แปดนิกายรวมตัว
หญิงชราและหญิงสาวทั้งสองอยู่ที่มุมเวทีแห่งดวงดารา
ดวงตาของพวกนางจับจ้องมองไปที่หมู่เมฆและหน้าผาสูงชันที่เบื้องหน้า
หญิงชราผู้นี้มีผมหงอกขาว
นางสวมเสื้อคลุมสีม่วง ในมือกุมไม้เท้าสีนิลเอาไว้ ถึงแม้ว่าร่างกายของนางจะดูงุ่มง่ามเชื่องช้า
แต่นางกลับมีพลังวิญญาณที่น่าตกตะลึง
อีกทั้งร่างกายของนางก็ห้อมล้อมไว้ด้วยกลิ่นไออันเย่อหยิ่งที่มองไม่เห็น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหญิงชราผมขาวผู้นี้ต้องเป็นยอดฝีมือท่านหนึ่งจากทั้งแปดนิกาย
ส่วนผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆนางนั้นเป็นหญิงสาวในวัยยี่สิบต้นๆ ขนคิ้วของนางนั้นโก่งงอน ใบหน้างดงามหมดจด
อีกทั้งยังมีลักษณะอ่อนโยนและสำรวมอย่างสง่างาม
นางรูปร่างสูงโปร่งและสวมใส่อาภรณ์ในชุดขาวจนดูราวกับสตรีในภาพวาด
ถึงแม้ว่าลักษณะ
กลิ่นอายและความงามของสตรีชุดขาวผู้นี้จะยังเป็นรองหยุนเหยาเล็กน้อย
แต่นางก็นับได้ว่าเป็นสาวงามที่หาได้ยากยิ่ง
เมื่อจี้เทียนซิงมองผู้หญิงทั้งสองคนนั้น
หยุนเหยาก็ส่งส่งผ่านสัมผัสญาณ “หญิงชราผู้นั้นคือประมุขนิกายฤทัยจันทรา, สุ่ยเยวี่ย ส่วนอีกคนคือหัวหน้าศิษย์, เฟิงหมิน”
“นิกายฤทัยจันทรากับนิกายพันธมิตรสวรรค์เรามีสัมพันธ์อันดีต่อกัน
ศิษย์น้องเทียนซิง พวกเราควรไปคารวะนาง”
กล่าวจบหยุนเหยาก็เดินนำพาจี้เทียนซิงไปทางสุ่ยเยวี่ยและกล่าวคารวะด้วยความเคารพ
“ศิษย์นิกายพันธมิตร์สวรรค์หยุนเหยาคารวะประมุขสุ่ยเยวี่ย”
จี้เทียนซิงก็กำหมัดโค้งคารวะสุ่ยเยวี่ยเช่นกัน
สุ่ยเยวี่ยและเฟิงหมินหันมามองหยุนเหยาและแสดงรอยยิ้มที่อ่อนโยนออกมา
เฟิงหมินก็คารวะหยุนเหยากลับด้วยความเคารพอีกทั้งยังเรียกนางว่าศิษย์พี่หยุนเหยา
สุ่ยเยวี่ยพยักหน้าเล็กน้อยพลางมองหน้าหยุนเหยาอย่างใจดีและถามว่า
“หยุนเหยา ที่อยู่ข้างเจ้าคือ ?”
หยุนเหยาอธิบายอย่างรวดเร็ว
“เรียนท่านประมุขสุ่ย เขาคือศิษย์น้องของข้าจี้เทียนซิง
เป็นศิษย์สายตรงคนใหม่ของท่านอาจารย์”
“โอ้....
ที่แท้ก็คือเขานี่เอง” สุ่ยเยวี่ยพยักหน้าและมองจี้เทียนซิงด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“เป็นชายหนุ่มที่น่าดูนัก
เจ้าจะมีอนาคตอันไร้ขีดจำกัด”
จี้เทียนซิงสัมผัสได้ถึงเจตนาอันดีจากสุ่ยเยวี่ย
เขายิ้มและคารวะด้วยความนอบน้อม “ประมุขสุ่ยกล่าวเกินไปแล้วขอรับ....
”
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายทักทายกันอยู่สองสามประโยค
สุ่ยเยวี่ยก็ถามหยุนเหยาว่า “หยุนเหยา
ไฉนถึงมีแต่เจ้ากับเทียนซิงเท่านั้นที่มา ? ฉู่เทียนเซิงยังมาไม่ถึงหรือ
?”
หยุนเหยากล่าวอย่างสงบว่า
“เรียนท่านประมุขสุ่ย ท่านอาจารย์มีกิจธุระที่ยังสะสางไม่เสร็จจึงไม่อาจมาเข้าร่วมได้
ดังนั้นท่านจึงมอบหมายให้ข้ากับศิษย์น้องเทียนซิงมาเข้าร่วมการประชุมในฐานะตัวแทนของท่าน”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” สุ่ยเยวี่ยพยักหน้าเข้าใจ แต่ดวงตาของนางหรี่ลงเล็กน้อยและเปล่งประกายแปลกๆราวกับว่ากำลังขบคิดอะไรบางอย่าง
นางเผยรอยยิ้มและหันไปพูดกับเฟิงหมินว่า
“เฟิงหมิน
เจ้ากับหยุนเหยาและเทียนซิงล้วนแต่เป็นคนหนุ่มสาวในรุ่นราวคราวเดียวกัน
พวกเจ้าควรพูดคุยชี้แนะกันให้มากๆเข้าไว้”
กล่าวจบนางก็หันหลังกุมไม้เท้านิลเดินไปที่อีกมุมของเวทีแห่งดวงดารา
และส่งเสียงพึมพัมอย่างเงียบๆ
เฟิงหมินพยักหน้ารับคำและผายมือเชื้อเชิญหยุนเหยากับจี้เทียนซิงมาร่วมสนทนากัน
ทั้งสามยืนอยู่บนขอบหน้าผา
ดวงตาจ้องมองไปที่ก้อนเมฆและหน้าผาเบื้องล่างพลางสนทนากันอย่างสงบ
พวกเขาพูดคุยถามไถ่ซึ่งกันและกันเกี่ยวกับสถานการณ์ทั่วไปตลอดจนเรื่องราวที่น่าสนใจภายในนิกายของแต่ละฝ่าย
ทว่าหยุนเหยาเป็นสตรีที่มีอารมณ์เย็นชาดุจน้ำแข็งและไม่ค่อยพูดจามากนัก
นางไม่เก่งทางด้านการเจรจาสนทนากับผู้อื่น
ส่วนจี้เทียนซิงก็เพิ่งเข้านิกายได้ไม่นานจึงไม่รู้เรื่องราวต่างๆสักเท่าไหร่
อีกทั้งเขาก็ยังเด็กมาก ดังนั้นส่วนใหญ่แล้วการสนทนาจึงเริ่มจากทางฝั่งเฟิงหมินเสียมากกว่า นางเป็นฝ่ายเปิดหัวข้อสนทนาและหาเรื่องคุย
นางเป็นสตรีที่สง่างามและอ่อนโยน
กิริยามารยาทเรียบร้อยและพูดจาดี อีกทั้งทัศนคติของนางที่มีต่อทั้งสองนั้นก็นับว่าสุภาพเรียบร้อยมาก
ซึ่งสร้างความประทับใจให้กับจี้เทียนซิงไม่น้อย
หลังจากนั้นไม่นานก็มีนกตัวใหญ่ที่บินมาจากระยะไกลและลงจอดบนเวทีแห่งดวงดารา
มีบุรุษสองคนกระโดดลงมาจากกลางหลังของมัน
คนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีม่วงและมีร่างกายแข็งแกร่งกำยำและดูสง่างาม ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นชายหนุ่มที่วางสีหน้าหยิ่งยะโสและดูก้าวร้าวมาก เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนนี้เป็นอัจฉริยะชั้นยอดของคนรุ่นใหม่
หยุนเหยาส่งเสียงลับๆเพื่อแนะนำตัวตนของชายทั้งสองให้แก่จี้เทียนซิง
“นั่นคือเฉียวซวนหัวหน้าศิษย์ของนิกายพันใบไม้ร่วงและประมุขของมัน นิกายนี้อยู่ห่างไกลจากนิกายของเราและความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายนั้นก็ไม่ค่อยจะดีนัก”
เมื่อได้ยินคำอธิบายของนาง
จี้เทียนซิงก็พยักหน้าเข้าใจ
ในเวลานี้เอง
เฉียวซวนก็เดินเข้ามาหาด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นและกล่าวทักทายหยุนเหยากับเฟิงหมิน
“เฉียวซวนคารวะศิษย์พี่หยุนเหยาและศิษย์น้องเฟิงหมิน”
“ไม่พบหน้าเพียงสองปี ศิษย์พี่หยุนเหยากับศิษย์น้องเฟิงหมินกลับยิ่งงดงามมากขึ้นเป็นหมื่นเท่าพันเท่า
แม้กระทั่งนางฟ้านางสวรรค์ที่ว่างดงามก็ยังมิอาจนำมาเปรียบกับพวกท่านได้เลย”
เฉียวซวนกล่าววาจาเกี้ยวพาราสีหยุนเหยากับเฟิงหมินโดยไม่แยแสสนใจจี้เทียนซิงที่อยู่ข้างๆพวกนางแม้แต่น้อย
แต่น่าเสียดายที่วาจาหวานหูของเขานั้นไม่สามารถเรียกรอยยิ้มจากสาวงามทั้งสองได้
พวกนางมีสีหน้าสงบราบเรียบและหยุดสนทนากันทันที เฉียวซวนคงยังลื่นดุจปลาไหลและแก้สถานการณ์เก่ง
เขาจงใจเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยและมองไปที่จี้เทียนซิงด้วยสีหน้าสงสัย “เอ... ศิษย์น้องผู้นี้ดูเยาว์วัยนักเชียว
ข้าขอเรียนถามชื่อเสียงเรียงนามเจ้าได้หรือไม่ ?”
จี้เทียนซิงมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และกล่าวว่า
“ข้าน้อยจี้เทียนซิง ศิษย์สายตรงของประมุขนิกายพันธมิตรสวรรค์”
“อ้อ ? เหะๆ.... ศิษย์น้องเทียนซิงสินะ ข้าคือหัวหน้าศิษย์ของนิกายพันใบไม้ร่วง เรียกข้าว่าพี่เฉียวก็พอ”
เฉียวซวนตอบกลับด้วยหนึ่งประโยคแต่ดวงตาของเขากลับจับจ้องไปที่หยุนเหยาและเฟิงหมินไม่วางตา
“ศิษย์พี่หยุนเหยา ไม่เจอกันสองปี
ที่ผ่านมามิทราบว่าท่านสบายดีหรือไม่ ?”
ทุกคนสามารถรู้สึกได้ชัดเจนว่าเฉียวซวนผู้นี้มีความรู้สึกพิเศษต่อหยุนเหยา
เขาอยากใกล้ชิดสนิทสนมกับนางอย่างออกนอกหน้าเกินไป
ทั้งเฟิงหมินและจี้เทียนซิงต่างก็ขมวดคิ้ว
ทั้งสองรู้สึกว่าเฉียวซวนผู้นี้ทำตัวระรานน่ารำคาญจนเกินไป
หยุนเหยาสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
ดวงตาคู่งามจ้องมองเฉียวซวนอย่างไร้อารมณ์พลางถามว่า “ข้าสุขสบายดี แล้วเจ้าล่ะศิษย์น้องเฉียว ? บาดแผลกระบี่นั้นดีหรือไม่ดีเล่า ?”
ทันทีที่ประโยคนี้กระทบโสต
เฉียวซวนก็สีหน้าเปลี่ยนไปด้วยความอับอาย เขาไม่รู้จะตอบกลับนางอย่างไร
เมื่อสองปีก่อนในการประลองรายชื่อดวงดารา
บนเวทีแห่งนี้ก็คือครั้งแรกที่เขาได้พบหยุนเหยา
เขาหลงใหลนางในทันทีและเต็มไปด้วยความคิดอยากครอบครอง
แต่หยุนเหยาไม่แยแสเหลือบแลเขาแม้แต่น้อย
นางลงมือเพียงสามกระบวนท่าในการประลองครั้งนั้นและแทงอีกฝ่ายด้วยกระบี่จนคว้าชัยชนะไปได้อย่างง่ายดาย
แน่นอนว่าในการประลองของยอดฝีมือ
ดาบกระบี่ไร้นัยน์ตาและการบาดเจ็บล้วนเป็นเรื่องปกติ แต่หยุนเหยาจงใจพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นก็เพื่อต้องการฉีกหน้าเฉียวซวนในที่สาธารณะ
และมันทำให้อีกฝ่ายไปไม่เป็นจนรีบร้อนเดินหนีไปโดยไม่ร่ำลา...
หลังจากนั้นไม่นานพระอาทิตย์ก็ตกดิน
รัตติกาลกำลังจะมาถึง
ต่อมาไม่นานเหล่าสัตว์วิญญาณที่มีเหล่าประมุขและหัวหน้าศิษย์โดยสารมาก็เริ่มทยอยกันมาถึงเวทีแห่งดวงดารา
เมื่อใดก็ตามที่มีคนมาถึงเวที
หยุนเหยาก็จะลอบส่งเสียงลับๆให้แก่จี้เทียนซิงเพื่อแนะนำตัวตนของคนเหล่านั้นให้เขาได้รับรู้
นอกจากนิกายฤทัยจันทราแล้วก็ยังมีสำนักหลิวเหอที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อนิกายพันธมิตรสวรรค์
ทันทีที่จ้าวสำนักและหัวหน้าศิษย์ของสำนักหลิวเหอมาถึง
หยุนเหยาก็พาจี้เทียนซิงเข้าไปคารวะทักทาย
สำหรับนิกายอื่นๆที่เหลือ
พวกเขาทั้งสองไม่สนใจแม้แต่น้อย
เมื่อท้องฟ้ามืดมิดจนปรากฏดารากระจ่างไปทั่วท้องนภา
ประมุขและจ้าวสำนักของนิกายทั้งแปดก็มาถึงกันครบถ้วน
ทั้งแปดสำนักนิกายมีดังนี้
นิกายพันธมิตรสวรรค์ นิกายกระบี่ฟ้า นิกายฤทัยจันทรา
นิกายพันใบไม้ร่วงและสำนักหลิวเหอ
เวทีดวงดาราแห่งนี้ได้รวมคนทั้ง
16 คนไว้ด้วยกัน เมื่อทุกคนกวาดสายตาไปรอบๆจนทราบว่าต่างก็มากันพร้อมแล้ว
พวกเขาจึงเดินเข้ามารวมตัวกันที่กลางเวที
การประชุมสภาแปดนิกายกำลังจะเริ่มขึ้น
*หายไปไหนสามนิกายหว่า....*
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved