สภาพอันน่าเวทนาของภูเขามังกร
คำพูดของลู่หมิงหยางทำให้ฮั่นเฉียวเซิงเผยสีหน้ายินดี
แม้นว่าขอบเขตพลังยุทธ์ที่ลู่หมิงหยางบรรลุในตอนนี้จะยังเทียบชั้นกับฮั่งเชินและพรรคพรวกไม่ได้ก็ตาม
แต่การเลื่อนขั้นย่อยขึ้นมาหนึ่งขั้นก็ถือว่ายังดี อย่างน้อยก็พอจะเพิ่มความหวังอันริบหรี่ขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง
ศิษย์หลายคนต่างก็มองไปที่ลู่หมิงหยางด้วยสีหน้าอิจฉาเลื่อมใส
จากนั้นก็พูดคุยกัน
“ศิษย์พี่ลู่หมิงหยางเริ่มเข้านิกายด้วยพลังในขอบเขตปราณจิตขั้นแรก
ตอนนี้ผ่านมาสองเดือนแล้วเขาก็สามารถก้าวเข้าสู่ขั้นที่สองได้ !”
“เมื่อเข้าสู่ขอบเขตปราณจิต การจะเลื่อนแต่ละขั้นยากเย็นแสนเข็ญ
ผู้ฝึกยุทธ์ต้องสะสมพลังปราณมากกว่าเดิมหลายเท่า
มันยอดมากที่ศิษย์พี่ลู่สามารถยกระดับได้ภายในสองเดือน !”
“ความเป็นอัจฉริยะของจี้เทียนซิงทำให้พวกเรารู้สึกกดดันอย่างมาก ข้าไม่คิดว่าลู่หมิงหยางจะแข็งแกร่งขึ้นได้ขนาดนี้...
พวกเราต้องพยายามให้หนักบ้างแล้ว !”
ลู่หมิงหยางได้ยินคำพูดของทุกคน
หัวใจของเขารู้สึกพองโตและพึงพอใจเป็นอย่างมาก
เขาเหล่ตามองและยกยิ้มมุมปากไปที่จี้เทียนซิง
แววตาให้ความรู้สึกที่เหนือกว่า
มันรอคอยสีหน้าท่าทางของจี้เทียนซิงหลังจากได้ยินคำพูดของทุกคน
มันอยากรู้ว่าจี้เทียนซิงจะทำหน้าอย่างไร
อิจฉา
? ริษยา ? ตื่นตัว
?
อย่างไรก็ตาม... การแสดงออกของจี้เทียนซิงนั้นยังคงสงบราบเรียบเหมือนเคย
ดูเหมือนไม่รู้สึกรู้สาใดๆและไม่หวั่นไหวกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย
ลู่หมิงหยางรู้สึกผิดหวัง
มันขมวดคิ้วและชักสีหน้าอย่างเย่อหยิ่ง
จากนั้นฮั่นเฉียวเซิงก็กล่าวปลุกปลอบขวัญทุกคนอยู่หลายคำพร้อมทั้งกำชับให้ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่พรุ่งนี้เช้า
จากนั้นเขาก็ล่าถอยไป
ทุกคนทยอยออกจากห้องโถงหลักและกลับไปที่บ้านพักของแต่ละคน
หลังจากกลับมาที่ห้อง
จี้เทียนซิงก็ยังคงบ่มเพาะและพยายามบรรเทาจุดฝังเข็มต่อไป
ในหัวใจของเขาไม่ได้สนใจเรื่องการทะลวงด่านปราณจิตขั้นสองของลู่หมิงหยางแม้แต่น้อย
เขาคิดว่าขีดขั้นความสามารถของลู่หมิงหยางนั้นยังไม่อาจเอาชนะศิษย์ทั้งสามของนิกายกระบี่ฟ้าได้
ไม่ต้องพูดถึงฮั่งเชินที่มีพลังระดับปราณจิตขั้นห้าและหยินเฟยหยางระดับปราณจิตขั้นสาม
ต่อให้เป็นหยานตงไหลที่พลังระดับปราณจิตขั้นสอง
ลู่หมิงหยางก็ไม่แน่ว่าจะเอาชนะได้ด้วยซ้ำ
จี้เทียนซิงสังเกตดูแล้วทราบว่าหยานตงไหลติดอยู่ปราณจิตขั้นสองมาเป็นเวลานานแล้ว อีกไม่ช้ามันย่อมตัดผ่านไปยังปราณจิตขั้นสาม
การคว้าชัยชนะในการประลองหลงซานเพื่อนำเกียรติยศและสิทธิ์ครอบครองภูเขามังกรกลับสู่นิกาย หากพึ่งพาลู่หมิงหยางเห็นทีจะไม่เข้าท่า
ในเวลานี้จี้เทียนซิงคิดแค่เพียงว่า
ตนเองเท่านั้นที่จะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จได้ !
......
เช้าวันรุ่งขึ้น วันใหม่กำลังจะมาถึงและยังเป็นการเริ่มขึ้นเดือนใหม่
เหล่าศิษย์ทั้งหมดพร้อมแล้ว
ทุกคนรีบมุ่งหน้าไปยังห้องโถงใหญ่
ฮั่นเฉียวเซิงและตู่หวู่ก็มาถึงแล้วเช่นกัน
พวกเขาทั้งสองยืนรอศิษย์ทุกคนในห้องโถง
หลังจากเห็นว่าทุกคนมากันพร้อมหน้าพร้อมตา
ฮั่นเฉียวเซิงก็ประกาศเสียงดัง
“การประลองหลงซานที่จัดขึ้นทุกๆสามปีจะมีขึ้นในวันนี้
เวลาแห่งเกียรติยศของฝ่ายนอกเรามาถึงแล้ว !”
“สัตว์อสูรวิญญาณที่ใช้เป็นพาหะเดินทางของพวกเราก็พร้อมแล้ว
ข้าจะพาพวกเจ้าทุกคนไปยังภูเขามังกรด้วยกัน”
“นอกจากนี้ ผู้อาวุโสทั้งสองของนิกายก็จะติดตามไปชมด้วย
ข้าหวังว่าตัวแทนทั้งสองคนของฝ่ายนอกเราจะนำพาเกียรติยศมาสู่นิกายให้เป็นที่ประจักษ์
!”
ฮั่นเฉียวเซิงใช้ประโยคสั้นๆในการปลุกปลอบขวัญและทำให้เลือดลมของศิษย์ทุกคนสูบฉีด
จากนั้นเขาก็สะบัดปลายแขนเสื้ออย่างองอาจและเดินนำทุกคนออกจากหอยุทธ์ฟงอวิ๋น
ด้านนอกประตูนิกาย, ศิษย์ของตำหนักหลิงโซ่วนำอาชาวายุสิบสองตัวออกมายืนรออย่างเงียบงัน
สัตว์อสูรเหล่านี้ถูกเลี้ยงดูเป็นอย่างดีและเป็นสัตว์อสูรระดับกลาง
มันมีขนาดใหญ่กว่าม้าทั่วๆไป อีกทั้งยังเร็วกว่าและแข็งแรงกว่า
ฮั่นเฉียวเซิงนำฝูงชนออกจากนิกายมุ่งหน้าขึ้นเหนือไปตามแนวเทือกเขา
ภูเขามังกรตั้งอยู่ห่างออกไปสามร้อยไมล์ทางทิศเหนือของนิกายพันธมิตรสวรรค์
มันเป็นรอยต่อระหว่างนิกายทั้งสอง
แน่นอนว่าภูเขามังกรนั้นอยู่ใกล้กับนิกายพันธมิตรสวรรค์มากกว่า
เพราะว่าถ้าให้ภูเขามังกรเป็นจุดตั้งต้น นิกายกระบี่ฟ้าจะอยู่ไกลออกไปถึงห้าร้อยไมล์
ก่อนหน้านี้ภูเขามังกรเคยเป็นของนิกายพันธมิตรสวรรค์แต่เพียงผู้เดียว
โดยนิกายได้ลงทุนลงแรงมหาศาลเพื่อทำให้ภูเขามังกรเป็นสวนที่สวยงามและมีวิวทิวทัศน์อันน่ารื่นรมย์เป็นอย่างมาก
น่าเสียดายที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างนิกายทั้งสองและจำเป็นต้องตัดสินความเป็นเจ้าของภูเขามังกรด้วยการต่อสู้
จี้เทียนซิงและศิษย์คนอื่นๆเพิ่งเคยได้ยินเกี่ยวกับภูเขามังกร
แต่พวกเขาก็ไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเองมาก่อน
ระหว่างการเดินทางไปที่นั่น
ในใจของทุกคนก็ยังคงจินตนาการถึงสถานที่ที่ทั้งสองฝ่ายต้องต่อสู้กันว่ามันจะมีลักษณะอย่างไร
ความเร็วของอาชาวายุนั้นรวดเร็วมาก
มันพุ่งทะยานข้ามขุนเขาดุจสายลม
เพียงเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง
ทุกคนก็มาถึงตีนเขามังกร
เมื่อทุกคนยืนอยู่บนพื้นหญ้าและมองขึ้นไปบนภูเขามังกรในระยะใกล้
พวกเขาก็เผยสีหน้าท่าทางที่ซับซ้อนและแปลกประหลาด
เทือกเขาเบื้องหน้าที่ห่างออกไปสามกิโลเมตรนั้นมิได้มีสีเขียวงดงามอย่างที่ทุกคนจินตนาการไว้เลย
มีต้นไม้เหลือเพียงหย่อมๆบนภูเขา, ป่าไม้แห้งแล้งไร้ค่าและทุ่งหญ้ารกครึ้มระเกะระกะ
สถานที่ส่วนใหญ่กลายเป็นพื้นดินสีน้ำตาลเข้มและชั้นหินถูกเปิดแยกออก
มีเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ยังมีการปลูกพืชสมุนไพรบางชนิดเอาไว้
แต่พวกมันก็มีทั้งแห้งเหี่ยวจนตายและมีบางส่วนที่ใช้การได้
ที่เชิงเขามังกรมีแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่านเชิงเขา น้ำในแม่น้ำใหญ่นั้นเต็มไปด้วยโคลนและทรายสีเหลือง
มีหลายจุดในแม่น้ำที่ถูกหินก้อนใหญ่ปิดกั้นเอาไว้จนลำธารแห้งคอด
สินแร่และก้อนกรวดสีน้ำตาลเข้มกระจัดกระจายไปทั่ว
ทุกคนสามารถเห็นได้ชัดเจนว่านี่คือเส้นชีพจรของภูเขามังกรที่นิกายกระบี่ฟ้าขุดออกไปใช้ประโยชน์
ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่นิกายกระบี่ฟ้าเปิดเส้นชีพจร เพื่อเป็นการประหยัดแรงงานและกำลังคน
พวกมันก็ทิ้งก้อนหินไร้ประโยชน์และกากแร่ไว้ใกล้แม่น้ำใหญ่จนเกลื่อนกลาดไปทั่ว
ใบหน้าของฮั่นเฉียวเซิงและตู้หวู่กลายเป็นน่าเกลียดในทันที
ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยโทสะ
“สมควรตาย ! นิกายกระบี่ฟ้า พวกเจ้ามันโจรชั่วสารเลว !
สมัยที่พวกเราจัดการดูแลภูเขามังกร ทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและงดงามยิ่งกว่านี้มากนัก”
“ถูกต้อง สมัยที่พวกเราดูแลภูเขาแห่งนี้
มันเต็มไปด้วยต้นไม้สูงตระหง่าน, สวนดอกไม้ที่เจริญหูเจริญตา
อีกทั้งอากาศก็สดชื่น”
“แม่น้ำใหญ่ที่เชิงเขาเคยเปล่งประกายสว่างจ้าราวกับมุกหยก น้ำในแม่น้ำใสสะอาดจนหมู่ปลาแหวกว่ายและเห็นได้ชัดตา....”
“ในเวลาเพียงแค่สามปี นิกายกระบี่ฟ้าได้เปลี่ยนภูเขาที่งดงามราวกับสรวงสวรรค์ให้กลายเป็นสถานที่อันน่ากลัว
เป็นไปได้ว่าสามปีที่ผ่านมานี้พวกมันปล้นชิงทรัพยากรไปอย่างบ้าคลั่งมากทีเดียว !”
เหล่าศิษย์ได้เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นของฮั่นเฉียวเซิงและตู้หวู่
พวกมันหันไปมองสภาพแวดล้อมรอบๆภูเขาด้วยสีหน้ามืดมน ในใจก็พลอยโกรธแค้นตามไปแล้ว
ลู่หมิงหยางขมวดคิ้วและถามอย่างไม่แน่ใจว่า
“ครูฝึกฮั่น
ในเมื่อภูเขามังกรถูกนิกายกระบี่ฟ้าทำลายจนมีสภาพเละเทะขนาดนี้ ดังนั้นเป็นไปได้สูงว่าทรัพยากรสำคัญย่อมถูกพวกมันปล้นชิงไปจนหมดแล้วแน่นอน
เช่นนี้ยังจำเป็นด้วยหรือที่ต้องประลองชิงสิทธิ์ครอบครอง ?”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ทั้งฮั่นเฉียวเซิงและตู้หวู่ก็เริ่มขมวดคิ้ว
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งฮั่นเฉียวเซิงก็กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า
“ถึงแม้ภูเขามังกรจะถูกทำลายย่อยยับจนเหมือนไร้ค่า แต่ไม่ว่าอย่างไร วันนี้พวกเจ้าก็ต้องออกไปรบ”
“การประลองหลงซานไม่เพียงแค่ชิงความเป็นเจ้าของภูเขามังกรสามปี
แต่มันยังเป็นเกียรติยศและศักดิ์ศรี มันเป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับนิกายเรา !”
ลู่หมิงหยางพยักหน้าอย่างเงียบงันและไม่พูดอะไร
สีหน้าของมันแสดงความผิดหวังออกมาอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากกลุ่มคนของนิกายพันธมิตรสวรรค์หยุดเสวนากันที่ตีนเขาอยู่พักใหญ่
ต่อมาฮั่นเฉียวเซิงก็นำทางทุกคนเดินขึ้นเขาไป
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved