ผู้มาไม่มีเจตนาดี
ผู้มีเจตนาดีไม่มา
*ขอแก้ไขอักษรที่จารึกบนแผ่นศิลาของตอนที่แล้วเป็น
‘จากศิษย์อกตัญญู เย่หวง’ 不孝徒叶皇立
.........
เมื่อได้เห็นตัวอักษรสองบรรทัดที่จารึกไว้บนศิลาหินในสุสาน
จี้เทียนซิงก็ตกตะลึงไปทั่วสรรพางค์กาย
ดวงตาของเขาส่องประกายแปลกประหลาดพิสดารและทวีความรู้สึกซับซ้อนยิ่งขึ้น
หัวคิ้วของเขาบิดจนแทบมาชนกัน
ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มคิดอยู่เสมอว่าสุสานพันปีแห่งนี้คือสุสานของเย่หวง
(จักรพรรดิเย่)
เย่หวงได้รับอิทธิพลและคำชี้แนะจากเทพกระบี่
ดังนั้นสุสานโบราณแห่งนี้จึงมีความเกี่ยวข้องกับเทพกระบี่อย่างมีนัยยะ
แต่สิ่งที่ผิดคาดก็คือสุสานแห่งนี้แท้จริงแล้วคือสุสานของเทพกระบี่
?
เรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไร
?
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
จี้เทียนซิงเต็มไปด้วยข้อสงสัย
หลังจากผ่านไปนาน
เขาก็สูดหายใจลึกและสงบใจลง
เมื่อหันซ้ายแลขวาแล้วมองไม่เห็นผู้ใดอยู่ในระยะใกล้ๆ
ชายหนุ่มพลันนั่งขัดสมาธิลงบนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง
จิตสำนึกของเขาพุ่งดิ่งเข้าไปที่จุดตันเถียนและผ่านหลุมดำลึกลับในทันทีเพื่อเข้าสู่สุสานเทพกระบี่
“ฟุ่บ !”
สติสัมปชัญญะของเขากลายเป็นร่างโปร่งแสง
ปรากฏขึ้นในพื้นที่สีเทาที่ทั้งแห้งและเย็น
เขาโบยบินจากดินแดนรกร้างและไม่นานก็ไปถึงอนุสาวรีย์กระบี่ขนาดใหญ่ที่ตั้งตะหง่านทะลุท้องนภา
“ผู้อาวุโสจางเทียน ! ข้ามีเรื่องสำคัญคิดถามท่าน”
จี้เทียนซิงส่งเสียงตะโกนเรียกจางเทียนอยู่หลายคำ
จากนั้นไม่นานอากาศก็เริ่มผันผวนรอบๆอนุเสาวรีย์กระบี่และแว่วเสียงของจางเทียนดังขึ้นมา
"มีเรื่องอะไร ? ไหนว่ามา"
จี้เทียนซิงรีบบอกจางเทียนเกี่ยวกับตัวอักษรทั้งสิบสองคำที่เขาได้เห็น
จากนั้นก็ถามว่า “ผู้อาวุโสจางเทียน
ที่นี่ก็มีสุสานเทพกระบี่อีกแห่งหนึ่ง เรื่องเช่นนี้เป็นไปได้อย่างไร ?”
จางเทียนตอบกลับอย่างเคร่งขรึมโดยไร้ซึ่งความลังเลแม้แต่น้อยว่า
“ปลอม !"
“สุสานเทพกระบี่ที่แท้จริงมีเพียงหนึ่งเดียว
ซึ่งก็คือที่นี่ นอกนั้นที่เหลือทั้งหมดล้วนเป็นของปลอม”
โทนเสียงของเขาไต่ระดับอย่างหนักแน่นจริงจังและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัย
จี้เทียนซิงก็คาดคิดเช่นเดียวกัน
เขาพยักหน้าเสริมและกล่าวว่า “ข้าก็คิดเช่นนั้น”
“อย่างไรก็ตาม เหตุใดเย่หวงถึงได้สร้างสุสานเทพกระบี่ปลอมขึ้นมาที่นี่
?”
จางเทียนเงียบไปครู่หนึ่ง
จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้าเกรงว่าคำตอบของคำถามนี้จะรู้ได้ก็ต่อเมื่อเจ้าถอดรหัสและทำลายมหาข่ายปราณจนกระทั่งเข้าไปสำรวจข้างในสุสานได้เสียก่อน”
จี้เทียนซิงพยักหน้า
จากนั้นก็ถามคำถามอีกสองสามข้อและออกจากสถานที่แห่งนี้ไป
“วูบ !”
จิตสำนึกของเขากลับคืนสู่กายหยาบ
เขานั่งอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ ดวงตาจ้องมองไปที่มหาข่ายปราณระดับสวรรค์ที่อยู่เบื้องหน้า
ในสายตาของจี้เทียนซิง
สุสานเทพกระบี่ปลอมนี้เพิ่มพูนความลึกลับให้ชวนสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ
แน่นอนว่ามันต้องซ่อนความลับบางประการเอาไว้เป็นแน่
“ข้าต้องทะลวงมหาข่ายปราณนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด
ข้าต้องเข้าไปดูให้เห็นกับตาว่าแท้จริงแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
“น่าเสียดาย
แม้ข้าจะแตกฉานในการถอดรหัสและทำลายข่ายปราณนี้แล้ว
แต่กำลังของข้านั้นยังไม่เพียงพอ..... เฮ้อ”
จี้เทียนซิงกระซิบแผ่วเบาอย่างเงียบงัน
เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจกับความไร้พลังของตนเอง
หลังจากนั้นไม่นาน
ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นเดินกลับไปที่จัตุรัสที่พังทลาย เมื่อมาถึงเขาทักทายชูไฮว่ซานและเดินออกจากสุสาน
เขาปีนหน้าผาไปตามบันไดเชือกและกลับออกมาที่เดิม
เมื่อก้าวออกจากหลุมภายในเหมือง
เขาก็เรียกเฉียนเยวี่ยออกมาและขึ้นขี่หลังมันเดินทางกลับไปยังนิกายพันธมิตรสวรรค์
ทันทีที่กลับมาถึงนิกาย
เวลาก็ได้ล่วงเลยไปจนถึงช่วงเย็น
การจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์ได้จบลงแล้ว
ซึ่งการจัดอันดับในปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงหลายประการ
ยอดฝีมืออันดับสูงในอดีตหลายคนได้ตกอันดับลง
แทนที่ไปด้วยศิษย์ฝ่ายในรุ่นใหม่มากมาย
แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรค่าให้ใส่ใจและต้องสนใจ
เหตุผลสืบเนื่องมาจากการประลองทั้งสามรอบของจี้เทียนซิงที่เหล่าศิษย์เอาไปพูดคุยกันไม่หยุดปากตลอดทั้งวัน
………..
เมื่อจี้เทียนซิงกลับมาถึงตำหนักเทียนซิงและเข้าไปที่ห้องเพื่อจะพักผ่อน
ทันใดนั้นสาวใช้เสี่ยวซวงก็มาเคาะประตูพลางรายงานว่า
“ศิษย์พี่จี้เจ้าคะ มีศิษย์พี่สองท่านมาขอพบท่าน”
จี้เทียนซิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วด้วยความสงสัยอยู่บ้างว่า
“มีศิษย์พี่สองคนมาเยี่ยมข้าพร้อมกัน ? เป็นใครกันนะ
?”
หลังจากลังเลเล็กน้อยเขาก็บอกกับเสี่ยวซวงว่า
“บอกให้พวกเขาเข้ามา !”
จากนั้นไม่นานเสี่ยวซวงก็นำชายหนุ่มในชุดคลุมสีขาวสองคนเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น
จี้เทียนซิงเดินเข้าไปและได้เห็นว่าชายหนุ่มชุดขาวสองคนนั้นคือศิษย์ฝ่ายในของนิกาย
อย่างไรก็ตามเขารู้สึกว่าอีกฝ่ายค่อนข้างแปลกหน้า
พวกมันคือคนที่เขาไม่รู้จักมักคุ้นมาก่อน
ทันทีที่ศิษย์ฝ่ายในสองคนนั้นเห็นจี้เทียนซิง
พวกมันกำหมัดคารวะด้วยความเคารพอย่างสูงและกล่าวว่า “คารวะศิษย์พี่จี้ ขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย !”
“ศิษย์พี่จี้
การประลองทั้งสามรอบของท่านในวันนี้ช่างน่าทึ่งและตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก
ท่านเป็นจอมยุทธ์ผู้กล้าหาญไร้เทียมทาน !”
“ศิษย์พี่จี้
พวกเราทั้งสองขอถือวิสาสะมาเยี่ยมเยียนท่านเพื่อแสดงความยินดีที่ท่านได้ตำแหน่งอันดับสองของนิกาย
นี่เป็นเพียงของขวัญเล็กน้อยจากพวกเรา หวังว่าศิษย์พี่จี้จะยอมรับ......”
ศิษย์ทั้งสองกล่าวชมเชยจี้เทียนซิงไม่ขาดปาก
พวกมันมาที่นี่เพื่อแสดงความยินดี
ถึงแม้ว่าจี้เทียนซิงจะไม่ค่อยพอใจความประจบสอพลอของทั้งสองคนนี้
แต่เขาก็มิได้เอ่ยคำพูดไม่ดีออกไป
เขาจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเฉยชาและปฏิเสธของขวัญของทั้งสอง
จากนั้นก็ให้สาวใช้เสี่ยวซวงส่งพวกมันกลับไป
ศิษย์สองคนนั้นเต็มไปด้วยความเสียใจ
พวกมันเดินคอตกออกจากตำหนักเทียนซิงไป ในใจก็พยายามครุ่นคิด
หรือว่าของขวัญที่พวกมันมอบให้นั้นน้อยเกินไปจนศิษย์พี่จี้ไม่เห็นคุณค่ากันนะ
?
ไม่นานหลังจากสองคนแรกจากไป
ศิษย์ฝ่ายในอีกหลายคนก็จับกลุ่มกันมาเยี่ยมเยียนจี้เทียนซิงพร้อมของติดไม้ติดมือ
จุดประสงค์และคำพูดของศิษย์กลุ่มที่สองนี้เหมือนกับกลุ่มแรกอย่างไม่ผิดเพี้ยน
กล่าวได้ว่าพวกมันต้องการสร้างความสนิทชิดเชื้อและสร้างสัมพันธ์อันดีกับจี้เทียนซิง
พวกมันอาจมิได้มีความคิดขอความช่วยเหลือใดๆในตอนนี้
แต่การที่ได้รู้จักคุ้นเคยกับคนดังอย่างจี้เทียนซิงไว้แต่เนิ่นๆนั้นย่อมเป็นการดีต่ออนาคตของพวกมัน
ท้ายที่สุดแล้ว
จี้เทียนซิงไม่เพียงแค่เป็นศิษย์สายตรงของประมุขนิกาย
แต่เขายังได้รับความนิยมชมชอบเป็นอย่างสูงในวันนี้
จากการสร้างสถิติชนะสามครั้งรวดจนได้อันดับที่สองในรายชื่อขั้นสวรรค์ของนิกาย
ตอนนี้เขาเป็นอัจฉริยะชั้นยอดที่โด่งดังที่สุดในนิกายที่เปล่งรัศมีเจิดจ้าจนแทบจะบดบังศิษย์พี่ใหญ่อย่างหยุนเหยา
ตราบใดที่จี้เทียนซิงหรือหยุนเหยายังคงเดินไปในเส้นทางนี้
ย่อมมีคนใดคนหนึ่งประสบความสำเร็จในการขึ้นเป็นประมุขนิกายคนต่อไปในอนาคต
อย่างไรก็ตาม
จี้เทียนซิงมองออกถึงความคิดและจิตใจของศิษย์เหล่านี้ผ่านการจ้องหน้าเพียงวูบเดียว
เขากล่าวกับทั้งหมดเพียงสองสามประโยคด้วยสีหน้าไม่แยแส
จากนั้นก็เชิญทั้งสามกลับไป
สำหรับของขวัญจากคนกลุ่มนั้น
เขามิได้สนใจแม้จะมองและบอกให้พวกมันนำกลับไป
ต่อมาก็ยังคงมีศิษย์ฝ่ายในอีกกลุ่มหนึ่งที่มุ่งหน้ามายังตำหนักเทียนซิงพร้อมของขวัญเต็มไม้เต็มมือ
จี้เทียนซิงถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายและรำคาญ
เขาขี้เกียจเกินกว่าจะอยู่พูดคุยกับเหล่าศิษย์พวกนี้ให้เสียเวลา
ดังนั้นเขาจึงรีบเดินออกไปจากตำหนักเทียนซิงเพื่อหลีกหนีปัญหากวนใจ
......
ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า
รัตติกาลกำลังจะมาถึง
ชายหนุ่มไร้เรื่องราวให้กระทำ
ทันใดนั้นเขานึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาได้จึงเกิดความคิดขึ้นในใจ
“จริงด้วย
ข้าเคยสัญญากับเอี๋ยนเอ๋อร์เอาไว้ว่าหากมีเวลาจะไปเยี่ยม
นี่ก็ผ่านมานานนับเดือนแล้ว ข้าเกือบลืมไปเสียสนิทเลย...... ”
เมื่อคิดได้ดังนี้เขาจึงขึ้นขี่เฉียนเยวี่ยบินออกจากนิกายพันธมิตรสวรรค์และมุ่งหน้าไปยังภูเขาอู๋หยา
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม
จี้เทียนซิงก็มาถึงภูเขาอู๋หยาอย่างรวดเร็ว
เฉียนเยวี่ยบินลงมาจอดที่นอกถ้ำ
จากนั้นก็กลับเข้าไปนอนในถุงมิติ ส่วนจี้เทียนซิงก็เดินเข้าไปในถ้ำเพียงลำพัง
เมื่อไฟที่ส่องสว่างในกำแพงถ้ำสว่างขึ้นและสว่างขึ้น
อุณหภูมิก็ยิ่งร้อนมากขึ้นไปด้วย
เมื่อจี้เทียนซิงเดินมาถึงส่วนลึกสุดของถ้ำ
เขาก็สัมผัสได้ว่าผนังถ้ำทั้งสองข้างนั้นเริ่มเกิดเปลวไฟในอากาศที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved