ตอนที่ 10

ตอนที่

10 ทดสอบระดับพลัง

หลังจากทานอาหารเช้าแล้วร่างกายของจี้เทียนซิงก็แข็งแรงขึ้นและสภาพจิตใจของเขาก็ดีขึ้นมาก

ฮวนเอ๋อกำลังยุ่งอยู่กับการเก็บจาน

ชายหนุ่มจึงเดินออกจากห้องและรีบไปที่หอฝึกยุทธ์ เพื่อทดสอบระดับความแข็งแกร่งในปัจจุบัน

หลังจากที่เขาได้ควบแน่นปราณกระบี่ทั้งหกสายแล้วความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

เขาต้องการที่จะรู้ว่าระดับความแข็งแกร่งของตนพัฒนาขึ้นเพียงใดจากการฝึกฝนวิถีดวงใจกระบี่

เคหะสถานของสกุลจี้มีขนาดใหญ่โตและครอบคลุมพื้นที่มากกว่าหนึ่งพันเอเคอร์ มีพื้นที่สนามถึงเจ็ดแห่งจากด้านหน้าและด้านหลัง ประชากรของตระกูลก็มีนับพัน

จากลานบ้านที่จี้เทียนซิงอาศัยอยู่ไปยังหอฝึกยุทธ์นั้นใช้เวลาถึงครึ่งชั่วโมงในการเดินผ่านลานบ้านสองแห่ง

จี้เทียนซิงเดินทางมาก็ได้พบกับสมาชิกตระกูลและบรรดาสาวใช้

แม่บ้านเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงเครือญาติตระกูล ญาติห่างๆไปจนถึงลูกหลานตระกูลสาขา

ถึงแม้ว่าพื้นฐานการบ่มเพาะของเขาจะถดถอยลงและตกเป็นตัวตลกของเมืองจักรวรรดิอย่างที่รู้กันดี

แต่อย่างไรก็ตาม เขายังคงเป็นคุณชายใหญ่สกุลจี้ คนรับใช้และผู้สนับสนุนตระกูลที่มีสถานะต่ำก็ยังไม่กล้าดูหมิ่นเขา

แม้ว่าผู้สนับสนุนบางคนมีความสุขในความโชคร้ายของผู้อื่น

แต่ต่อหน้าจี้เทียนซิงพวกเขาเหล่านั้นก็ยังต้องแสดงสีหน้าเคารพ

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง จี้เทียนซิงก็มาถึงจุดหมาย

ด้านนอกประตูหอฝึกยุทธ์มีลานสี่เหลี่ยมจัตุรัส

เด็กๆสกุลจี้มักจะฝึกฝนกันที่นี่

จี้เทียนซิงเป็นคุณชายใหญ่ที่โดดเด่นที่สุดและเป็นทายาทของหัวหน้าตระกูล

เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ได้ฝึกฝนปะปนกับเด็กทั่วไป

เขามีห้องลับส่วนตัวที่สร้างขึ้นโดยตระกูลจี้

เขาเพลิดเพลินไปกับทรัพยากรบ่มเพาะที่ดีที่สุด

เมื่อเขาได้เหยียบย่างลงบนจัตุรัส

ก็มีเด็กสาวตระกูลจี้หลายสิบคนที่สำแดงเพลงกระบี่ต่อหน้าเขา

ตลอดเวลาที่ผ่านมาเด็กสาวเหล่านี้นับว่าอยู่ห่างไกลจากจี้เทียนซิงมากเกินไป

พวกนางทำได้เพียงมองเขาจากที่ไกลๆและมองว่าเขาเป็นไอดอลในใจ

นานๆครั้งที่จี้เทียนซิงจะปรากฏตัวที่หอฝึกยุทธ์

และทุกครั้งที่มาบรรดาเด็กสาวก็จะมาห้อมล้อมประจบประแจงเขา

ใครก็ตามที่ได้รับคำชมและกำลังใจจากชายหนุ่มก็สามารถเอาไปเล่าให้ชาวบ้านฟังได้เป็นเดือนๆ

!

แต่ตอนนี้เมื่อได้เห็นจี้เทียนซิงเดินผ่านจัตุรัสไปยังหอฝึกยุทธ์

บรรดาหญิงสาวกลับยืนห่างออกไปและมองเขาด้วยการแสดงออกที่ซับซ้อน

ไม่มีใครเข้ามาใกล้เขาอีก ไม่มีใบหน้าที่ชื่นชมตื่นเต้น

มีเพียงเสียงกระซิบกระซาบและเสียงหัวเราะที่ดังกระทบโสตเท่านั้น....

จี้เทียนซิงไม่สนใจพวกนางและไม่โกรธอีกด้วย

เขาก้าวหนักๆเข้าสู่หอฝึกยุทธ์ของตระกูล

คนธรรมดาเท่านั้นที่จะกลัวเสียเกียรติยศและศักดิ์ศรี

คนธรรมดาเท่านั้นที่จะดูแคลนผู้ที่อ่อนแอ คนธรรมดาเท่านั้นที่จะมีความสุขกับความโชคร้าย

และคนธรรมดาเท่านั้นที่จะเยาะเย้ยผู้อื่น !

จี้เทียนซิงไม่สนใจเรื่องที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะมีพลังบ่มเพาะเพียงแค่ปรับแต่งกายาขั้นที่สาม

แต่เขาก็ยังมีหัวใจอันหนักแน่นเข้มแข็ง

ในสายตาของเขา

รุ่นเยาว์และเด็กสาวในลานฝึกยุทธ์ยังคงนับว่าอ่อนแอและไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง !

หลังจากเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ของหอฝึกยุทธ์  จี้เทียนซิงก็เดินตรงไปที่แท่นสูงตรงหัวมุม

มันเป็นแท่นหินสูงสามเมตรตั้งตระหง่าน เสาหินมีสีดำที่มีเม็ดหิน

มันเป็นศิลายุทธ์

จี้เทียนซิงเดินขึ้นไปที่แท่นและจ้องมองไปที่เสาหินเกลียว

สีหน้าของเขาเผยให้เห็นถึงความคาดหวัง

หลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ เขาก็ยื่นมือออกมาและทาบกดลงบนเสาหินเกลียว

เส้นสีดำของเสาหินทำปฏิกิริยา และมีแสงบางส่วนส่องสว่างสีขาวจางๆออกมา

แสงสีขาวแสดงถึงความแข็งแกร่งในระดับปรับแต่งกายา

และจำนวนเส้นก็แสดงถึงระดับที่เฉพาะเจาะจง

จี้เทียนซิงนับจำนวนเส้นในใจของเขา “หนึ่งสองสาม…หก

!  ปรับแต่งกายาขั้นที่ 6 !”

ผลลัพธ์ที่ออกมานี้ทำให้คิ้วของเขาเลิกขึ้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มและหัวใจเต้นแรงขึ้นหลายเท่า

“ข้าฝึกวิถีดวงใจกระบี่มาแค่สองวันเท่านั้นก็มาถึงระดับปรับแต่งกายาขั้นที่

6 จาก 3 เชียว ?”

“เดิมทีข้าคิดว่าต้องใช้เวลาร่วมปีกว่าจะไปถึงปรับแต่งกายาขั้นที่

6 จาก 3 ความเร็วในการบ่มเพาะเช่นนี้มันอัจฉริยะชัดๆ

เด็กสกุลจี้คนอื่นๆยังต้องใช้เวลาถึง 2-3 ปีด้วยซ้ำไป”

“ถึงแม้ว่าข้าจะบ่มเพาะใหม่อีกครั้ง

แต่ความรวดเร็วเช่นนี้มันเร็วเกินไปแล้ว

เพียงแค่สองวันก็เลื่อนระดับถึงสามขั้นย่อย นี่มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน”

ความมหัศจรรย์ของวิถีดวงใจกระบี่ทำให้จี้เทียนซิงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

มือของเขาไม่สามารถยับยั้งตนเองให้หยุดสั่นได้

เขาเต็มไปด้วยความคิดในใจว่า “จากความเร็วขนาดนี้

ข้าจะกลับไปถึงเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงก่อนเดือนหน้าและคาดว่าจะแก้แค้นนางได้ !”

หลังจากสงบใจลงแล้วจี้เทียนซิงก็ถอนมือของเขาออกมาอย่างรวดเร็วและรอยเส้นที่เสาหินเกลียวก็จางลง

เขามองไปรอบๆห้องโถงใหญ่และมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดเห็น วิถีดวงใจกระบี่เป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา เขาไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้ว่าตนเองกำลังฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

จากนั้นไม่นานจี้เทียนซิงก็ก้าวออกจากห้องโถงใหญ่และออกจากหอฝึกยุทธ์

ภายใต้สายตาที่จับจ้องของเด็กสกุลจี้หลายๆคน

“ปัญหากับตระกูลกู่ดูแล้วหนักหนามิน้อย

แต่ด้วยวิธีการของท่านพ่อเรื่องคงจบลงในไม่ช้า”

“ข้ามีเวลาพยายามอย่างหนักอีกเพียงเดือนเดียว

ข้าต้องฟื้นฟูพลังกลับมาโดยเร็วที่สุด !”

จี้เทียนซิงคิดคำนวณในใจอย่างเงียบงันและเตรียมกลับไปที่บ้านเพื่อฝึกฝนต่อไป

แต่ในขณะที่เขาเดินออกก็ได้พบกับรุ่นเยาว์ชุดฟ้าผู้หนึ่งที่ถือกระบี่สีทอง

ชายหนุ่มผู้นี้มีรุ่นราวคราวเดียวกับจี้เทียนซิง

ใบหน้าขาวหล่อเหลา รูปร่างสูงเหยียดตรง เขาดูราวกับคุณชายหนุ่มผู้กล้าหาญคนหนึ่ง

เขาเห็นจี้เทียนซิงและได้เผชิญหน้าตาจ้องตากัน ทันใดนั้นเขาก็เผยรอยยิ้มที่สุภาพอ่อนโยนขึ้นและก้าวยาวๆไปเบื้องหน้า

“พี่ใหญ่, ข้าตามหาท่านให้ควักเลย มิคาดว่าจะพบท่านที่นี่”

จี้เทียนซิงหยุดก้าวเท้า

เขาเลิกคิ้วขึ้นและกล่าวอย่างสงบเสงี่ยมว่า “จี้ห่าว

? เจ้าตามหาข้าทำไม ?"

จี้ห่าวเป็นบุตรชายของอาวุโสสองสกุลจี้ ซึ่งผู้อาวุโสสองก็คือลุงสองของจี้เทียนซิง

กล่าวรวบรัดได้ว่าจี้ห่าวลูกพี่ลูกน้องของเขา

อายุของจี้ห่าวและจี้เทียนซิงนั้นห่างกันเพียงหนึ่งปี

อีกทั้งพรสวรรค์โดยธรรมชาติในเชิงยุทธ์ก็มิใช่ชั่ว  มันแตะถึงระดับปรับแต่งกายาขั้นที่ 9

ในปีนี้และคาดว่าอีกไม่ช้าคงย่างเข้าสู่เขตแดนต้นกำเนิดแท้จริง

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจี้ห่าวสนิทชิดเชื้อกับจี้เทียนซิง

ชายหนุ่มปฏิบัติต่ออีกฝ่ายเป็นอย่างดี

และจี้ห่าวก็ให้ความเคารพนับถือต่อจี้เทียนซิงเป็นอย่างมาก

ในบรรดารุ่นเยาว์ยุคนี้ของครอบครัวตระกูลจี้

มีเพียงเขากับจี้ห่าวที่สนิทชิดเชื้อกันที่สุด

ในเวลานี้เอง

จี้ห่าวมาหาเขาและด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลห่วงใยว่า “พี่ใหญ่

นับตั้งแต่ที่ท่านประสบอุบัติเหตุ ข้าก็เป็นห่วงท่านมาตลอด”

“ช่วงที่ท่านหมดสติไปข้าไม่อยู่จึงไม่ทราบว่าท่านประสบเหตุ

พอข้าจะไปเยี่ยมที่บ้านท่าน สาวใช้ก็บอกข้าว่าท่านมิเป็นอันใดแล้วจึงมาตามท่าน”

นับตั้งแต่ที่จี้เทียนซิงเกิดเรื่อง

ทั้งตระกูลจี้และเหล่ารุ่นเยาว์ในเมืองจักรวรรดิต่างก็มีความสุขในความโชคร้ายของเขา

เดิมทีจี้เทียนซิงคิดว่าทัศนคติของจี้ห่าวที่มีต่อมันจะเปลี่ยนไป ชายหนุ่มคาดไม่ถึงว่าจี้ห่าวจะยังคงจริงใจและเป็นห่วงเป็นใยมันเหมือนเมื่อก่อน

ความจริงใจของจี้ห่าวทำให้หัวใจของจี้เทียนซิงรู้สึกอบอุ่นขึ้นไม่น้อย

มันพยักหน้าให้อีกฝ่ายและตอบว่า “น้องสอง ขอบใจเจ้าที่เป็นห่วง

ข้าไม่เป็นไรแล้ว”

“ก็ดี

ข้าเชื่อมั่นว่าพี่ใหญ่จะกลับไปสู่สูงสุดได้เหมือนก่อน !”

จี้ห่าวยิ้มและดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างแต่ไม่กล้าเอ่ยปากออกมา

จี้เทียนซิงตระหนักถึงสีหน้าที่ดูแปลกประหลาดของอีกฝ่ายจึงถามขึ้นว่า

“เกิดอะไรขึ้นหรือน้องสอง ? เจ้ามีอะไรจะพูด ?”

จี้ห่าวลังเลอยู่ครู่และเผยรอยยิ้มอันขมขื่นออกมา

“พี่ใหญ่ เดิมข้าไม่คิดจะบอกท่าน มันเป็นเรื่องยากที่จะกล่าว

เพียงแต่ท่านลุงไม่อยู่ข้าก็ทำอะไรไม่ได้จึงมาหาท่านเพื่อปรึกษาเรื่องนี้...  ”

“เรื่องอะไร

?”

จี้เทียนซิงหรี่ตาลงและเริ่มเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีขึ้น

จี้ห่าวตอบกลับตามความเป็นจริงว่า “พี่ใหญ่เรื่องมันเป็นเช่นนี้

เมื่อคืนก่อนหนึ่งในสาขาของโรงหล่อกระบี่แถบชานเมืองส่งข้อความมาว่าจะมีการคืนสินค้า

ซึ่งมูลค่าของมันเกินกว่าสองล้าน ...

จี้เทียนซิงมุ่นคิ้ว

ดวงตาของเขาแสดงออกถึงอาการแปลกใจและโกรธกริ้ว

“สินค้าจากโรงหล่อของเราถูกตีคืน

?”

โรงหล่อกระบี่ล้ำลึกทางใต้เป็นหนึ่งในสี่โรงงานผลิตอาวุธระดับสูงของสกุลจี้

ซึ่งเป็นโรงหล่อที่เชี่ยวชาญในการหลอมกระบี่ระดับล้ำลึกที่คมกล้า

อาวุธระดับล้ำลึกมีราคาสูงมาก  เพียงกระบี่ระดับล้ำลึกคุณภาพต่ำสุดก็ยังสามารถขายได้ถึง

30,000 เหรียญเงิน

และกระบี่ระดับล้ำลึกคุณภาพสูงจะขายได้ถึง 700,000-800,00

เลยทีเดียว

นอกจากนี้ ผลกำไรของการค้าอาวุธระดับล้ำลึกก็เป็นที่น่าประทับใจมากเช่นกัน กระบี่ระดับล้ำลึกที่มีมูลค่า 2 ล้านจะนำมาซึ่งผลกำไรให้สกุลจี้อย่างน้อยก็

600,000 เหรียญ

สินทรัพย์ครึ่งหนึ่งของตระกูลจี้สะสมได้มาจากโรงหล่อกระบี่ล้ำลึก

และโรงหล่อกระบี่ที่อยู่ทางใต้นั้นมักจะถูกจัดการดูแลโดยจี้ชางคง

เมื่อก่อนตอนที่จี้ชางคงไม่ว่างและจี้เทียนซิงที่เป็นกังวลต่อสุขภาพของบิดาก็มักจะเป็นผู้ไปดูแลงานแทนอยู่เสมอ

ในเมื่อตอนนี้ธุรกิจของตระกูลที่อยู่ในการดูแลของบิดากำลังประสบปัญหา

ใจของจี้เทียนซิงก็ไม่สงบ