ตอนที่ 191

สภาพอันน่าเวทนาของภูเขามังกร

คำพูดของลู่หมิงหยางทำให้ฮั่นเฉียวเซิงเผยสีหน้ายินดี

แม้นว่าขอบเขตพลังยุทธ์ที่ลู่หมิงหยางบรรลุในตอนนี้จะยังเทียบชั้นกับฮั่งเชินและพรรคพรวกไม่ได้ก็ตาม

แต่การเลื่อนขั้นย่อยขึ้นมาหนึ่งขั้นก็ถือว่ายังดี อย่างน้อยก็พอจะเพิ่มความหวังอันริบหรี่ขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง

ศิษย์หลายคนต่างก็มองไปที่ลู่หมิงหยางด้วยสีหน้าอิจฉาเลื่อมใส

จากนั้นก็พูดคุยกัน

“ศิษย์พี่ลู่หมิงหยางเริ่มเข้านิกายด้วยพลังในขอบเขตปราณจิตขั้นแรก

ตอนนี้ผ่านมาสองเดือนแล้วเขาก็สามารถก้าวเข้าสู่ขั้นที่สองได้ !”

“เมื่อเข้าสู่ขอบเขตปราณจิต การจะเลื่อนแต่ละขั้นยากเย็นแสนเข็ญ

ผู้ฝึกยุทธ์ต้องสะสมพลังปราณมากกว่าเดิมหลายเท่า

มันยอดมากที่ศิษย์พี่ลู่สามารถยกระดับได้ภายในสองเดือน !”

“ความเป็นอัจฉริยะของจี้เทียนซิงทำให้พวกเรารู้สึกกดดันอย่างมาก ข้าไม่คิดว่าลู่หมิงหยางจะแข็งแกร่งขึ้นได้ขนาดนี้...

พวกเราต้องพยายามให้หนักบ้างแล้ว !”

ลู่หมิงหยางได้ยินคำพูดของทุกคน

หัวใจของเขารู้สึกพองโตและพึงพอใจเป็นอย่างมาก

เขาเหล่ตามองและยกยิ้มมุมปากไปที่จี้เทียนซิง

แววตาให้ความรู้สึกที่เหนือกว่า

มันรอคอยสีหน้าท่าทางของจี้เทียนซิงหลังจากได้ยินคำพูดของทุกคน

มันอยากรู้ว่าจี้เทียนซิงจะทำหน้าอย่างไร

อิจฉา

? ริษยา ? ตื่นตัว

?

อย่างไรก็ตาม...   การแสดงออกของจี้เทียนซิงนั้นยังคงสงบราบเรียบเหมือนเคย

ดูเหมือนไม่รู้สึกรู้สาใดๆและไม่หวั่นไหวกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย

ลู่หมิงหยางรู้สึกผิดหวัง

มันขมวดคิ้วและชักสีหน้าอย่างเย่อหยิ่ง

จากนั้นฮั่นเฉียวเซิงก็กล่าวปลุกปลอบขวัญทุกคนอยู่หลายคำพร้อมทั้งกำชับให้ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่พรุ่งนี้เช้า

จากนั้นเขาก็ล่าถอยไป

ทุกคนทยอยออกจากห้องโถงหลักและกลับไปที่บ้านพักของแต่ละคน

หลังจากกลับมาที่ห้อง

จี้เทียนซิงก็ยังคงบ่มเพาะและพยายามบรรเทาจุดฝังเข็มต่อไป

ในหัวใจของเขาไม่ได้สนใจเรื่องการทะลวงด่านปราณจิตขั้นสองของลู่หมิงหยางแม้แต่น้อย

เขาคิดว่าขีดขั้นความสามารถของลู่หมิงหยางนั้นยังไม่อาจเอาชนะศิษย์ทั้งสามของนิกายกระบี่ฟ้าได้

ไม่ต้องพูดถึงฮั่งเชินที่มีพลังระดับปราณจิตขั้นห้าและหยินเฟยหยางระดับปราณจิตขั้นสาม

ต่อให้เป็นหยานตงไหลที่พลังระดับปราณจิตขั้นสอง

ลู่หมิงหยางก็ไม่แน่ว่าจะเอาชนะได้ด้วยซ้ำ

จี้เทียนซิงสังเกตดูแล้วทราบว่าหยานตงไหลติดอยู่ปราณจิตขั้นสองมาเป็นเวลานานแล้ว  อีกไม่ช้ามันย่อมตัดผ่านไปยังปราณจิตขั้นสาม

การคว้าชัยชนะในการประลองหลงซานเพื่อนำเกียรติยศและสิทธิ์ครอบครองภูเขามังกรกลับสู่นิกาย  หากพึ่งพาลู่หมิงหยางเห็นทีจะไม่เข้าท่า

ในเวลานี้จี้เทียนซิงคิดแค่เพียงว่า

ตนเองเท่านั้นที่จะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จได้ !

......

เช้าวันรุ่งขึ้น  วันใหม่กำลังจะมาถึงและยังเป็นการเริ่มขึ้นเดือนใหม่

เหล่าศิษย์ทั้งหมดพร้อมแล้ว

ทุกคนรีบมุ่งหน้าไปยังห้องโถงใหญ่

ฮั่นเฉียวเซิงและตู่หวู่ก็มาถึงแล้วเช่นกัน

พวกเขาทั้งสองยืนรอศิษย์ทุกคนในห้องโถง

หลังจากเห็นว่าทุกคนมากันพร้อมหน้าพร้อมตา

ฮั่นเฉียวเซิงก็ประกาศเสียงดัง

“การประลองหลงซานที่จัดขึ้นทุกๆสามปีจะมีขึ้นในวันนี้

เวลาแห่งเกียรติยศของฝ่ายนอกเรามาถึงแล้ว !”

“สัตว์อสูรวิญญาณที่ใช้เป็นพาหะเดินทางของพวกเราก็พร้อมแล้ว

ข้าจะพาพวกเจ้าทุกคนไปยังภูเขามังกรด้วยกัน”

“นอกจากนี้ ผู้อาวุโสทั้งสองของนิกายก็จะติดตามไปชมด้วย

ข้าหวังว่าตัวแทนทั้งสองคนของฝ่ายนอกเราจะนำพาเกียรติยศมาสู่นิกายให้เป็นที่ประจักษ์

!”

ฮั่นเฉียวเซิงใช้ประโยคสั้นๆในการปลุกปลอบขวัญและทำให้เลือดลมของศิษย์ทุกคนสูบฉีด

จากนั้นเขาก็สะบัดปลายแขนเสื้ออย่างองอาจและเดินนำทุกคนออกจากหอยุทธ์ฟงอวิ๋น

ด้านนอกประตูนิกาย, ศิษย์ของตำหนักหลิงโซ่วนำอาชาวายุสิบสองตัวออกมายืนรออย่างเงียบงัน

สัตว์อสูรเหล่านี้ถูกเลี้ยงดูเป็นอย่างดีและเป็นสัตว์อสูรระดับกลาง

มันมีขนาดใหญ่กว่าม้าทั่วๆไป อีกทั้งยังเร็วกว่าและแข็งแรงกว่า

ฮั่นเฉียวเซิงนำฝูงชนออกจากนิกายมุ่งหน้าขึ้นเหนือไปตามแนวเทือกเขา

ภูเขามังกรตั้งอยู่ห่างออกไปสามร้อยไมล์ทางทิศเหนือของนิกายพันธมิตรสวรรค์

มันเป็นรอยต่อระหว่างนิกายทั้งสอง

แน่นอนว่าภูเขามังกรนั้นอยู่ใกล้กับนิกายพันธมิตรสวรรค์มากกว่า

เพราะว่าถ้าให้ภูเขามังกรเป็นจุดตั้งต้น นิกายกระบี่ฟ้าจะอยู่ไกลออกไปถึงห้าร้อยไมล์

ก่อนหน้านี้ภูเขามังกรเคยเป็นของนิกายพันธมิตรสวรรค์แต่เพียงผู้เดียว

โดยนิกายได้ลงทุนลงแรงมหาศาลเพื่อทำให้ภูเขามังกรเป็นสวนที่สวยงามและมีวิวทิวทัศน์อันน่ารื่นรมย์เป็นอย่างมาก

น่าเสียดายที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างนิกายทั้งสองและจำเป็นต้องตัดสินความเป็นเจ้าของภูเขามังกรด้วยการต่อสู้

จี้เทียนซิงและศิษย์คนอื่นๆเพิ่งเคยได้ยินเกี่ยวกับภูเขามังกร

แต่พวกเขาก็ไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเองมาก่อน

ระหว่างการเดินทางไปที่นั่น

ในใจของทุกคนก็ยังคงจินตนาการถึงสถานที่ที่ทั้งสองฝ่ายต้องต่อสู้กันว่ามันจะมีลักษณะอย่างไร

ความเร็วของอาชาวายุนั้นรวดเร็วมาก

มันพุ่งทะยานข้ามขุนเขาดุจสายลม

เพียงเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง

ทุกคนก็มาถึงตีนเขามังกร

เมื่อทุกคนยืนอยู่บนพื้นหญ้าและมองขึ้นไปบนภูเขามังกรในระยะใกล้

พวกเขาก็เผยสีหน้าท่าทางที่ซับซ้อนและแปลกประหลาด

เทือกเขาเบื้องหน้าที่ห่างออกไปสามกิโลเมตรนั้นมิได้มีสีเขียวงดงามอย่างที่ทุกคนจินตนาการไว้เลย

มีต้นไม้เหลือเพียงหย่อมๆบนภูเขา, ป่าไม้แห้งแล้งไร้ค่าและทุ่งหญ้ารกครึ้มระเกะระกะ

สถานที่ส่วนใหญ่กลายเป็นพื้นดินสีน้ำตาลเข้มและชั้นหินถูกเปิดแยกออก

มีเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ยังมีการปลูกพืชสมุนไพรบางชนิดเอาไว้

แต่พวกมันก็มีทั้งแห้งเหี่ยวจนตายและมีบางส่วนที่ใช้การได้

ที่เชิงเขามังกรมีแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่านเชิงเขา น้ำในแม่น้ำใหญ่นั้นเต็มไปด้วยโคลนและทรายสีเหลือง

มีหลายจุดในแม่น้ำที่ถูกหินก้อนใหญ่ปิดกั้นเอาไว้จนลำธารแห้งคอด

สินแร่และก้อนกรวดสีน้ำตาลเข้มกระจัดกระจายไปทั่ว

ทุกคนสามารถเห็นได้ชัดเจนว่านี่คือเส้นชีพจรของภูเขามังกรที่นิกายกระบี่ฟ้าขุดออกไปใช้ประโยชน์

ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่นิกายกระบี่ฟ้าเปิดเส้นชีพจร  เพื่อเป็นการประหยัดแรงงานและกำลังคน

พวกมันก็ทิ้งก้อนหินไร้ประโยชน์และกากแร่ไว้ใกล้แม่น้ำใหญ่จนเกลื่อนกลาดไปทั่ว

ใบหน้าของฮั่นเฉียวเซิงและตู้หวู่กลายเป็นน่าเกลียดในทันที

ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยโทสะ

“สมควรตาย !  นิกายกระบี่ฟ้า พวกเจ้ามันโจรชั่วสารเลว !

สมัยที่พวกเราจัดการดูแลภูเขามังกร ทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและงดงามยิ่งกว่านี้มากนัก”

“ถูกต้อง สมัยที่พวกเราดูแลภูเขาแห่งนี้

มันเต็มไปด้วยต้นไม้สูงตระหง่าน, สวนดอกไม้ที่เจริญหูเจริญตา

อีกทั้งอากาศก็สดชื่น”

“แม่น้ำใหญ่ที่เชิงเขาเคยเปล่งประกายสว่างจ้าราวกับมุกหยก น้ำในแม่น้ำใสสะอาดจนหมู่ปลาแหวกว่ายและเห็นได้ชัดตา....”

“ในเวลาเพียงแค่สามปี นิกายกระบี่ฟ้าได้เปลี่ยนภูเขาที่งดงามราวกับสรวงสวรรค์ให้กลายเป็นสถานที่อันน่ากลัว

เป็นไปได้ว่าสามปีที่ผ่านมานี้พวกมันปล้นชิงทรัพยากรไปอย่างบ้าคลั่งมากทีเดียว !”

เหล่าศิษย์ได้เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นของฮั่นเฉียวเซิงและตู้หวู่

พวกมันหันไปมองสภาพแวดล้อมรอบๆภูเขาด้วยสีหน้ามืดมน ในใจก็พลอยโกรธแค้นตามไปแล้ว

ลู่หมิงหยางขมวดคิ้วและถามอย่างไม่แน่ใจว่า

“ครูฝึกฮั่น

ในเมื่อภูเขามังกรถูกนิกายกระบี่ฟ้าทำลายจนมีสภาพเละเทะขนาดนี้ ดังนั้นเป็นไปได้สูงว่าทรัพยากรสำคัญย่อมถูกพวกมันปล้นชิงไปจนหมดแล้วแน่นอน

เช่นนี้ยังจำเป็นด้วยหรือที่ต้องประลองชิงสิทธิ์ครอบครอง ?”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ทั้งฮั่นเฉียวเซิงและตู้หวู่ก็เริ่มขมวดคิ้ว

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งฮั่นเฉียวเซิงก็กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า

“ถึงแม้ภูเขามังกรจะถูกทำลายย่อยยับจนเหมือนไร้ค่า แต่ไม่ว่าอย่างไร วันนี้พวกเจ้าก็ต้องออกไปรบ”

“การประลองหลงซานไม่เพียงแค่ชิงความเป็นเจ้าของภูเขามังกรสามปี

แต่มันยังเป็นเกียรติยศและศักดิ์ศรี มันเป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับนิกายเรา !”

ลู่หมิงหยางพยักหน้าอย่างเงียบงันและไม่พูดอะไร

สีหน้าของมันแสดงความผิดหวังออกมาอย่างเห็นได้ชัด

หลังจากกลุ่มคนของนิกายพันธมิตรสวรรค์หยุดเสวนากันที่ตีนเขาอยู่พักใหญ่

ต่อมาฮั่นเฉียวเซิงก็นำทางทุกคนเดินขึ้นเขาไป