ตอนที่ 368 สะเทือนไปทั่วพิภพ

ภายในห้องโถงอันเงียบสงัด

เวลาได้ผันผ่านไป

จี้เทียนซิงถูกห่อหุ้มไว้ด้วยแสงสีเงินของดวงดาว

ตามมาด้วยริ้วละอองแสงสีทองจางๆ ปลดปล่อยกลิ่นอายอันลึกลับงดงามออกไปทั่วบริเวณ

เขายังคงอยู่ในสภาวะหลับใหลด้วยสองตาที่ปิดสนิท

ปล่อยให้พลังแห่งดวงดาราแปรเปลี่ยนเลือดเนื้อเพื่อบรรเทาและพัฒนาเส้นชีพจรกระบี่ต่อไป

โลหิตสีทองของเทพกระบี่หยดนั้นค่อยๆสลายไปด้วยความเร็วอันเชื่องช้าและผสานเข้ากับสายเลือดของจี้เทียนซิง

สามวันได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในที่สุดจี้เทียนซิงก็ผสานโลหิตเทพกระบี่ได้อย่างสมบูรณ์

กระแสโลหิตที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายก็เสร็จสิ้นการเปลี่ยนแปลง

พลังแห่งดวงดาราก็อ่อนกำลังลง เสริมความแข็งแกร่งของเขาจนถึงขีดจำกัดในตอนนี้

หลังจากได้ปรับปรุงโครงสร้างร่างกายใหม่ทั้งหมด

เขาก็แตกต่างจากคนทั่วไปอย่างมหันต์

ไม่เพียงแค่พลังป้องกัน

ความแข็งแกร่งและความคล่องตัวที่เปลี่ยนไปเท่านั้น แต่ระดับความพอดีที่เป็นหนึ่งเดียวกับรัศมีพลังของฟ้าดินก็ใกล้จะถึงระดับสมบูรณ์แบบ

เขาสามารถดูดซับรัศมีพลังฟ้าดินได้เร็วกว่าเมื่อก่อนอย่างน้อยๆก็ห้าเท่า

!

หากเขานั่งสมาธิบ่มเพาะพลังเพียงหนึ่งวัน

พลังปราณที่สะสมไว้จะเท่ากับแต่ก่อนถึงห้าวัน

และการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในร่างกายของเขาก็คือการเปิดเส้นชีพจรใหม่ได้อีกสามเส้น

อีกทั้งมันได้ถูกบรรเทาเป็นเส้นชีพจรกระบี่ด้วยพลังแห่งดวงดาวไว้แล้วเสร็จสรรพ !

คนทั่วไปมีเส้นชีพจรลมปราณเพียงเก้าเส้นเท่านั้น

แต่จี้เทียนซิงมีถึงสิบสองเส้น

สิ่งนี้ไม่เพียงทำให้ปราณแท้ของเขาแข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

แต่มันยังช่วยให้กายมนุษย์และพรสวรรค์โดยกำเนิดถูกทะลวงผ่านข้อจำกัดแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์

!

แน่นอนว่าภายในสามวันที่ผ่านมานี้ ขอบเขตพลังยุทธ์ของเขาก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดด้วยอัตราที่สูงล้ำอย่างไม่น่าเชื่อ

บัดนี้เขามีความแข็งแกร่งในระดับปราณโอสถขั้นที่สาม

!

หลังจากผสานลูกปัดดวงดาราเข้าไป

เขาไม่เพียงแต่ตัดผ่านวิถีใจกระบี่ขั้นที่ห้า

แต่มันยังทำให้พลังกระโดดข้ามขอบเขตปราณโอสถขั้นที่หนึ่งและสองไปยังขั้นที่สามในรวดเดียว

ด้วยอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่อยิ่งนัก

!

ยอดยุทธ์ขอบเขตปราณโอสถทั่วไปหากจะตัดผ่านหนึ่งระดับต้องใช้เวลาบ่มเพาะสามถึงห้าปี

แต่เขาใช้เวลาเพียงสามวันในการทะลวงผ่านปราณจิตขั้นที่เก้าไปยังปราณโอสถขั้นที่สาม

อัตราความเร็วที่น่าตกตะลึงเยี่ยงนี้ราวกับพลิกฟ้าคว่ำพสุธา

การเก็บเกี่ยวที่ยิ่งใหญ่จากลูกปัดแห่งดวงดาราไม่เพียงทำให้เขาพัฒนาความแกร่งของร่างกายและผสานสายโลหิตเทพกระบี่

แต่มันยังช่วยร่นเวลาบ่มเพาะของเขาได้ถึงสิบปี !

ในที่สุดแสงสีเงินบนร่างของจี้เทียนซิงก็มัวแสงลง

ริ้วละอองสีทองจางๆบนพื้นผิวก็แปรเปลี่ยนไปเช่นกัน

ลูกปัดแห่งดวงดาราถูกเขาใช้ขัดเกลา

อีกทั้งโลหิตเทพกระบี่ก็ถูกหลอมรวมไปพร้อมกันด้วย

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีพลังแห่งดวงดาวอันยิ่งใหญ่ที่แฝงอยู่ตามแขนขาของเขาที่ตกค้างอยู่

มันยังคงเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเลือดเนื้อของเขาอีกทีละน้อย

จี้เทียนซิงผละจากห้วงฝัน

ค่อยๆดึงสติกลับมาและเปิดตาขึ้น

“วิ้ง !”

ในขณะนั้นเอง ดวงตาของเขาลึกซึ้งขึ้นราวกับดวงดาว

เปล่งแสงอันเฉียบคมและปลดปล่อยกลิ่นอายมั่นอกมั่นใจและแรงกดดันออกมา

รูปร่างหน้าตาของเขาเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย

เขาสูงขึ้นและตัวใหญ่ขึ้นด้วยเส้นสายกล้ามเนื้ออันเรียบเนียน

เรือนกายกระชับได้รูปอย่างสมบูรณ์แบบ

แม้แต่ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาอยู่แล้วก็ยิ่งดูดีขึ้นมากกว่าแต่ก่อน

มันแฝงไปด้วยความมั่นใจและหยิ่งทะนงของผู้มีความสามารถและพรสวรรค์ที่แท้จริง

ไม่ไกลจากจุดนั้น

หยุนเหยาได้เฝ้าปกป้องเขาอย่างเงียบๆอยู่ตลอดสามวันเต็ม

เมื่อเห็นเขาตื่นขึ้นมา นางก็รู้สึกโล่งอก

ดวงตาคู่งามตรึงแน่นไปที่ใบหน้าและตรวจสอบอีกฝ่ายอย่างถี่ถ้วน

หยุนเหยาสามารถรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเขาได้อย่างชัดเจนและทราบอีกด้วยว่าระดับพลังของเขาก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว

แม้กระทั่งตัดผ่านไปถึงขอบเขตปราณโอสถขั้นที่สาม !

ไม่เพียงแค่นั้น กลิ่นอายและรูปร่างของเขาก็เปลี่ยนไปเช่นกัน

มันดูกระชับสมบูรณ์แบบมากขึ้น มวลอารมณ์รอบกายที่แผ่ซ่านออกมาเต็มไปด้วยความมั่นใจและกดดันผู้คน

บรรยากาศรอบตัวที่เป็นเอกลักษณ์เยี่ยงนี้ นางเคยเห็นในบุรุษผู้แข็งแกร่งเพียงไม่กี่คนเท่านั้นในชีวิต

................

ในขณะเดียวกันกับที่จี้เทียนซิงตื่นจากห้วงฝันและเปิดตาขึ้น

เหนือท้องฟ้าสูงขึ้นไปลิบลิ่ว

ยากที่มนุษย์จะเอื้อมถึง

บนท้องนภาที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวอันพร่างพราวอัดแน่น

มีดาวเล็กๆดวงหนึ่งที่ทอแสงจางๆออกมา

แต่ทันใดนั้นดาวดวงนั้นกลับส่องสว่างเจิดจรัสยิ่ง ราวกับดอกไม้ที่กำลังผลิบาน

ดาวที่เคยทึบแสงพลันเปล่งประกายราวกับหมู่ดาวทั้งเจ็ดบนสวรรค์

แม้กระทั่งสามารถเทียบความสว่างไสวได้กับดวงจันทร์ !

ภายในนิกายกระบี่ฟ้า เหนือภูเขาลูกหนึ่ง

เทียนจี้เจิ้นเหรินผู้เต็มไปด้วยหนวดเคราขาวรกครึ้มกำลังยืนอยู่บนยอดตำหนักหลังหนึ่ง

ในมือถือแส้หางม้าและเงยหน้าขึ้นมองหมู่ดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างสงบ

ดวงตาของมันส่องแสงระยิบระยับพลางจ้องมองไปยังดาวดวงหนึ่ง

สังหรณ์บางอย่างผุดขึ้นในใจของมัน

ในขณะนี้เขาได้เห็นดาวดวงหนึ่งที่เคยส่องแสงจางๆจนแทบจะมอดดับที่อยู่ลึกในหมู่ดาว

จู่ๆดาวดวงนั้นพลันส่องแสงสว่างไสว ประชันแสงกับดวงดาวหลักทั้งเจ็ดบนท้องฟ้า

รูม่านตาของมันหดวูบด้วยความตกใจ

ใบหน้าของมันเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง

เขาจ้องไปที่ดาวดวงนั้นอย่างเหลือเชื่อ

คิ้วและหางตากระตุกบิดอย่างรุนแรง

นิ้วทั้งห้าบนมือขวาของมันขยับไปมาอย่างรวดเร็วราวกับกำลังร่ายมนต์คาถาหรือคิดคำนวณบางอย่าง

หลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนาน เมื่อมันได้ข้อสรุปจากการทำนาย

ใบหน้าของมันพลันบิดเบี้ยวดุร้ายราวกับอสูรกาย

ในดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยและเปลวเพลิงแห่งความแค้น

"ลูกปัดแห่งดวงดาราอยู่ในดินแดนแห่งนี้จริงๆด้วย

!"

"หากข้าคำนวณไม่ผิดพลาด

ไอ้เด็กระยำนั่นได้มันไปแล้ว !”

เทียนจี้เจิ้นเหรินเต็มไปด้วยโทสะ

มวล์อารมณ์กลายเป็นสลับซับซ้อน ทั้งตกใจ ตื่นตะลึงและโกรธา

"ในเมื่อลูกปัดแห่งดวงดาราอยู่ที่นี่

เวลาในการคืนชีพองค์จักรพรรดิปีศาจของพวกเราก็ใกล้มาถึงแล้ว  ข้าจะต้องส่งข่าวนี้ไปรายงานท่านราชามารโลหิต !”

มันพูดพึมพำเงียบๆในใจและผละจากไปอย่างรวดเร็ว

..........

ในเวลาเดียวกัน  ณ ลานแห่งเหล่าจักรพรรดิที่อยู่ห่างจากอาณาจักรเทียนเฉินออกไปไกลกว่าหนึ่งร้อยล้านไมล์

ตี้ซื่อกำลังนั่งไขว้ขาอยู่บนแท่นคว้าดาวที่สูงกว่าหมื่นฟุต

มันถือแส้หางม้าสีทองไว้ในมือ

สองตาปิดสนิทและโคจรพลังอย่างเงียบเชียบ ส่งสัมผัสมองลึกเข้าไปในหมู่ดาว

แท่นคว้าดาวเป็นสถานที่ที่ใกล้กับท้องฟ้ามากที่สุด

หากได้อยู่ที่นี่ก็เสมือนเพียงแค่เอื้อมมือออกไปก็สามารถคลื่นคล้อยดวงดาวได้

ภายใต้แท่นเป็นทะเลเมฆสีขาวเมฆเป็นเกลียวคลื่น

สายลมแรงบนแท่นกำลังคลุ้มคลั่ง เต็มไปด้วยความเย็นยะเยือกจนแทบจะดับคบเพลิงของดวงดาวทั้งเก้าที่อยู่รายรอบได้ทุกเวลา

เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพลังต่ำกว่าปราณฟ้าจะไม่สามารถอยู่บนแท่นคว้าดาวได้นานนัก

พวกมันอาจถูกพัดปลิวด้วยแรงลมหรือไม่ก็แข็งเป็นน้ำแข็ง

ตี้ซื่อสวมเสื้อคลุมสีม่วงและนั่งอยู่บนพื้นที่ที่เต็มไปด้วยเส้นสายอาคมอยู่หลายวัน

แม้จะอยู่ในสภาพนี้มานานแต่มันก็มิได้รู้สึกอึดอัดเหน็ดเหนื่อยใดๆ

บุคลระดับมันจะถูกทำร้ายด้วยสายลมแรงและน้ำแข็งได้อย่างไร

?

มันกำลังใช้ศาสตร์ลับในการไขปริศนา,

เฝ้าสังเกตดวงชะตาโดยการใช้เนตรฟ้าเพื่อทำนายความลับของสวรรค์

ทันใดนั้นเอง

ดาวเล็กๆทึบแสงดวงหนึ่งที่อยู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่พลันส่งแสงประกายแวววาวอย่างเจิดจรัส

แสงจากดาวดวงนั้นบดบังรัศมีของหมู่ดาวนับพัน

แม้กระทั่งสามารถประชันแสงกับดวงจันทราได้

สีหน้าของตี้ซื่อเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน

คนเบิกตาโพล่งอย่างรุนแรง สะบัดหน้าจ้องมองไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว  เพ่งสายตาไปยังดวงดาวที่สุกสกาวดวงนั้น

"ประกายแสงสีทอง ซ่อนเร้นอยู่ในแสงสีเงิน

ดาวดวงนั้น...... คือดาวชีวิตของเทพกระบี่ !"

ตี้ซื่อเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา คนกระซิบแผ่วเบาอย่างเหลือเชื่อ

"ดาวชะตาของเทพกระบี่นิ่งเงียบและหม่นแสงมาเป็นพันปีราวกับมอดดับสนิทไปแล้วแท้ๆ”

เหตุใดจู่ๆถึงได้ทอประกายเจิดจรัสขึ้นมาอีกครั้ง

……?”

"อย่าบอกนะว่า ... เทพกระบี่ปรากฏตัวบนโลกนี้อีกครั้ง

?”

เมื่อคิดคำนึงถึงความเป็นไปได้นี้  ผู้เข้มแข็งอย่างมันถึงกับแทบล้มทั้งยืน

หนวดเคราขาวโพลนของมันสั่นกระตุกครั้งแล้วครั้งเล่า

ด้วยความตกใจและตื่นเต้น

คนรีบผละจากแท่นคว้าเพื่อไปรายงานต่อตี้จวินอย่างรวดเร็ว