ตอนที่ 347 บุกนิกายกระบี่ฟ้า

ทันทีที่ได้ยินข่าวสารนี้

ฉู่เทียนเซิงสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที แสงเย็นเยียบส่องประกายในดวงตาของมัน

"ว่าอะไรนะ นิกายกระบี่ฟ้าใส่ร้ายและคิดสังหารเจ้า

หนำซ้ำมันยังกล้าจับตัวเอี๋ยนเอ๋อร์ไปเช่นนั้นหรือ ?!"

"เทียนซิง เรื่องมันเป็นมาอย่างไร เกิดอะไรขึ้น

?

จงเล่ามาให้ข้าฟังโดยละเอียด"

จี้เทียนซิงกำหมัดแน่นและกล่าวสรุปสั้นๆอย่างรวบรัดให้อีกฝ่ายฟัง

“โครม

!!”

เมื่อฉู่เทียนเซิงฟังจบและรับรู้ทุกสิ่งเขาก็เปี่ยมไปด้วยโทสะและตบโต๊ะเสียงดัง

"เจ้าพวกกระบี่ฟ้าบัดซบ !"

"สารเลวเกาอวี่ ....

เจ้ากล้าวางแผนฆ่าศิษย์ทั้งสามของข้าเชียวหรือ เจ้าไปกินดีหมีมาหรือไง ?!"

ฉู่เทียนเซิงเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าฟันและกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า

“ก่อนที่นิกายกระบี่ฟ้าจะลงมือลับๆอีก

ข้าจะออกหน้าเริ่มสงครามเอง !"

"ในเมื่อพวกมันอยากรบ

ข้าประมุขก็จะให้พวกมันได้รบ !”

“ข้าจะนำกำลังไปทวงคนคืนจากนิกายกระบี่ฟ้าเอง

พวกเราจะต้องช่วยเอี๋ยนเอ๋อร์กลับมาให้ได้ !”

ในเวลานี้เองหยุนเหยาก็รีบกล่าวรายงานแทรกอีกครั้งว่า

“ท่านอาจารย์คะ

ศิษย์มีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องรายงาน"

"ในงานเลี้ยงวันเกิดคืนนี้มีชายชราผมขาวลึกลับผู้หนึ่ง

มันมักจะอยู่ข้างกายเทียนเจี้ยนจง ศิษย์สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายมารร้ายจากคนผู้นั้น !"

"อะไรนะ

กลิ่นอายของพวกมาร ?!"

สีหน้าของฉู่เทียนเซิงเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

ใบหน้าของมันแสดงออกอย่างเหลือเชื่อ

“เกาอวี่มีมารร้ายอยู่ข้างกายจริงหรือ ?  หรือว่ามันสมคบคิดกับพวกมาร ?”

ฉู่เทียนเซิงชัดเจนต่อสายเลือดกายวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของหยุนเหยาที่ไวต่อกลิ่นอายของทุกเผ่าพันธุ์

ในเมื่อหยุนเหยายืนยันแน่ชัด

แสดงว่าเรื่องนี้ไม่ผิดพลาดแน่

ฉู่เทียนเซิงขมวดคิ้วครู่หนึ่งจากนั้นถามว่า "เหล่าประมุขและจ้าวสำนักอื่นๆเล่า  พวกเขาอยู่ในงานด้วยหรือไม่ ? พวกเขาตระหนักถึงความผิดปกติหรือไม่ ? มีปฏิกิริยาอะไรไหม ?"

หยุนเหยาส่ายหัวกล่าวตอบว่า “จ้าวสำนักและตัวแทนระดับสูงของกองกำลังอื่นๆต่างก็มากันพร้อมเพรียง

แต่ไม่มีผู้ใดตระหนักถึงความปกตินี้และไม่มีปฏิกิริยาใดๆ"

"ด้วยเหตุนี้ศิษย์จึงมิได้พูดออกมาหลังจากที่ศิษย์สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของพวกมาร

และรีบหลบหนีจากนิกายกระบี่ฟ้าพร้อมกับศิษย์น้องเทียนซิง

จากนั้นก็รีบกลับมารายงานข่าวนี้ให้ท่านอาจารย์ทราบ”

ฉู่เทียนเซิงพยักหน้าเล็กน้อยพลางขมวดคิ้วกล่าวว่า

“เช่นนี้ก็แสดงว่าเกาอวี่อาจจะมิได้ร่วมมือกับพวกมาร

หรือไม่มันก็อาจจะถูกอีกฝ่ายหลอกใช้อยู่"

"อย่างไรก็ตาม

ในเมื่อนิกายกระบี่ฟ้ากล้าลงมือกับนิกายเราอย่างเปิดเผย

ข้าประมุขก็จะให้พวกมันต้องชดใช้ !"

"หยุนเหยา เทียนซิง

พวกเจ้าพักอยู่ที่นี่ก่อน จากนั้นตามอาจารย์ไปนิกายกระบี่ฟ้า !”

กล่าวจบฉู่เทียนเซิงก็ตะโกนเรียกผู้พิทักษ์ชุดดำเพื่อออกคำสั่งรวมพลผู้อาวุโสทั้งหลาย

จี้เทียนซิงและหยุนเหยากำหมัดคารวะและก้าวออกไปจากห้องเพื่อพักผ่อน

หลังจากการปะทะเมื่อไม่นานนี้ลมปราณของจี้เทียนซิงก็ถูกใช้ไปอย่างรวดเร็ว

ดังนั้นเขาจึงหยิบเม็ดยาฟื้นฟูออกมาเพื่อทำการฟื้นฟู

แม้ว่าชุดเกราะดาราปราณฟ้าที่ฉู่เทียนเซิงมอบให้จะมีการป้องกันที่ทรงพลัง

แต่มันก็สูบกินพลังปราณเป็นจำนวนมาก

ด้วยระดับความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา ทุกครั้งที่เรียกใช้เกราะดาราจะคงสภาพไว้ได้แค่ไม่ถึงครึ่งชั่วยามเท่านั้น

ดังนั้นเมื่อตอนที่เขาหนีออกมาจากนิกายกระบี่ฟ้าได้สำเร็จ

เขาก็รีบถอดมันออกและเปลี่ยนสภาพของมันกลับเป็นลูกบอลสีเงิน เอาไปไว้ในแหวนมิติ

ท่ามกลางแสงสลัวและความเงียบงันภายในตำหนักฉิงเทียน

คนทั้งสามก็รอคอยอย่างอดทน

ถึงแม้ยามนี้จะเป็นช่วงกลางดึก

แต่คำสั่งของฉู่เทียนเซิงก็ยังถูกส่งต่อออกไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม เหล่าผู้อาวุโสและผู้ดูแลหลายคนก็บึ่งมาที่ตำหนักฉิงเทียนกันอย่างไม่ขาดสาย

ทุกคนรีบๆร้อนๆด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มกังวล

บ้างก็เต็มไปด้วยความสงสัยเพราะพวกมันยังไม่ทราบแน่ชัดว่าประมุขเรียกรวมพลยามวิกาลด้วยเรื่องด่วนอันใด

หลังจากผ่านไม่นาน

ผู้อาวุโสห้าคนผู้ดูแลเก้าคนก็มารวมตัวกันในห้องโถง

จากนั้นฉู่เทียนเซิงก็อธิบายเรื่องทั้งหมดด้วยเสียงต่ำ  สีหน้าราบเรียบ

เมื่อผู้อาวุโสและผู้ดูแลที่มารวมตัวกันได้รับรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนทั้งสาม

พวกมันก็ทั้งตกใจและโกรธกริ้วเดือดดาลเป็นการใหญ่

ทุกคนก้นด่าสาปแช่งเทียนเจี้ยนจงด้วยความขุ่นเคือง

กล่าวสาบานว่าจะฆ่าเทียนเจี้ยนจงและช่วยเหลือเอี๋ยนเอ๋อร์กลับมาให้จงได้

ฉู่เทียนเซิงไม่เสียเวลารั้งรอ

คนสะบัดปลายแขนเสื้อเดินนำหน้าเหล่าอาวุโสออกจากตำหนักฉิงเทียนอย่างองอาจ

ขึ้นขี่สัตว์อสูรวิญญาณมุ่งหน้าไปยังนิกายกระบี่ฟ้าทันที !

จี้เทียนซิงและหยุนเหยาก็ขึ้นขี่กระเรียนวิญญาณติดตามไปอย่างกระชั้นชิด

สุดยอดฝีมือผู้เข้มแข็งมากกว่าหนึ่งสิบคนพร้อมสัตว์วิญญาณ

มุ่งผ่านขอบฟ้า ตรงไปยังนิกายกระบี่ฟ้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

สัตว์วิญญาณพาหนะของฉู่เทียนเซิงนั้นก็คืออินทรีมังกร

[龙鹰 หลงอิง] ซึ่งเป็นสัตว์วิญญาณระดับสี่ที่มีความแข็งแรงเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตปราณโอสถ

อินทรีมังกรตัวนี้ปกคลุมไปด้วยขนสีแดงเข้ม ลำตัวกว้างปีกสยายกว้างกว่าสี่สิบเมตร

ฉู่เทียนเซิงควบคุมมังกรอินทรีบินนำหน้ากลุ่มอย่างห้าวหาญ

อินทรีมังกรเปล่งแสงกระพริบสีแดงเข้มเหนือเวหายามราตรี

เปล่งประกายความเกรี้ยวกราดดุร้ายสยบผู้คน

สองชั่วยามต่อมาฝูงชนก็ได้มาถึงหน้าประตูนิกายกระบี่ฟ้า

ในเวลานี้เป็นช่วงเวลาก่อนรุ่งสาง มีเพียงแสงสว่างรำไรโผล่ขึ้นมาบนขอบฟ้าเท่านั้น

ใต้ประตูนิกายกระบี่ฟ้ามีหน่วยเฝ้ายามอยู่หลายสิบคน

พวกมันทั้งหมดมีสีหน้าเศร้าหมอง

ทันใดนั้นเอง

กลิ่นไอทรงพลังกว่าสิบสายพลันเอ่อล้นออกมาจากบรรยากาศเบื้องบน

เหล่ายามแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยไม่รู้ตัว

พวกมันได้เห็นเงาร่างองอาจกว่าสิบสายปกคลุมท้องฟ้า

"วูบ !

วูบ ! วูบ

!"

ปักษายักษ์สิบหกตัวนำมาซึ่งสายลมที่โหมกระหน่ำจนผู้คนแทบยืนไม่ติด   ลงจอดที่จัตุรัสหน้าประตูภูเขา

พื้นดินเต็มไปด้วยฝุ่นทรายคละคลุ้งที่โบยบินไปตามสายลมแรง

หลังจากได้เห็นตัวตนของผู้มาเยือนแล้ว ยามทั้งหลายก็หน้าถอดสีพลางก้าวถอยหลังวิ่งไปทางยอดเขาเพื่อรายงานข่าว

“เปรี้ยง  เปรี้ยง !”

ขณะที่ทั้งสองหันหลังไป จู่ๆฝ่ามือน้ำแข็งฟ้าขนาดใหญ่สองสายก็พุ่งไปออกซัดกระแทกยามทั้งสองจนล้มกับพื้นและได้รับบาดเจ็บสาหัส

เช้ง

เช้ง  เช้ง  !

เหล่ายามในชุดขาวกว่ายี่สิบคนกรูกันเข้ามาประจันหน้ากับผู้มาเยือนพลางชักอาวุธออกมาจ้องมองอีกฝ่ายอย่างระแวดระวัง

เหล่าอาวุโสเก็บสัตว์วิญญาณกลับไป  ภายใต้การนำของฉู่เทียนเซิง

ทุกคนเดินไปที่ประตูทางเข้านิกายกระบี่ฟ้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ฉู่เทียนเซิงเดินนำหน้า

พลางหรี่ตามองเหล่ายามชุดขาวจำนวนมากที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาเย็นชา

จากนั้นเดินผ่านธรณีประตูเข้าไปโดยตรง

ใบหน้าของมันดำทะมึนและเย็นเยือก

ทั่วร่างปลดปล่อยจิตสังหารและแรงกดทับเหลือคณะจนผู้คนรอบๆแทบหายใจไม่ออก

เหล่ายามชุดขาวกว่ายี่สิบคนถูกจิตสังหารและแรงกดดันของฉู่เทียนเซิงสะกดไว้จนแข็งค้าง

ไม่มีผู้ใดกล้าหยุดยั้งหรือขวางทาง

หลังจากนั้นไม่นานฉู่เทียนเซิงก็พาทุกคนขึ้นไปบนยอดเขา

ยืนหยัดอย่างองอาจอยู่ที่จตุรัสห้องโถงรับรอง

ทุกคนเหลียวมองไปรอบๆอย่างเย็นชา

และได้เห็นห้องโถงทั้งหมดที่พังทลายกลายเป็นซากปรักหักพัง

บนจัตุรัสที่ด้านบนของภูเขา

เศษหินดินทรายกระจัดกระจายอย่างวุ่นวายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง

มีหลุมลึกขนาดใหญ่หลายแห่งบนพื้นดินและมีรอยปริแตกหนาแน่นกระจายอยู่โดยรอบ

ถึงแม้ว่าฉู่เทียนเซิงและเหล่าอาวุโสจะไม่ได้เห็นภาพการปะทะเมื่อคืนที่ผ่านมา

แต่ซากปรักหักพังและสิ่งปฏิกูลเลอะเทอะที่อยู่รอบๆพื้นดินก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ได้ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้นดุเดือดรุนแรงเพียงใด

ในเวลานี้เอง

ผู้พิทักษ์ชุดดำที่แข็งแกร่งหลายคนของนิกายกระบี่ฟ้าก็พุ่งเข้ามาในจตุรัสพร้อมกับศิษย์สาวกจำนวนมาก  เผชิญหน้ากับกลุ่มของฉู่เทียนเซิงและคนอื่นๆ

ถึงแม้พวกมันจะมีมากกว่าสามสิบคนและมีจำนวนคนที่ได้เปรียบ

แต่พวกมันก็ทำได้เพียงจ้องมองอย่างเคร่งขรึมและไม่กล้าลงมือโดยพลการ

ฉู่เทียนเซิงขี้คร้านจะใส่ใจผู้ดูแลและผู้พิทักษ์เหล่านี้

คนเพ่งสายตามองลึกเข้าไปในตำหนักกลาง แผดเสียงคำรามดังสนั่นไปทั่วยอดเขา

"เกาอวี่ !!  ไสหัวออกมาให้ข้า !!!"

เสียงคำรามกระตุ้นโดยพลังลมปราณในขอบเขตปราณฟ้า

ครอบคลุมหลายสิบไมล์ในทันทีและปกคลุมไปทั่วภูเขาหลายลูก

เสียงตะโกนราวกับอัสนีร่ำร้อง พสุธาคำราม กระหึ่มไปทั่วท้องฟ้า

ทำให้มวลอากาศสั่นไหวและเขย่ายอดเขากระบี่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด !

**ปล. เกาอวี่คือชื่อจริงของเทียนเจี้ยนจง

ประมุขนิกายกระบี่ฟ้า