโจวผู้นำแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์เมื่อหลายพันปีก่อนก็ยังต้องเกรงใจเทพกระบี่อยู่หลายส่วน

บางครั้งยังถึงกับต้องขอร้องเขา"

“แล้วบุคลที่แข็งแกร่งประดุจเทพเทวา

ไฉนถึงได้ถูกฝังอยู่ในสถานที่นี้ ?”

จี้เทียนซิงรับฟังอย่างเงียบงัน

เมื่อได้เห็นว่านางสามารถอ่านตัวอักษรโบราณและรับรู้ตำนานเล่าขานของเทพกระบี่ได้ละเอียดเช่นนี้

เขาก็เริ่มวิเคราะห์ตัวตนของนางในใจลับๆ

"ศิษย์พี่หยุนเหยาเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของอาณาจักรเทียนเฉิน

แต่ท่านอาจารย์กลับไม่เคยเอ่ยถึงตัวตนที่มาและตระกูลเบื้องหลังของนางแม้แต่ครั้งเดียว

ราวกับว่าตัวตนของนางโผล่ขึ้นมาจากอากาศเบาบางอย่างไงอย่างงั้น..."

"ก่อนหน้านี้ข้าเคยคาดเดาปูมหลังของศิษย์พี่หยุนเหยาว่าต้องไม่ธรรมดา

ดูท่าจะไม่ผิดไปจากนั้น..."

“นางรู้ตำนานเมื่อหลายพันปีก่อน

อีกทั้งยังรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างลานจักรพรรดิจ้งโจวกับเทพกระบี่

เป็นไปได้สูงว่านางอาจจะมาจากตระกูลโบราณลึกลับตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ...... "

แน่นอน นี่เป็นเพียงการคาดเดาของเขาเองและยังมิอาจด่วนสรุปได้ในตอนนี้

แต่เขาเชื่อว่าสักวันหนึ่งเขาจะต้องรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับหยุนเหยาอย่างแน่นอน