ตอนที่ 289

สัตว์อสูรบรรพกาล

ก่อนหน้านี้

อสรพิษเก้าเศียรตัวนั้นยังคงมีท่าทางดุร้ายหยิ่งผยอง

ผ่านไปไม่นานมันกลับถูกแยกร่างเป็นหมื่นๆชิ้นจากน้ำมือของอีกาดำกระดูกคลั่ง

เหลือทิ้งไว้แต่เพียงโครงกระดูกงูสีขาว

แม้แต่เลือดเนื้อเพียงหยดหย่อมเดียวก็ไม่มีให้เห็น

การลงมืออันดุร้ายเช่นนี้ทำให้เราสามารถเห็นถึงความร้ายกาจกระหายเลือดของอีกาดำกระดูกคลั่งได้เป็นอย่างดี

เมื่อโครงกระดูกของไฮดราจมหายไปในแม่น้ำ

ฝูงอีกาดำคลุมทั่วฟ้าก็ค่อยๆแยกย้ายกันกลับเข้ารังในถ้ำตามหน้าผา

.........

เวลาผ่านไป

ในไม่ช้าเฉียนเยวี่ยก็แบกจี้เทียนซิงข้ามโค้งแม่น้ำกว้างจนเงาร่างของทั้งสองหายไปจากคลองจักษุของฝูงอีกา

จากนั้นการเดินทางทุกอย่างดูราบรื่นและปลอดภัยไร้ซึ่งอันตรายใดๆ

ผ่านไปอีกสองชั่วยามทั้งสองก็มาถึงต้นกำเนิดของแม่น้ำสายนี้ได้ในที่สุด

ปรากฏยอดเขาสูงกว่า

4,000 เมตรตั้งตะหง่านอยู่ที่สุดสายแม่น้ำ

มีแสงสีทองจากพระอาทิตย์ตกดินส่องสว่าง

มีชั้นหมอกเบาบางผ่านชั้นฟ้าสะท้อนรูปลักษณ์ของยอดเขาสูงลูกนี้  ทั้งหมดทั้งมวลทำให้มันดูราวกับก้อนลำแสงสีทองจางๆขนาดใหญ่

มันดูลึกลับและน่าประทับใจยิ่ง

มีหลุมขนาดใหญ่สีดำที่เชิงเขา คลื่นน้ำจำนวนมหาศาลได้ไหลออกมาจากหลุมสีดำนี้และไปรวมที่แม่น้ำใหญ่

จี้เทียนซิงและเฉียนเยวี่ยข้ามยอดเขาและบินต่อไปเบื้องหน้า

ดวงตาของเขาจับจ้องมองไปที่ภาพอันยิ่งใหญ่ด้านหน้า

ใบหน้าของเขาแสดงความคาดหวังอย่างลึกซึ้ง

“ไปได้สวย ในที่สุดข้าก็สามารถออกจากพื้นที่ภูเขาหมื่นอีกาและกำลังจะเข้าสู่ทะเลสาบจันทร์เต็มดวงได้แล้ว”

เขาคาดเดาอย่างเงียบๆในใจ

ทะเลสาบจันทร์เต็มดวงคือสถานที่แบบไหนกันแน่

?

เขาจะหาเบาะแสของลูกปัดแห่งดวงดาราในทะเลสาบได้อย่างไร

?

ขณะที่เขาคิดอย่างลับๆ

เฉียนเยวี่ยก็พาเขามาถึงยอดเขา สถานที่ด้านหน้าเต็มไปด้วยความรกร้างวังเวง พื้นดินปรากฏเป็นสีเหลืองเข้ม กลิ่นอายโดยรอบเต็มไปด้วยความอ้างว้างโดดเดี่ยว

จี้เทียนซิงมองจากท้องฟ้าลงไปด้านล่างก็ได้เห็นป่าที่ปกคลุมไปด้วยทรายสีเหลืองเข้มกระจัดกระจายไปด้วยก้อนหินจำนวนมาก

บริเวณนี้แทบไม่มีสีเขียวหรือพืชพรรณใดๆ

แนวหิวก้อนใหญ่ถูกกลบฝังด้วยทรายสีเหลืองและบางส่วนของมันที่โผล่พ้นออกมาได้สัมผัสกับสายลมและแสงแดดอย่างรุนแรงมาเป็นเวลานานจนผุกร่อนและหยาบกร้าน

เมื่อมีลมพัดมาจากที่รกร้างว่างเปล่า

ทรายสีเหลืองก็ฟุ้งกระจายเต็มท้องฟ้า เศษหินเก่าแก่โบราณก็หลุดลอกออกจากเศษซากและกระจัดกระจายพัดปลิวไปเป็นกองฝุ่น

ไกลออกไปจากที่รกร้าง

พื้นดินแตกเป็นลำธารขนาดใหญ่เชื่อมต่อกันอย่างหนาแน่นเหมือนใยแมงมุม

บริเวณนี้

ระหว่างถิ่นทุรกันดารและทะเลทรายนั้นไม่เพียงแค่แห้งแล้ง แต่มันยังไร้ชีวิตชีวา

เพียงสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอความผันผวนของชีวิตในสมัยโบราณที่ดับสูญไปแล้ว

จี้เทียนซิงทอดสายตามองดินแดนอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต

สีหน้าของเขาดูหดหู่และขมวดคิ้วทันที

ในขณะที่เขามองไปรอบๆเขาก็ยังคงสับสนและงุนงงพลางขบคิดในใจว่า

“จากแผนที่ ณ จุดนี้ควรจะเป็นทะเลสาบจันทร์เต็มดวงนี่นา

“แม้แต่น้ำหยดเดียวยังหาไม่พบ

แล้วทะเลสาบบ้าบอนั่นอยู่ที่ไหนกัน ?”

ในใจของเขามีทั้งข้อสงสัยและความไม่เข้าใจ

ทั้งสองบินเหนือถิ่นทุรกันดารตลอดทั้งวันโดยสังเกตภูมิประเทศอย่างถี่ถ้วนและหยิบแผนที่กางออกมาดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ในที่สุดเขาก็ต้องยอมรับว่ามันคือตำแหน่งของทะเลสาบจันทร์เต็มดวงอย่างไม่ผิดเพี้ยนแน่นอน

!

อย่างไรก็ตามเขาไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใดทะเลสาบจันทร์เต็มดวงกลับหายไป

มันแห้งผากจนกลายเป็นถิ่นทุรกันดารที่เต็มไปด้วยรอยแยก !

ผลลัพธ์ของการเดินทางครั้งนี้ทำให้จี้เทียนซิงรู้สึกหนักอึ้ง

เขาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายหลายครั้งหลายครา

ผ่านป่าแห่งความตาย ทะเลลาวาและภูเขาหมื่นอีกาดำจนกระทั่งมาถึงที่นี่อย่างลำบากยากเข็ญ

แล้วจะให้เขาตัดใจยอมแพ้ง่ายๆได้อย่างไร ?

ถึงแม้ว่าทะเลสาบจันทร์เต็มดวงจะหายไปและกลายเป็นดินแดนรกร้างอันกว้างใหญ่

เขาก็ยังคงต้องทำการสืบเสาะและค้นหาเบาะแสของลูกปัดแห่งดวงดาราให้จงได้

เขาขี่หลังเฉียนเยวี่ยบินต่อไปในถิ่นทุรกันดารและสำรวจสถานการณ์ไปโดยไม่ปล่อยให้เบาะแสเล็กน้อยหลุดรอดสายตาไปได้

เมื่อทั้งสองบินเข้าไปในส่วนลึกของพื้นที่รกร้างว่างเปล่า

สายลมเหนือเวหาก็ยิ่งพัดแรงมากขึ้นเรื่อยๆทำให้ทรายและฝุ่นสีเหลืองปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า

พวกเขาตามรอยพายุทรายและพายุเฮอริเคนที่พัดผ่านดินแดนรกร้างเพื่อมองหาร่องรอยใดๆที่อาจหลงเหลืออยู่

หนึ่งวัน......

สองวัน.......

และสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ตลอดสามวันที่ผ่านมา

จี้เทียนซิงและเฉียนเยวี่ยบินไปทั่วถิ่นทุรกันดารมากกว่าสิบรอบ

ค้นหาเกือบทุกซอกทุกมุมจนแทบจะเรียกได้ว่าพลิกแผ่นดินแล้ว

พลังของเฉียนเยวี่ยได้หมดสิ้น

มันจึงหดร่างกลับไปเหลือขนาดเท่าลูกแมวตัวหนึ่งและกลับเข้าไปนอนในถุงมิติ

จี้เทียนซิงจึงต้องเดินทางเพียงลำพังในถิ่นทุรกันดาร

เขาเดินมาตลอดทั้งวันเพื่อสำรวจเบาะแสต่อไป

เขาเดินฝ่าพายุทรายและพายุเฮอริเคนจนร่างของเขาถูกปกคลุมไปด้วยทรายและฝุ่นสีเหลือง

อาภรณ์ขาวสะอาดสกปรกเปรอะเปื้อน ใบหน้าหล่อเหลาคมคายเต็มไปด้วยฝุ่นคละคลุ้งราวกับชนพื้นเมืองไม่ก็ขอทาน

ถึงกระนั้นเขาก็ยังปฏิเสธที่จะยอมแพ้

ตราบใดที่ยังมีความหวัง ทุกอย่างเป็นไปได้เสมอ

........

ในไม่ช้าวันที่สี่ก็ผ่านไป

จี้เทียนซิงยังไม่พบเบาะแสใดๆแม้แต่น้อย

ความผิดหวังเริ่มถักทอขึ้นในใจของเขาอย่างรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

เขาอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า

ปัญหามันเกิดจากตำราโบราณลึกลับเล่มนั้นหรือว่าแผนที่เทือกเขาหมอกเร้นลับกันแน่ ?

เป็นเวลาสี่วันติดต่อกันของการค้นหา

เขาไม่ได้หลับไม่ได้นอน ร่างกายเริ่มทรุดโทรมเหนื่อยล้าจนถึงขีดจำกัด

พอถึงกลางคืนเขาพบถ้ำเล็กๆแห่งหนึ่งในถิ่นทุรกันดารจึงเจาะรูเข้าไปพักผ่อนเพื่อหลีกเลี่ยงพายุทรายตอนกลางคืน

อีกทั้งยังต้องพักฟื้นฟูพลัง

หลังจากค่ำคืนที่ยาวนานผ่านไป

พอถึงตอนเช้าพายุเฮอริเคนและพายุทรายอันรุนแรงก็ค่อยๆอ่อนกำลังลง

เสียงกระซิบของสายลมที่เคยดัง

วิ้ว วิ้ว  นอกถ้ำค่อยๆจางหายไป ทรายสีเหลืองที่เคยปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าก็ค่อยๆบางตาลงอีกด้วย

ท้องฟ้าค่อยๆฟื้นตัวกลับมาและถิ่นทุรกันดารก็เงียบสงบกว่าที่เคย

เมื่อถึงเวลารุ่งสาง

จี้เทียนซิงก็ตื่นจากการบ่มเพาะ หลังจากได้พักผ่อนและพักฟื้นเต็มที่

เขาก็กลับมามีพลังสมบูรณ์ดังเดิม

เมื่อได้เห็นท้องฟ้านอกถ้ำที่ดูสดใส

พายุทรายที่หายไป

เขาอดไม่ได้ที่เผยรอยยิ้มออกมา

“ดี

ในที่สุดพายุที่กินเวลาหลายวันก็หยุดลงในที่สุด !”

เขารีบเดินออกจากถ้ำและพร้อมในการเดินทางตามหาเบาะแสต่อไป

อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเดินมาถึงหลุมแห่งหนึ่ง

ทันใดนั้นเขาก็แสดงออกด้วยสีหน้าแปลกๆ

แต่เดิม

หลุมในถ้ำนั้นถูกฝังอยู่ในทรายสีเหลือง

แต่ขณะนี้ทรายสีเหลืองของหลุมได้หายไปเผยให้เห็นชิ้นส่วนก้อนหินสีน้ำตาลเข้มขนาดใหญ่

พื้นทรายสีเหลืองด้านนอกถ้ำนั้นมีการจัดวางที่ใหญ่เกินกว่าสามสิบเมตร

เขาได้เห็นรูปสลักหินสีดำสูงกว่าสิบเมตรที่เต็มไปด้วยความผันผวนโบราณของชีวิตตั้งอยู่ตรงหน้าเขา

ประติมากรรมหินสีดำนี้ไม่ทราบว่าดำรงอยู่ในที่แห่งนี้มานานกี่ปีแล้ว

พื้นผิวขรุขระและถูกกัดเซาะด้วยลมน้ำค้างแข็งเป็นเศษหลุดลอกออกมานับไม่ถ้วน

รูปปั้นหินนั้นจมอยู่ใต้ทรายสีเหลือง

เผยให้เห็นเพียงครึ่งตัวที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน

จี้เทียนซิงจ้องมองที่หินแกะสลักนี้และสังเกตมันเป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็รู้ว่าหินแกะสลักนี้ดูเหมือนจะเป็นสัตว์อสูรบรรพกาลชนิดหนึ่งที่เรียกว่าลู่อู๋

[陆吾]!

*

'ถ้ำหิน' ที่เขาพักเมื่อคืนนี้แท้จริงแล้วคือส่วน

‘ปาก’ ขนาดใหญ่ของหินแกะสลักสัตว์อสูรลู่อู๋ตัวนี้

!

“ดูเหมือนว่าหินก้อนนี้ถูกกลบฝังอยู่ในทรายสีเหลืองมาก่อน

แต่ไม่ใช่วันนี้”

“บังเอิญที่พายุรุนแรงลูกนั้นได้พัดเอาทรายสีเหลืองที่ฝังหินแกะสลักนี้ออกไปจนเผยให้ข้าได้เห็น

แต่เหตุใดรูปปั้นหินสัตว์อสูรโบราณตัวนี้ถึงได้ปรากฏอยู่ในถิ่นทุรกันดารแห่งนี้ ? สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับทะเลสาบจันทร์เต็มดวงที่หายไปหรือไม่”

**

ลู่อู๋

陆吾  ไม่รู้เรียกว่าอะไรหาข้อมูลมาได้เป็นรูปนี้

หน้าคล้ายคนมีหลายหาง