ตอนที่ 380 เหยาเหยา

เจ้าไม่คิดหรือว่านี่คือลิขิตฟ้า?

มารโลหิตเป็นผู้มีปราณยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในขอบเขตปราณฟ้า

และด้วยร่มหมอกปีศาจที่อยู่ในมือ แน่นอนว่าทำให้มันยิ่งทรงอำนาจมากขึ้น

มันทะลุทะลวงผ่านพื้นดินมืดมิดโดยไร้เสียง แม้กระทั่งรัศมีพลังมารก็ไม่เล็ดรอดไปเพียงน้อยนิด

ไม่มีผู้ใดสามารถตรวจจับกลิ่นไอของมันได้เว้นเสียแต่ว่าจะมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับปราณอยู่ใกล้ๆมันเท่านั้น

นิกายพันธมิตรสวรรค์ในวันนี้แม้จะมียอดฝีมือปราณฟ้าที่แข็งแกร่งอยู่มากมาย

แต่ทุกคนต่างก็ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ในตำหนักฉิงเทียน  ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าจะมีคนลอบเข้ามา

ไม่ถึงครึ่งชั่วยามต่อมา มารโลหิตได้ลอบเข้าไปในส่วนลึกใต้พื้นดินของนิกาย

มือโบกสะบัดร่ายมนต์คาถาอย่างเงียบเชียบและวางผลึกวิญญาณไว้ในเส้นชีพจรวิญญาณ

ผลึกวิญญาณก้อนนั้นถูกซ่อนไว้อย่างแน่นหนา ผสมผสานกับรัศมีพลังของมหาข่ายปราณจนยากที่ผู้ใดจะค้นพบ

หึ

หึ หึ.......

เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ

มารโลหิตแสยะยิ้มเห็นเขี้ยวและลอบออกจากพื้นที่อย่างเงียบงัน

หลังจากผ่านไปไม่นานมันก็กลับไปถึงยอดเขาที่อยู่ห่างออกไปห้าสิบไมล์และปรากฏตัวขึ้นข้างๆเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้

เมื่อนางเห็นมารโลหิตกลับมาอย่างปลอดภัยจึงกระซิบถามอย่างรวดเร็วว่า

“เสด็จพ่อ

แผนการทุกอย่างเป็นไปด้วยดีหรือไม่ ?”

"หึ

เราราชันลงมือเอง แน่นอนว่าต้องราบรื่น”

มารโลหิตแค่นเสียงพลางแสยะยิ้มอย่างมั่นใจ

"เราวางผลึกวิญญาณฝังลึกไว้ในเส้นชีพจรวิญญาณและข่ายปราณ

หลังจากนี้ไม่เกินหนึ่งเดือน มันจะเสื่อมพลังลง"

"เมื่อถึงตอนนั้นต่อให้พวกมันสัมผัสถึงความผิดปกติได้ก็ไม่ทันการณ์

ส่วนพวกเราก็ใช้โอกาสนั้นทำลายมหาข่ายปราณและช่วยองค์จักรพรรดิออกมา !"

เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้ได้ยินดังนั้นพลันคึกคักขึ้นอักโข

ดวงตาสีแดงของนางเปล่งประกายเจิดจ้ากล่าวอย่างตื่นเต้นยินดี “วิเศษมาก ! เสด็จพ่อ

แผนการของพวกเราจะสำเร็จในไม่ช้า !”

"อืม"

มารโลหิตพยักหน้าพลางกล่าวต่อไปว่า

“ยังเร็วไปที่จะดีใจ

เราราชันยังต้องเตรียมการอีกมาก"

มันพูดกับเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้ด้วยเสียงต่ำว่า

“เสวี่ยเยวี่ย

ในช่วงหลายวันนี้เจ้าจงรั้งอยู่ระแวกนี้

จับตาดูการเคลื่อนไหวของนิกายพันธมิตรสวรรค์"

" หากมีข่าวใดๆเกิดขึ้นจงแจ้งต่อเราราชันโดยพลัน  ที่สำคัญเจ้าต้องซ่อนตัวให้มิดชิด

อย่าให้พวกมันพบเจ้าได้โดยเด็ดขาด"

"เพคะเสด็จพ่อ !”

เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้พยักหน้าตอบรับอย่างเคร่งขรึม

จากนั้นถามด้วยความสับสนว่า

“เสด็จพ่อแล้วท่านจะทำอะไรต่อไป

ท่านไม่อยู่กับข้าหรือ ?”

มารโลหิตผุดยิ้มเย็นและกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เราราชันมิได้เห็นเดือนเห็นตะวันในดินแดนดาราบรรพกาลมาเป็นแรมปี

เราจะออกสำรวจสถานการณ์โดยรอบเพื่อให้แน่ใจว่าแผนการราบรื่นและไม่ผิดพลาด”

“เราราชันมีสหายเก่าแก่อยู่คนหนึ่ง

ถึงเวลาแล้วที่จะต้องไปทักทายมันเสียหน่อย”

เมื่อได้ยินคำพูดของบิดา

เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้พยักหน้าอย่างคลุมเครือและไม่ถามอะไรอีก

ฟุ่บ

!

หยุดไปครู่หนึ่ง

มารโลหิตก็สะบัดร่มหมอกปีศาจและบินหายไปในหมอกรัตติกาล

ตอนนี้จึงเหลือเพียงเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้เพียงลำพัง

นางนั่งบนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง

เพ่งสายตามองไปยังแสงสว่างจ้าของงานเลี้ยงภายในนิกายพันธมิตรสวรรค์

...........

ในที่สุดค่ำคืนอันคึกคักครื้นเครงภายในนิกายพันธมิตรสวรรค์ก็ได้ผ่านพ้นไป

ในตอนเช้าของวันต่อมา ทันทีที่ดวงอาทิตย์พ้นขอบฟ้าก็มีหมอกในตอนเช้าระหว่างยอดเขาของนิกายพันธมิตรสวรรค์ปรากฏขึ้น

ทะเลสาบปี้โผที่อยู่หลังยอดเขาฉิงเทียนก็ปกคลุมไปด้วยชั้นของหมอก

ยิ่งขับเน้นความสวยงามและลึกลับมากกว่าที่ผ่านๆ

สายน้ำไหลกระเพื่อมในทะเลสาบ ซัดขึ้นมาบนชายฝั่ง ต้นไม้ใบหญ้าและกลิ่นหอมจางๆจากต้นสมุนไพรโชยออกมา

ยิ่งทำให้ทิวทัศน์ดูงดงามและน่าดูยิ่ง

ในเวลานี้เอง

บุรุษสตรีคู่หนึ่งกำลังเดินเคียงคู่กันอยู่บนทางเดินหินสีฟ้าใต้ต้นหลิวริมทะเลสาบ

บุรุษผู้นี้ร่างสูงโปร่งหล่อเหลาราวเทพบุตร เสื้อคลุมทองคำและรองเท้าขอบทอง

ผมยาวสลายผูกมัดด้วยมงกุฎหยก

ไม่ต้องสงสัยเลย มันคือโอรสสวรรค์  หลงหยุนเซียว

ส่วนสตรีที่อยู่ข้างมันคือสตรีในอาภรณ์ขาวพิสุทธิ์

รูปร่างหน้าตาของนางงดงามราวกับนางฟ้ามาจุติ คงไว้ซึ่งอารมณ์เย็นชาและสีหน้าเรียบเฉย

นางก็คือหยุนเหยา

เมื่อวานนี้หลงหยุนเซียวมาเยือนนิกายพันธมิตรสวรรค์เป็นครั้งแรก

แน่นอนว่าต้องแต่งกายด้วยชุดเป็นทางการ เสื้อคลุมมังกรทองและมงกุฎ

ทว่าวันนี้มันมิได้มีกิจธุระอย่างเป็นทางการ

เป็นเวลาส่วนตัว มันจึงเปลี่ยนเป็นชุดลำลอง

แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังคงเป็นบุรุษที่งดงามและโดดเด่น

ทั้งสองเดินเคียงคู่กันไปตามเส้นทางริมทะเลสาบ

ถึงแม้ว่าจะเดินเคียงข้างกัน แต่ทั้งสองก็อยู่ห่างกันสองก้าว

ระยะห่างนี้นับว่าเหมาะสม ไม่ใกล้ชิดเกินไป

ไม่ห่างเหินเกินควร มันคือระยะห่างปกติระหว่างสหายทั่วๆไป

หลงหยุนเซียวดูเหมือนว่าจะอารมณ์ดีไม่น้อย

ด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก มันกล่าวเสียงนุ่มนวลว่า

“เหยาเหยา  เรายังจำได้ว่าครั้งแรกที่พบหน้าเจ้าก็เป็นเมื่อเก้าปีก่อน

ตอนนั้นเป็นงานฉลองวันเกิดครบรอบ 100

ปีของท่านลุงหยุน ตอนนั้นเจ้าสวมอาภรณ์ดาราน้ำแข็งจันทรา

แม้จะยังเป็นแค่สาวน้อยแต่ก็เป็นเด็กน้อยที่งดงามจับจิต

ชวนให้ผู้คนได้ตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก"

"เราคิดไม่ถึงว่าผ่านมาเก้าปี

ตอนนี้เจ้าเติบโตเป็นสาวงามล่มเมือง อีกทั้งยังเป็นอัจฉริยะในเชิงยุทธ์อันดับหนึ่งของอาณาจักรเทียนเฉินที่มีชื่อเสียงโด่งดัง   ...

เวลาผ่านไปเร็วนัก"

หลงหยุนเซียวกล่าวเรื่องในความทรงจำของมัน

ดวงตาเหม่อลอยมองไปเบื้องหน้า รอยยิ้มพิมพ์ใจปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาของมัน

หยุนเหยายังคงสงบเยือกเย็นตามปกติและไร้ซึ่งการตอบสนองอะไรมากนัก

"เทียนจือ ท่านรบกวนเวลาหลับนอนของผู้อื่นแต่เช้า

ขอให้ข้าเดินเล่นริมทะเลสาบเพื่อรำลึกอดีตแค่นั้นหรือ ?"

"ท่านไม่จำเป็นต้องกล่าวเรื่องเก่าๆเทือกนั้น

สมควรพูดตรงเข้าธุระของท่านเลยดีกว่ากระมัง ?”

หลงหยุนเซียวไม่เพียงไม่โกรธ

แต่ยังปรากฏรอยยิ้มขบขันขึ้นที่มุมปากของมัน ปากกล่าวต่อไปอย่างอ่อนโยนว่า

“เหยาเหยา

เราไม่คิดเลยว่าเจ้ามาอยู่อาณาจักรเทียนเฉินตั้งหลายปี แต่บุคลิกของเจ้าก็ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย  เจ้ายังคงเหมือนเดิม"

มันทราบดีถึงบุคลิกและนิสัยของหยุนเหยา นางเย็นชาและไม่ค่อยพูดจาอะไรกับมันมากนัก

หยุนเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อยและไม่ได้กล่าวตอบ

หลงหยุนเซียวจึงพูดต่อไปว่า "เหยาเหยา

เราทราบดีถึงเหตุผลที่เจ้าออกจากวังวิญญาณเมฆา ออกห่างจากจ้งโจว

เดินทางมาอาศัยอยู่ในดินแดนห่างไกลเช่นนี้

เจ้าคิดหลบหน้าเรา"

"แต่ตอนนี้ตี้จวินกำลังจะเลือกคู่ครองให้เรา

เราจำต้องเลือกหนึ่งในสามผู้สมัครที่เหมาะสมและโดดเด่นที่สุดจากเก้าอาณาจักร  และ... เจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้น"

"เหยาเหยา เจ้าไม่คิดหรือว่านี่คือลิขิตฟ้า  มันสมควรเป็นชะตากรรมของเจ้ามิใช่หรือ ?"

"แม้นเจ้าจะหลบลี้หนีหน้าเรามายังอาณาจักรเทียนเฉินที่ห่างไกล

ซ่อนตัวในเหลือบมุมของทวีป แต่สุดท้ายเรากับเจ้าก็ได้พบกันอีกครั้งอยู่ดี"

สิ้นเสียง

คนเบนหน้าไปมองวงหน้าด้านข้างของนาง สีหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนโยน

หยุนเหยาขมวดคิ้วพลางเหลือบตามองอีกฝ่ายและกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแส

“เจ้าควรจะรู้ว่าข้าไม่เคยเชื่อในเรื่องโชคชะตา

ข้าเพียงเชื่อว่าคนเราสามารถพิชิตชะตากรรมได้ ควบคุมบงการชีวิตตนเอง”

“ชะตากรรมของข้า

ข้าจะลิขิตเอง !”

"ที่สำคัญ ข้าได้ยินมาว่าผู้สมัครชายาอีกสองนางก็นับว่าไม่เลว

พวกนางล้วนงดงามล่มเมืองและยังเป็นอัจฉริยะชั้นยอด เจ้าสมควรพิจารณาพวกนางดู”

ดวงตาของหลงหยุนเซียวทอประกายเจิดจ้า

คนเลิกคิ้วขึ้นอย่างสนอกสนใจพลางกล่าวว่า “เหยาเหยา จากประโยคนี้ของเจ้า เราตีความหมายว่าเจ้ากำลังหึงหวงเรา"

หยุนเหยาจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเฉยชาพลางกล่าวด้วยเสียงเย็นว่า

“เจ้าก็คิดมากไป”

หลงหยุนเซียวหรี่ตาลงและกล่าวว่า

“เหยาเหยา

เจ้าก็น่าจะรู้ นับตั้งแต่วันแรกที่เราได้เห็นหน้าเจ้า เราก็ปฏิญาณกับตัวเองไว้แล้วว่า

ชายาของเราจะต้องเป็นเจ้าเท่านั้น เราต้องการเจ้ามาเป็นคู่ครอง"

"เมื่อได้พบเจ้าที่งดงามเยี่ยงนี้

สตรีอื่นใดเล่าจะเข้าตาเราได้อีก ? พวกนางเป็นได้แค่สตรีหิ้วรองเท้าให้เจ้าเท่านั้น"

"เรารู้ว่าเจ้าไม่เคยคิดเป็นชายาของเรา

แต่นั่นไม่สำคัญ เราจะไม่บังคับเจ้าให้ทำในสิ่งที่เจ้าไม่อยากทำ"

"แต่เราจะทำให้เจ้ายอมรับเราทีละน้อย

จนกว่าจะถึงวันที่เจ้ายินยอมจากใจจริง !”