ตอนที่ 138

ระดับของเม็ดยา

ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของเซี่ยงหวู่จี้จะฟังไม่ค่อยเข้าหู

แต่มันก็ชี้แนะจี้เทียนซิงได้อย่างตรงจุด

อย่างไรก็ตาม

เขาพบว่าตาแก่ผู้นี้ไม่ได้มีท่าทีจะห้ามปรามหรือตำหนิที่เขาลักลอบปรุงยาโดยพลการ และเมื่อเขาครุ่นคิดถึงสิ่งที่เซี่ยงหวู่จี้เพิ่งกล่าวเมื่อครู่ก็ทำให้เข้าใจเหตุผลหลักที่ทำให้การปรุงยาครั้งนี้ล้มเหลว

“ที่แท้ก็เป็นเพราะข้ายังไม่มีความเข้าใจที่ดีต่ออุณภูมิความร้อน

ยาของข้าเลยกลายเป็นขี้เถ้า...”

ในเวลานี้

เซี่ยงหวู่จี้ก็เดินไปที่มุมห้องแล้วนั่งลงบนโต๊ะเพื่อมองจี้เทียนซิงและกล่าวว่า

“ไอ้หนู กะอีแค่เม็ดยาสะสมวิญญาณ

ถ้าวันนี้เจ้าปรุงมันไม่สำเร็จก็ไม่ต้องออกไปจากตำหนักไท่อัน !”

“เงี่ยหูฟังให้ดี ! การหลอมเม็ดยาสะสมวิญญาณใช้เวลาครึ่งชั่วโมง มีสี่ขั้นตอนในการควบคุมไฟ เมื่อเจ้าใส่สมุนไพรซวนหมิงจี่เข้าไปในเตาปรุงยา

ให้ควบคุมไฟก่อนหนึ่งรอบ

จากนั้นเมื่อใส่สมุนไพรอ้ายซ่งจี่เข้าไปแล้วก็ควบคุมไฟให้ดีอีกครั้ง.....”

คำพูดคำจาของเซี่ยงหวู่จี้ดูห้วนๆไม่มีหางเสียงและฟังดูหยาบกระด้าง

อีกทั้งยังเต็มไปด้วยอาการเย้ยหยัน  แต่อย่างไรก็ตามจี้เทียนซิงคุ้นเคยกับนิสัยของตาแก่ผู้นี้ดีและรู้สึกขอบคุณที่เขายอมเสียเวลามานั่งอธิบายการปรุงยาให้

ดังนั้นจี้เทียนซิงจึงฟังคำแนะนำอย่างตั้งอกตั้งใจ

เมื่อฟังเข้าใจแล้วชายหนุ่มก็เริ่มทำความสะอาดเตาปรุงยาและเริ่มการปรุงยาใหม่อีกครั้ง

คราวนี้เขาระมัดระวังเป็นพิเศษ

จดจำทุกขั้นตอนของการปรุงยาและทำตามคำแนะนำของเซี่ยงหวู่จี้เพื่อควบคุมไฟในเตาปรุงยาให้ดีในช่วงเวลาสำคัญ

ครึ่งชั่วโมงผ่านไปโดยไม่รู้ตัว

เม็ดยาสะสมวิญญาณก็สมควรเสร็จสิ้น

จี้เทียนซิงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นอึดอัด

เขาเอื้อมมือออกไปอย่างช้าๆและเปิดฝาครอบเตาออกมา

กลิ่นหอมของโอสถโชยออกมาทำให้ผู้คนรู้สึกสดชื่น

จี้เทียนซิงก้มลงไปมองในเตาปรุงยาก็ได้เห็นเม็ดยาสีเขียวอ่อนวางอยู่ในนั้น

"สำเร็จ ! ในที่สุดข้าก็ทำมันได้แล้ว

!”

จี้เทียนซิงยิ้มกว้างและตะโกนออกมา

เซี่ยงหวู่จี้ที่กำลังดื่มชาอยู่

เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มขึ้น แต่ปากยังกล่าวเสียดสีว่า

“มีปรมาจารย์อย่างข้าเป็นผู้ชี้แนะ

แค่ยาระดับต่ำเช่นนี้หากยังหลอมไม่สำเร็จก็ไปตายแล้วเกิดใหม่เสียเถิด !”

กล่าวจบเขาก็เหยียดมือไปที่เตาปรุงยาทองเหลืองและคว้าพวกมันจากระยะไกลมาถึงตรงหน้าเขา

หลังจากเพ่งมองอยู่ชั่วครู่ก็กล่าวว่า

“อืม.. พอใช้ได้ มีเครื่องหมายอยู่สามรอย

แทบจะไม่มีคุณภาพแล้ว”

จี้เทียนซิงตกตะลึงและถามด้วยความสับสน

“ผู้อาวุโส, เครื่องหมายสามรอยที่ท่านหมายถึงคืออะไรหรือ ?”

เซี่ยงหวู่จี้เหลือบมองอีกฝ่ายและกล่าวเหมือนพูดกับตัวเองว่า

“รอยที่เม็ดยา จะเป็นรอยโปร่งใส

มีเพียงเฉพาะเม็ดยาที่มีความเข้มข้นของตัวยาสูงเท่านั้นจึงจะปรากฏขึ้น ยิ่งมีรอยมาก

คุณภาพก็ยิ่งสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว”

จี้เทียนซิงตระหนักขึ้นในทันทีและผงกศีรษะกล่าวว่า

“ศิษย์เข้าใจหลักการนี้แล้ว เป็นเช่นเดียวกับการหลอมสร้างอาวุธ  กระบี่ที่มีคุณภาพสูง ด้านคมจะปรากฏเป็นเกลียวคลื่น แต่หากราบเรียบและไม่มีลวดลายใดๆก็นับว่าเป็นอาวุธระดับธรรมดา”

เซี่ยงหวู่จี้พยักหน้าและกล่าวว่า

“ไม่เลวๆ ไอ้หนูอย่างเจ้าก็ถือว่าไม่ได้โง่นัก”

จี้เทียนซิงยิ้มและไม่ได้โต้เถียงอะไร

เขาคิดในใจอย่างลับๆว่า “แสดงว่าการประเมินของครูฝึกฮั่นนั้น จุดสำคัญอยู่ที่รอยเครื่องหมายที่เม็ดยาสินะ...”

“โดยทั่วไปทุกคนสามารถปรับแต่งยาเม็ดทั้งสามชนิดได้อยู่แล้ว

แต่จะมีความแตกต่างกันในระดับสูงหรือต่ำก็ขึ้นอยู่กับจำนวนของรอยเครื่องหมายที่เม็ดยา..”

จากนั้นจี้เทียนซิงก็พยายามปรุงยาสะสมวิญญาณอีกครั้ง

เขาเน้นย้ำในกระบวนการและใส่ใจในการคุมไฟมากขึ้น

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง

เม็ดยาสะสมวิญญาณก็ถูกทำให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นจนปรากฎรอยสี่รอย

เซี่ยงหวู่จี้โบกมือออกมาและคว้าเม็ดยานั้นไว้ในฝ่ามือเพื่อตรวจสอบดู

จากนั้นก็กล่าวว่า “ไม่เลวๆ

ไอ้หนู เจ้านับว่ามีพรสวรรค์ในการปรุงยาไม่น้อย

ไม่ต้องกลับไปหอยุทธ์ฟงอวิ๋นแล้ว มาอยู่กับข้าที่นี่เป็นลูกมือห้องปรุงย

... ”

จี้เทียนซิงแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินและเริ่มกระบวนการปรุงเม็ดยาหยกฟ้าเป็นอันดับต่อไป

จากประสบการณ์การปรุงยาก่อนหน้านี้

การปรับแต่งเม็ดยาหยกฟ้าจึงสำเร็จอย่างไม่ยากเย็น เพียงแค่ไม่มีรอยที่เม็ดยาเท่านั้น

เซี่ยงหวู่จี้คอยชี้แนะอยู่ข้างๆอีกเล็กน้อยในการปรุงยาหยกฟ้าครั้งที่สอง

และในที่สุดจี้เทียนซิงก็ทำให้มันปรากฎรอยได้สามรอย

เวลาล่วงเลยผ่านไป

พระอาทิตย์นอกหน้าต่างก็เริ่มตกดิน

โดยปกติแล้วเวลานี้จี้เทียนซิงควรจะออกจากตำหนักไท่อันกลับไปยังหอยุทธ์ฟงอวิ๋น

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเซี่ยงหวู่จี้ไม่ได้ไล่

เขาก็ยังไม่คิดจะกลับไปและยังคงฝึกปรุงยาบำรุงใจเป็นอันดับต่อไป

แต่ในระหว่างที่เขาปรุงยาบำรุงใจครั้งแรกกลับประสบปัญหาบางอย่าง

เขาล้มเหลวจนยากลายเป็นขี้เถ้าสีดำ  เขาก้มหน้าด้วยความเขินอายและเซี่ยงหวู่จี้ก็จ้องเขม็งด้วยสีหน้าบูดบึ้ง

อย่างไรก็ตาม

เซี่ยงหวู่จี้ชี้แนะให้เขาได้เห็นข้อผิดพลาดและเริ่มปรุงยาใหม่เป็นครั้งที่สองจนประสบความสำเร็จด้วยเครื่องหมายสองรอยที่เม็ดยาในที่สุด

จี้เทียนซิงไม่พอใจจึงเริ่มทำการปรุงยาใหม่อีกครั้ง

จนกระทั่งครั้งที่สามในการปรุงยาบำรุงใจ เขาก็ประสบความสำเร็จด้วยรอยสี่รอย

เข้าสู่ยามราตรี

เป็นเวลาที่ดึกมากแล้ว

จี้เทียนซิงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจและคิดจะฝึกฝนต่ออีกสักหลายเตาเพื่อให้แน่ใจว่าการประเมินในวันพรุ่งนี้จะผ่านไปได้ด้วยดี

อย่างไรก็ตาม

เซี่ยงหวู่จี้กลับทำให้เขางงงวยด้วยการขับไล่เขาออกจากห้องปรุงยาแบบอ้อมๆ...

“เจ้าเด็กเหลือขอ สนุกนักใช่มั้ย? เจ้าเห็นว่าห้องปรุงยาของข้าเป็นสนามเด็กเล่นบ้านเจ้าหรือไง ?”

“เจ้าทำให้ข้าต้องเสียสมุนไพรไปมากมาย

ข้ารู้สึกว่าควรจะต้องลงโทษเจ้าเพิ่มอีกหนึ่งเดือนเสียแล้ว !”

โดยไม่ต้องรอให้เซี่ยงหวู่จี้กล่าวจบ

จี้เทียนซิงก็วิ่งปรู๊ดออกจากห้องปรุงยาและตำหนักไท่อันดั่งสายฟ้าแลบ

เมื่อเขากลับมาถึงหอยุทธ์ฟงอวิ๋นก็พบว่ามันดึกมากแล้ว

......

เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น

ห้องโถงหลักของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นก็ดังกังวาลไปด้วยเสียงระฆัง

จี้เทียนซิงเดินออกจากห้องลับ

ทันทีที่ได้ยินเสียงนี้เขาก็รีบไปรวมตัวที่ห้องโถงใหญ่อย่างรวดเร็ว

เมื่อเขามาถึงก็พบว่าฮั่นเฉียวเฉิงและตู้หวู่ไม่ได้อยู่ในห้อง

มีเพียงศิษย์หลายคนที่มารอกันหมดแล้ว

พวกเขาไม่ได้พบหน้าจี้เทียนซิงมาสิบกว่าวันและได้ทราบข่าวเกี่ยวกับการต่อสู้และการลงโทษของพวกเขาทั้งสองแล้ว  ถึงแม้ว่าความจริงจะปรากฏขึ้นเมื่อวานนี้ จี้หลิงถูกขับไล่ออกจากนิกาย ส่วนจี้เทียนซิงเป็นผู้บริสุทธิ์

แต่ก็ยังมีศิษย์อีกหลายคนที่ยังมองจี้เทียนซิงด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยามอยู่เช่นเคย

โดยเฉพาะซื่อจิงเฉิงและอี้โม่ที่ยังคงไม่พอใจต่อจี้เทียนซิง

พวกเขายิ่งพูดจาเสียดสีมากขึ้น

“เหอเหอ

จี้เทียนซิงถูกขังอยู่ในถ้ำวายุทมิฬอยู่หลายวัน ข้าว่าสมองมันไม่ปกติแล้วว่ามั้ย ?”

“ข้าอยากจะเตือนสหายร่วมนิกายทั้งหลายให้อยู่ห่างๆเจ้าพวกที่มาจากรัฐนภากระจ่าง

ประเทศเล็กๆคนเลวๆควรจะอยู่ให้ห่างไว้”

“พวกมันจากบ้านเกิดมาเข้านิกาย

แทนที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน แต่พวกมันกลับทะเลาะกันเองแถมยังใส่ร้ายป้ายสี

หักหลังกันเองอีก พวกเราควรระวังให้มาก”

อี้โม่กล่าวกับศิษย์คนอื่นๆพลางเหลือบตามองจี้เทียนซิง

แววตาของเขาเต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยาม

ซื่อจิงเฉิงพยักหน้าเห็นด้วยและกล่าวดูแคลนว่า

“ถูกต้อง โดยเฉพาะจี้หลิง

แม้กระทั่งหลานสาวตัวเองยังกล้าหักใจฆ่าได้ลงคอ

คนของรัฐนภากระจ่างไม่ทราบว่าโหดเหี้ยมอำมหิตเหมือนกันหมดหรือไม่ ?”

“โชคดีที่มันถูกไล่ออกจากนิกายไปแล้ว

มิฉะนั้นพวกเราคงต้องหวาดกลัวอยู่ทุกวี่วันเป็นแน่”

“คนโบราณเล่าว่าชาวป่าชาวเขาที่ไร้อารยธรรมมักจะเป็นคนเลว

ตอนแรกข้าไม่คิดว่าเป็นเรื่องจริง จนกระทั่งมาเห็นการกระทำของคนในรัฐนภากระจ่าง

พวกเขาชั่วร้าย เจ้าเล่ห์อย่างน่าขยะแขยงนัก !”