ทันทีที่ได้ยินข่าวสารนี้
ฉู่เทียนเซิงสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที แสงเย็นเยียบส่องประกายในดวงตาของมัน
"ว่าอะไรนะ นิกายกระบี่ฟ้าใส่ร้ายและคิดสังหารเจ้า
หนำซ้ำมันยังกล้าจับตัวเอี๋ยนเอ๋อร์ไปเช่นนั้นหรือ ?!"
"เทียนซิง เรื่องมันเป็นมาอย่างไร เกิดอะไรขึ้น
?
จงเล่ามาให้ข้าฟังโดยละเอียด"
จี้เทียนซิงกำหมัดแน่นและกล่าวสรุปสั้นๆอย่างรวบรัดให้อีกฝ่ายฟัง
“โครม
!!”
เมื่อฉู่เทียนเซิงฟังจบและรับรู้ทุกสิ่งเขาก็เปี่ยมไปด้วยโทสะและตบโต๊ะเสียงดัง
"เจ้าพวกกระบี่ฟ้าบัดซบ !"
"สารเลวเกาอวี่ ....
เจ้ากล้าวางแผนฆ่าศิษย์ทั้งสามของข้าเชียวหรือ เจ้าไปกินดีหมีมาหรือไง ?!"
ฉู่เทียนเซิงเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าฟันและกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า
“ก่อนที่นิกายกระบี่ฟ้าจะลงมือลับๆอีก
ข้าจะออกหน้าเริ่มสงครามเอง !"
"ในเมื่อพวกมันอยากรบ
ข้าประมุขก็จะให้พวกมันได้รบ !”
“ข้าจะนำกำลังไปทวงคนคืนจากนิกายกระบี่ฟ้าเอง
พวกเราจะต้องช่วยเอี๋ยนเอ๋อร์กลับมาให้ได้ !”
ในเวลานี้เองหยุนเหยาก็รีบกล่าวรายงานแทรกอีกครั้งว่า
“ท่านอาจารย์คะ
ศิษย์มีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องรายงาน"
"ในงานเลี้ยงวันเกิดคืนนี้มีชายชราผมขาวลึกลับผู้หนึ่ง
มันมักจะอยู่ข้างกายเทียนเจี้ยนจง ศิษย์สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายมารร้ายจากคนผู้นั้น !"
"อะไรนะ
กลิ่นอายของพวกมาร ?!"
สีหน้าของฉู่เทียนเซิงเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ใบหน้าของมันแสดงออกอย่างเหลือเชื่อ
“เกาอวี่มีมารร้ายอยู่ข้างกายจริงหรือ ? หรือว่ามันสมคบคิดกับพวกมาร ?”
ฉู่เทียนเซิงชัดเจนต่อสายเลือดกายวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของหยุนเหยาที่ไวต่อกลิ่นอายของทุกเผ่าพันธุ์
ในเมื่อหยุนเหยายืนยันแน่ชัด
แสดงว่าเรื่องนี้ไม่ผิดพลาดแน่
ฉู่เทียนเซิงขมวดคิ้วครู่หนึ่งจากนั้นถามว่า "เหล่าประมุขและจ้าวสำนักอื่นๆเล่า พวกเขาอยู่ในงานด้วยหรือไม่ ? พวกเขาตระหนักถึงความผิดปกติหรือไม่ ? มีปฏิกิริยาอะไรไหม ?"
หยุนเหยาส่ายหัวกล่าวตอบว่า “จ้าวสำนักและตัวแทนระดับสูงของกองกำลังอื่นๆต่างก็มากันพร้อมเพรียง
แต่ไม่มีผู้ใดตระหนักถึงความปกตินี้และไม่มีปฏิกิริยาใดๆ"
"ด้วยเหตุนี้ศิษย์จึงมิได้พูดออกมาหลังจากที่ศิษย์สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของพวกมาร
และรีบหลบหนีจากนิกายกระบี่ฟ้าพร้อมกับศิษย์น้องเทียนซิง
จากนั้นก็รีบกลับมารายงานข่าวนี้ให้ท่านอาจารย์ทราบ”
ฉู่เทียนเซิงพยักหน้าเล็กน้อยพลางขมวดคิ้วกล่าวว่า
“เช่นนี้ก็แสดงว่าเกาอวี่อาจจะมิได้ร่วมมือกับพวกมาร
หรือไม่มันก็อาจจะถูกอีกฝ่ายหลอกใช้อยู่"
"อย่างไรก็ตาม
ในเมื่อนิกายกระบี่ฟ้ากล้าลงมือกับนิกายเราอย่างเปิดเผย
ข้าประมุขก็จะให้พวกมันต้องชดใช้ !"
"หยุนเหยา เทียนซิง
พวกเจ้าพักอยู่ที่นี่ก่อน จากนั้นตามอาจารย์ไปนิกายกระบี่ฟ้า !”
