ตอนที่ 249

แปดนิกายรวมตัว

หญิงชราและหญิงสาวทั้งสองอยู่ที่มุมเวทีแห่งดวงดารา

ดวงตาของพวกนางจับจ้องมองไปที่หมู่เมฆและหน้าผาสูงชันที่เบื้องหน้า

หญิงชราผู้นี้มีผมหงอกขาว

นางสวมเสื้อคลุมสีม่วง ในมือกุมไม้เท้าสีนิลเอาไว้ ถึงแม้ว่าร่างกายของนางจะดูงุ่มง่ามเชื่องช้า

แต่นางกลับมีพลังวิญญาณที่น่าตกตะลึง

อีกทั้งร่างกายของนางก็ห้อมล้อมไว้ด้วยกลิ่นไออันเย่อหยิ่งที่มองไม่เห็น

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหญิงชราผมขาวผู้นี้ต้องเป็นยอดฝีมือท่านหนึ่งจากทั้งแปดนิกาย

ส่วนผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆนางนั้นเป็นหญิงสาวในวัยยี่สิบต้นๆ ขนคิ้วของนางนั้นโก่งงอน ใบหน้างดงามหมดจด

อีกทั้งยังมีลักษณะอ่อนโยนและสำรวมอย่างสง่างาม

นางรูปร่างสูงโปร่งและสวมใส่อาภรณ์ในชุดขาวจนดูราวกับสตรีในภาพวาด

ถึงแม้ว่าลักษณะ

กลิ่นอายและความงามของสตรีชุดขาวผู้นี้จะยังเป็นรองหยุนเหยาเล็กน้อย

แต่นางก็นับได้ว่าเป็นสาวงามที่หาได้ยากยิ่ง

เมื่อจี้เทียนซิงมองผู้หญิงทั้งสองคนนั้น

หยุนเหยาก็ส่งส่งผ่านสัมผัสญาณ “หญิงชราผู้นั้นคือประมุขนิกายฤทัยจันทรา, สุ่ยเยวี่ย ส่วนอีกคนคือหัวหน้าศิษย์, เฟิงหมิน”

“นิกายฤทัยจันทรากับนิกายพันธมิตรสวรรค์เรามีสัมพันธ์อันดีต่อกัน

ศิษย์น้องเทียนซิง พวกเราควรไปคารวะนาง”

กล่าวจบหยุนเหยาก็เดินนำพาจี้เทียนซิงไปทางสุ่ยเยวี่ยและกล่าวคารวะด้วยความเคารพ

“ศิษย์นิกายพันธมิตร์สวรรค์หยุนเหยาคารวะประมุขสุ่ยเยวี่ย”

จี้เทียนซิงก็กำหมัดโค้งคารวะสุ่ยเยวี่ยเช่นกัน

สุ่ยเยวี่ยและเฟิงหมินหันมามองหยุนเหยาและแสดงรอยยิ้มที่อ่อนโยนออกมา

เฟิงหมินก็คารวะหยุนเหยากลับด้วยความเคารพอีกทั้งยังเรียกนางว่าศิษย์พี่หยุนเหยา

สุ่ยเยวี่ยพยักหน้าเล็กน้อยพลางมองหน้าหยุนเหยาอย่างใจดีและถามว่า

“หยุนเหยา ที่อยู่ข้างเจ้าคือ ?”

หยุนเหยาอธิบายอย่างรวดเร็ว

“เรียนท่านประมุขสุ่ย เขาคือศิษย์น้องของข้าจี้เทียนซิง

เป็นศิษย์สายตรงคนใหม่ของท่านอาจารย์”

“โอ้....

ที่แท้ก็คือเขานี่เอง” สุ่ยเยวี่ยพยักหน้าและมองจี้เทียนซิงด้วยรอยยิ้มอบอุ่น

“เป็นชายหนุ่มที่น่าดูนัก

เจ้าจะมีอนาคตอันไร้ขีดจำกัด”

จี้เทียนซิงสัมผัสได้ถึงเจตนาอันดีจากสุ่ยเยวี่ย

เขายิ้มและคารวะด้วยความนอบน้อม “ประมุขสุ่ยกล่าวเกินไปแล้วขอรับ....

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายทักทายกันอยู่สองสามประโยค

สุ่ยเยวี่ยก็ถามหยุนเหยาว่า “หยุนเหยา

ไฉนถึงมีแต่เจ้ากับเทียนซิงเท่านั้นที่มา ? ฉู่เทียนเซิงยังมาไม่ถึงหรือ

?”

หยุนเหยากล่าวอย่างสงบว่า

“เรียนท่านประมุขสุ่ย ท่านอาจารย์มีกิจธุระที่ยังสะสางไม่เสร็จจึงไม่อาจมาเข้าร่วมได้

ดังนั้นท่านจึงมอบหมายให้ข้ากับศิษย์น้องเทียนซิงมาเข้าร่วมการประชุมในฐานะตัวแทนของท่าน”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” สุ่ยเยวี่ยพยักหน้าเข้าใจ แต่ดวงตาของนางหรี่ลงเล็กน้อยและเปล่งประกายแปลกๆราวกับว่ากำลังขบคิดอะไรบางอย่าง

นางเผยรอยยิ้มและหันไปพูดกับเฟิงหมินว่า

“เฟิงหมิน

เจ้ากับหยุนเหยาและเทียนซิงล้วนแต่เป็นคนหนุ่มสาวในรุ่นราวคราวเดียวกัน

พวกเจ้าควรพูดคุยชี้แนะกันให้มากๆเข้าไว้”

กล่าวจบนางก็หันหลังกุมไม้เท้านิลเดินไปที่อีกมุมของเวทีแห่งดวงดารา

และส่งเสียงพึมพัมอย่างเงียบๆ

เฟิงหมินพยักหน้ารับคำและผายมือเชื้อเชิญหยุนเหยากับจี้เทียนซิงมาร่วมสนทนากัน

ทั้งสามยืนอยู่บนขอบหน้าผา

ดวงตาจ้องมองไปที่ก้อนเมฆและหน้าผาเบื้องล่างพลางสนทนากันอย่างสงบ

พวกเขาพูดคุยถามไถ่ซึ่งกันและกันเกี่ยวกับสถานการณ์ทั่วไปตลอดจนเรื่องราวที่น่าสนใจภายในนิกายของแต่ละฝ่าย

ทว่าหยุนเหยาเป็นสตรีที่มีอารมณ์เย็นชาดุจน้ำแข็งและไม่ค่อยพูดจามากนัก

นางไม่เก่งทางด้านการเจรจาสนทนากับผู้อื่น

ส่วนจี้เทียนซิงก็เพิ่งเข้านิกายได้ไม่นานจึงไม่รู้เรื่องราวต่างๆสักเท่าไหร่

อีกทั้งเขาก็ยังเด็กมาก ดังนั้นส่วนใหญ่แล้วการสนทนาจึงเริ่มจากทางฝั่งเฟิงหมินเสียมากกว่า นางเป็นฝ่ายเปิดหัวข้อสนทนาและหาเรื่องคุย

นางเป็นสตรีที่สง่างามและอ่อนโยน

กิริยามารยาทเรียบร้อยและพูดจาดี อีกทั้งทัศนคติของนางที่มีต่อทั้งสองนั้นก็นับว่าสุภาพเรียบร้อยมาก

ซึ่งสร้างความประทับใจให้กับจี้เทียนซิงไม่น้อย

หลังจากนั้นไม่นานก็มีนกตัวใหญ่ที่บินมาจากระยะไกลและลงจอดบนเวทีแห่งดวงดารา

มีบุรุษสองคนกระโดดลงมาจากกลางหลังของมัน

คนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีม่วงและมีร่างกายแข็งแกร่งกำยำและดูสง่างาม ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นชายหนุ่มที่วางสีหน้าหยิ่งยะโสและดูก้าวร้าวมาก เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนนี้เป็นอัจฉริยะชั้นยอดของคนรุ่นใหม่

หยุนเหยาส่งเสียงลับๆเพื่อแนะนำตัวตนของชายทั้งสองให้แก่จี้เทียนซิง

“นั่นคือเฉียวซวนหัวหน้าศิษย์ของนิกายพันใบไม้ร่วงและประมุขของมัน นิกายนี้อยู่ห่างไกลจากนิกายของเราและความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายนั้นก็ไม่ค่อยจะดีนัก”

เมื่อได้ยินคำอธิบายของนาง

จี้เทียนซิงก็พยักหน้าเข้าใจ

ในเวลานี้เอง

เฉียวซวนก็เดินเข้ามาหาด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นและกล่าวทักทายหยุนเหยากับเฟิงหมิน

“เฉียวซวนคารวะศิษย์พี่หยุนเหยาและศิษย์น้องเฟิงหมิน”

“ไม่พบหน้าเพียงสองปี ศิษย์พี่หยุนเหยากับศิษย์น้องเฟิงหมินกลับยิ่งงดงามมากขึ้นเป็นหมื่นเท่าพันเท่า

แม้กระทั่งนางฟ้านางสวรรค์ที่ว่างดงามก็ยังมิอาจนำมาเปรียบกับพวกท่านได้เลย”

เฉียวซวนกล่าววาจาเกี้ยวพาราสีหยุนเหยากับเฟิงหมินโดยไม่แยแสสนใจจี้เทียนซิงที่อยู่ข้างๆพวกนางแม้แต่น้อย

แต่น่าเสียดายที่วาจาหวานหูของเขานั้นไม่สามารถเรียกรอยยิ้มจากสาวงามทั้งสองได้

พวกนางมีสีหน้าสงบราบเรียบและหยุดสนทนากันทันที เฉียวซวนคงยังลื่นดุจปลาไหลและแก้สถานการณ์เก่ง

เขาจงใจเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยและมองไปที่จี้เทียนซิงด้วยสีหน้าสงสัย “เอ... ศิษย์น้องผู้นี้ดูเยาว์วัยนักเชียว

ข้าขอเรียนถามชื่อเสียงเรียงนามเจ้าได้หรือไม่ ?”

จี้เทียนซิงมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และกล่าวว่า

“ข้าน้อยจี้เทียนซิง ศิษย์สายตรงของประมุขนิกายพันธมิตรสวรรค์”

“อ้อ ?  เหะๆ.... ศิษย์น้องเทียนซิงสินะ  ข้าคือหัวหน้าศิษย์ของนิกายพันใบไม้ร่วง  เรียกข้าว่าพี่เฉียวก็พอ”

เฉียวซวนตอบกลับด้วยหนึ่งประโยคแต่ดวงตาของเขากลับจับจ้องไปที่หยุนเหยาและเฟิงหมินไม่วางตา

“ศิษย์พี่หยุนเหยา ไม่เจอกันสองปี

ที่ผ่านมามิทราบว่าท่านสบายดีหรือไม่ ?”

ทุกคนสามารถรู้สึกได้ชัดเจนว่าเฉียวซวนผู้นี้มีความรู้สึกพิเศษต่อหยุนเหยา

เขาอยากใกล้ชิดสนิทสนมกับนางอย่างออกนอกหน้าเกินไป

ทั้งเฟิงหมินและจี้เทียนซิงต่างก็ขมวดคิ้ว

ทั้งสองรู้สึกว่าเฉียวซวนผู้นี้ทำตัวระรานน่ารำคาญจนเกินไป

หยุนเหยาสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง

ดวงตาคู่งามจ้องมองเฉียวซวนอย่างไร้อารมณ์พลางถามว่า “ข้าสุขสบายดี แล้วเจ้าล่ะศิษย์น้องเฉียว ? บาดแผลกระบี่นั้นดีหรือไม่ดีเล่า ?”

ทันทีที่ประโยคนี้กระทบโสต

เฉียวซวนก็สีหน้าเปลี่ยนไปด้วยความอับอาย เขาไม่รู้จะตอบกลับนางอย่างไร

เมื่อสองปีก่อนในการประลองรายชื่อดวงดารา

บนเวทีแห่งนี้ก็คือครั้งแรกที่เขาได้พบหยุนเหยา

เขาหลงใหลนางในทันทีและเต็มไปด้วยความคิดอยากครอบครอง

แต่หยุนเหยาไม่แยแสเหลือบแลเขาแม้แต่น้อย

นางลงมือเพียงสามกระบวนท่าในการประลองครั้งนั้นและแทงอีกฝ่ายด้วยกระบี่จนคว้าชัยชนะไปได้อย่างง่ายดาย

แน่นอนว่าในการประลองของยอดฝีมือ

ดาบกระบี่ไร้นัยน์ตาและการบาดเจ็บล้วนเป็นเรื่องปกติ แต่หยุนเหยาจงใจพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นก็เพื่อต้องการฉีกหน้าเฉียวซวนในที่สาธารณะ

และมันทำให้อีกฝ่ายไปไม่เป็นจนรีบร้อนเดินหนีไปโดยไม่ร่ำลา...

หลังจากนั้นไม่นานพระอาทิตย์ก็ตกดิน

รัตติกาลกำลังจะมาถึง

ต่อมาไม่นานเหล่าสัตว์วิญญาณที่มีเหล่าประมุขและหัวหน้าศิษย์โดยสารมาก็เริ่มทยอยกันมาถึงเวทีแห่งดวงดารา

เมื่อใดก็ตามที่มีคนมาถึงเวที

หยุนเหยาก็จะลอบส่งเสียงลับๆให้แก่จี้เทียนซิงเพื่อแนะนำตัวตนของคนเหล่านั้นให้เขาได้รับรู้

นอกจากนิกายฤทัยจันทราแล้วก็ยังมีสำนักหลิวเหอที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อนิกายพันธมิตรสวรรค์

ทันทีที่จ้าวสำนักและหัวหน้าศิษย์ของสำนักหลิวเหอมาถึง

หยุนเหยาก็พาจี้เทียนซิงเข้าไปคารวะทักทาย

สำหรับนิกายอื่นๆที่เหลือ

พวกเขาทั้งสองไม่สนใจแม้แต่น้อย

เมื่อท้องฟ้ามืดมิดจนปรากฏดารากระจ่างไปทั่วท้องนภา

ประมุขและจ้าวสำนักของนิกายทั้งแปดก็มาถึงกันครบถ้วน

ทั้งแปดสำนักนิกายมีดังนี้

นิกายพันธมิตรสวรรค์ นิกายกระบี่ฟ้า นิกายฤทัยจันทรา

นิกายพันใบไม้ร่วงและสำนักหลิวเหอ

เวทีดวงดาราแห่งนี้ได้รวมคนทั้ง

16 คนไว้ด้วยกัน เมื่อทุกคนกวาดสายตาไปรอบๆจนทราบว่าต่างก็มากันพร้อมแล้ว

พวกเขาจึงเดินเข้ามารวมตัวกันที่กลางเวที

การประชุมสภาแปดนิกายกำลังจะเริ่มขึ้น

*หายไปไหนสามนิกายหว่า....*