กล่าวจบฉู่เทียนเซิงก็ตะโกนเรียกผู้พิทักษ์ชุดดำเพื่อออกคำสั่งรวมพลผู้อาวุโสทั้งหลาย
จี้เทียนซิงและหยุนเหยากำหมัดคารวะและก้าวออกไปจากห้องเพื่อพักผ่อน
หลังจากการปะทะเมื่อไม่นานนี้ลมปราณของจี้เทียนซิงก็ถูกใช้ไปอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นเขาจึงหยิบเม็ดยาฟื้นฟูออกมาเพื่อทำการฟื้นฟู
แม้ว่าชุดเกราะดาราปราณฟ้าที่ฉู่เทียนเซิงมอบให้จะมีการป้องกันที่ทรงพลัง
แต่มันก็สูบกินพลังปราณเป็นจำนวนมาก
ด้วยระดับความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา ทุกครั้งที่เรียกใช้เกราะดาราจะคงสภาพไว้ได้แค่ไม่ถึงครึ่งชั่วยามเท่านั้น
ดังนั้นเมื่อตอนที่เขาหนีออกมาจากนิกายกระบี่ฟ้าได้สำเร็จ
เขาก็รีบถอดมันออกและเปลี่ยนสภาพของมันกลับเป็นลูกบอลสีเงิน เอาไปไว้ในแหวนมิติ
ท่ามกลางแสงสลัวและความเงียบงันภายในตำหนักฉิงเทียน
คนทั้งสามก็รอคอยอย่างอดทน
ถึงแม้ยามนี้จะเป็นช่วงกลางดึก
แต่คำสั่งของฉู่เทียนเซิงก็ยังถูกส่งต่อออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม เหล่าผู้อาวุโสและผู้ดูแลหลายคนก็บึ่งมาที่ตำหนักฉิงเทียนกันอย่างไม่ขาดสาย
ทุกคนรีบๆร้อนๆด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มกังวล
บ้างก็เต็มไปด้วยความสงสัยเพราะพวกมันยังไม่ทราบแน่ชัดว่าประมุขเรียกรวมพลยามวิกาลด้วยเรื่องด่วนอันใด
หลังจากผ่านไม่นาน
ผู้อาวุโสห้าคนผู้ดูแลเก้าคนก็มารวมตัวกันในห้องโถง
จากนั้นฉู่เทียนเซิงก็อธิบายเรื่องทั้งหมดด้วยเสียงต่ำ สีหน้าราบเรียบ
เมื่อผู้อาวุโสและผู้ดูแลที่มารวมตัวกันได้รับรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนทั้งสาม
พวกมันก็ทั้งตกใจและโกรธกริ้วเดือดดาลเป็นการใหญ่
ทุกคนก้นด่าสาปแช่งเทียนเจี้ยนจงด้วยความขุ่นเคือง
กล่าวสาบานว่าจะฆ่าเทียนเจี้ยนจงและช่วยเหลือเอี๋ยนเอ๋อร์กลับมาให้จงได้
ฉู่เทียนเซิงไม่เสียเวลารั้งรอ
คนสะบัดปลายแขนเสื้อเดินนำหน้าเหล่าอาวุโสออกจากตำหนักฉิงเทียนอย่างองอาจ
ขึ้นขี่สัตว์อสูรวิญญาณมุ่งหน้าไปยังนิกายกระบี่ฟ้าทันที !
จี้เทียนซิงและหยุนเหยาก็ขึ้นขี่กระเรียนวิญญาณติดตามไปอย่างกระชั้นชิด
สุดยอดฝีมือผู้เข้มแข็งมากกว่าหนึ่งสิบคนพร้อมสัตว์วิญญาณ
มุ่งผ่านขอบฟ้า ตรงไปยังนิกายกระบี่ฟ้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
สัตว์วิญญาณพาหนะของฉู่เทียนเซิงนั้นก็คืออินทรีมังกร
[龙鹰 หลงอิง] ซึ่งเป็นสัตว์วิญญาณระดับสี่ที่มีความแข็งแรงเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตปราณโอสถ
อินทรีมังกรตัวนี้ปกคลุมไปด้วยขนสีแดงเข้ม ลำตัวกว้างปีกสยายกว้างกว่าสี่สิบเมตร
ฉู่เทียนเซิงควบคุมมังกรอินทรีบินนำหน้ากลุ่มอย่างห้าวหาญ
อินทรีมังกรเปล่งแสงกระพริบสีแดงเข้มเหนือเวหายามราตรี
เปล่งประกายความเกรี้ยวกราดดุร้ายสยบผู้คน
สองชั่วยามต่อมาฝูงชนก็ได้มาถึงหน้าประตูนิกายกระบี่ฟ้า
ในเวลานี้เป็นช่วงเวลาก่อนรุ่งสาง มีเพียงแสงสว่างรำไรโผล่ขึ้นมาบนขอบฟ้าเท่านั้น
ใต้ประตูนิกายกระบี่ฟ้ามีหน่วยเฝ้ายามอยู่หลายสิบคน
พวกมันทั้งหมดมีสีหน้าเศร้าหมอง
ทันใดนั้นเอง
กลิ่นไอทรงพลังกว่าสิบสายพลันเอ่อล้นออกมาจากบรรยากาศเบื้องบน
เหล่ายามแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยไม่รู้ตัว
พวกมันได้เห็นเงาร่างองอาจกว่าสิบสายปกคลุมท้องฟ้า
"วูบ !
วูบ ! วูบ
!"
ปักษายักษ์สิบหกตัวนำมาซึ่งสายลมที่โหมกระหน่ำจนผู้คนแทบยืนไม่ติด ลงจอดที่จัตุรัสหน้าประตูภูเขา
พื้นดินเต็มไปด้วยฝุ่นทรายคละคลุ้งที่โบยบินไปตามสายลมแรง
หลังจากได้เห็นตัวตนของผู้มาเยือนแล้ว ยามทั้งหลายก็หน้าถอดสีพลางก้าวถอยหลังวิ่งไปทางยอดเขาเพื่อรายงานข่าว
“เปรี้ยง เปรี้ยง !”
ขณะที่ทั้งสองหันหลังไป จู่ๆฝ่ามือน้ำแข็งฟ้าขนาดใหญ่สองสายก็พุ่งไปออกซัดกระแทกยามทั้งสองจนล้มกับพื้นและได้รับบาดเจ็บสาหัส
เช้ง
เช้ง เช้ง !
เหล่ายามในชุดขาวกว่ายี่สิบคนกรูกันเข้ามาประจันหน้ากับผู้มาเยือนพลางชักอาวุธออกมาจ้องมองอีกฝ่ายอย่างระแวดระวัง
เหล่าอาวุโสเก็บสัตว์วิญญาณกลับไป ภายใต้การนำของฉู่เทียนเซิง
ทุกคนเดินไปที่ประตูทางเข้านิกายกระบี่ฟ้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ฉู่เทียนเซิงเดินนำหน้า
พลางหรี่ตามองเหล่ายามชุดขาวจำนวนมากที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาเย็นชา
จากนั้นเดินผ่านธรณีประตูเข้าไปโดยตรง
ใบหน้าของมันดำทะมึนและเย็นเยือก
ทั่วร่างปลดปล่อยจิตสังหารและแรงกดทับเหลือคณะจนผู้คนรอบๆแทบหายใจไม่ออก
เหล่ายามชุดขาวกว่ายี่สิบคนถูกจิตสังหารและแรงกดดันของฉู่เทียนเซิงสะกดไว้จนแข็งค้าง
ไม่มีผู้ใดกล้าหยุดยั้งหรือขวางทาง
หลังจากนั้นไม่นานฉู่เทียนเซิงก็พาทุกคนขึ้นไปบนยอดเขา
ยืนหยัดอย่างองอาจอยู่ที่จตุรัสห้องโถงรับรอง
ทุกคนเหลียวมองไปรอบๆอย่างเย็นชา
และได้เห็นห้องโถงทั้งหมดที่พังทลายกลายเป็นซากปรักหักพัง
บนจัตุรัสที่ด้านบนของภูเขา
เศษหินดินทรายกระจัดกระจายอย่างวุ่นวายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง
มีหลุมลึกขนาดใหญ่หลายแห่งบนพื้นดินและมีรอยปริแตกหนาแน่นกระจายอยู่โดยรอบ
ถึงแม้ว่าฉู่เทียนเซิงและเหล่าอาวุโสจะไม่ได้เห็นภาพการปะทะเมื่อคืนที่ผ่านมา
แต่ซากปรักหักพังและสิ่งปฏิกูลเลอะเทอะที่อยู่รอบๆพื้นดินก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ได้ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้นดุเดือดรุนแรงเพียงใด
ในเวลานี้เอง
ผู้พิทักษ์ชุดดำที่แข็งแกร่งหลายคนของนิกายกระบี่ฟ้าก็พุ่งเข้ามาในจตุรัสพร้อมกับศิษย์สาวกจำนวนมาก เผชิญหน้ากับกลุ่มของฉู่เทียนเซิงและคนอื่นๆ
ถึงแม้พวกมันจะมีมากกว่าสามสิบคนและมีจำนวนคนที่ได้เปรียบ
แต่พวกมันก็ทำได้เพียงจ้องมองอย่างเคร่งขรึมและไม่กล้าลงมือโดยพลการ
ฉู่เทียนเซิงขี้คร้านจะใส่ใจผู้ดูแลและผู้พิทักษ์เหล่านี้
คนเพ่งสายตามองลึกเข้าไปในตำหนักกลาง แผดเสียงคำรามดังสนั่นไปทั่วยอดเขา
"เกาอวี่ !! ไสหัวออกมาให้ข้า !!!"
เสียงคำรามกระตุ้นโดยพลังลมปราณในขอบเขตปราณฟ้า
ครอบคลุมหลายสิบไมล์ในทันทีและปกคลุมไปทั่วภูเขาหลายลูก
เสียงตะโกนราวกับอัสนีร่ำร้อง พสุธาคำราม กระหึ่มไปทั่วท้องฟ้า
ทำให้มวลอากาศสั่นไหวและเขย่ายอดเขากระบี่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด !
**ปล. เกาอวี่คือชื่อจริงของเทียนเจี้ยนจง
ประมุขนิกายกระบี่ฟ้า
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved