ตอนที่ 305

ผู้มาไม่มีเจตนาดี

ผู้มีเจตนาดีไม่มา

*ขอแก้ไขอักษรที่จารึกบนแผ่นศิลาของตอนที่แล้วเป็น

‘จากศิษย์อกตัญญู เย่หวง’  不孝徒叶皇立

.........

เมื่อได้เห็นตัวอักษรสองบรรทัดที่จารึกไว้บนศิลาหินในสุสาน

จี้เทียนซิงก็ตกตะลึงไปทั่วสรรพางค์กาย

ดวงตาของเขาส่องประกายแปลกประหลาดพิสดารและทวีความรู้สึกซับซ้อนยิ่งขึ้น

หัวคิ้วของเขาบิดจนแทบมาชนกัน

ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มคิดอยู่เสมอว่าสุสานพันปีแห่งนี้คือสุสานของเย่หวง

(จักรพรรดิเย่)

เย่หวงได้รับอิทธิพลและคำชี้แนะจากเทพกระบี่

ดังนั้นสุสานโบราณแห่งนี้จึงมีความเกี่ยวข้องกับเทพกระบี่อย่างมีนัยยะ

แต่สิ่งที่ผิดคาดก็คือสุสานแห่งนี้แท้จริงแล้วคือสุสานของเทพกระบี่

?

เรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไร

?

เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

จี้เทียนซิงเต็มไปด้วยข้อสงสัย

หลังจากผ่านไปนาน

เขาก็สูดหายใจลึกและสงบใจลง

เมื่อหันซ้ายแลขวาแล้วมองไม่เห็นผู้ใดอยู่ในระยะใกล้ๆ

ชายหนุ่มพลันนั่งขัดสมาธิลงบนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง

จิตสำนึกของเขาพุ่งดิ่งเข้าไปที่จุดตันเถียนและผ่านหลุมดำลึกลับในทันทีเพื่อเข้าสู่สุสานเทพกระบี่

“ฟุ่บ !”

สติสัมปชัญญะของเขากลายเป็นร่างโปร่งแสง

ปรากฏขึ้นในพื้นที่สีเทาที่ทั้งแห้งและเย็น

เขาโบยบินจากดินแดนรกร้างและไม่นานก็ไปถึงอนุสาวรีย์กระบี่ขนาดใหญ่ที่ตั้งตะหง่านทะลุท้องนภา

“ผู้อาวุโสจางเทียน ! ข้ามีเรื่องสำคัญคิดถามท่าน”

จี้เทียนซิงส่งเสียงตะโกนเรียกจางเทียนอยู่หลายคำ

จากนั้นไม่นานอากาศก็เริ่มผันผวนรอบๆอนุเสาวรีย์กระบี่และแว่วเสียงของจางเทียนดังขึ้นมา

"มีเรื่องอะไร ? ไหนว่ามา"

จี้เทียนซิงรีบบอกจางเทียนเกี่ยวกับตัวอักษรทั้งสิบสองคำที่เขาได้เห็น

จากนั้นก็ถามว่า “ผู้อาวุโสจางเทียน

ที่นี่ก็มีสุสานเทพกระบี่อีกแห่งหนึ่ง เรื่องเช่นนี้เป็นไปได้อย่างไร ?”

จางเทียนตอบกลับอย่างเคร่งขรึมโดยไร้ซึ่งความลังเลแม้แต่น้อยว่า

“ปลอม !"

“สุสานเทพกระบี่ที่แท้จริงมีเพียงหนึ่งเดียว

ซึ่งก็คือที่นี่ นอกนั้นที่เหลือทั้งหมดล้วนเป็นของปลอม”

โทนเสียงของเขาไต่ระดับอย่างหนักแน่นจริงจังและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัย

จี้เทียนซิงก็คาดคิดเช่นเดียวกัน

เขาพยักหน้าเสริมและกล่าวว่า “ข้าก็คิดเช่นนั้น”

“อย่างไรก็ตาม เหตุใดเย่หวงถึงได้สร้างสุสานเทพกระบี่ปลอมขึ้นมาที่นี่

?”

จางเทียนเงียบไปครู่หนึ่ง

จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้าเกรงว่าคำตอบของคำถามนี้จะรู้ได้ก็ต่อเมื่อเจ้าถอดรหัสและทำลายมหาข่ายปราณจนกระทั่งเข้าไปสำรวจข้างในสุสานได้เสียก่อน”

จี้เทียนซิงพยักหน้า

จากนั้นก็ถามคำถามอีกสองสามข้อและออกจากสถานที่แห่งนี้ไป

“วูบ !”

จิตสำนึกของเขากลับคืนสู่กายหยาบ

เขานั่งอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ ดวงตาจ้องมองไปที่มหาข่ายปราณระดับสวรรค์ที่อยู่เบื้องหน้า

ในสายตาของจี้เทียนซิง

สุสานเทพกระบี่ปลอมนี้เพิ่มพูนความลึกลับให้ชวนสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ

แน่นอนว่ามันต้องซ่อนความลับบางประการเอาไว้เป็นแน่

“ข้าต้องทะลวงมหาข่ายปราณนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด

ข้าต้องเข้าไปดูให้เห็นกับตาว่าแท้จริงแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”

“น่าเสียดาย

แม้ข้าจะแตกฉานในการถอดรหัสและทำลายข่ายปราณนี้แล้ว

แต่กำลังของข้านั้นยังไม่เพียงพอ..... เฮ้อ”

จี้เทียนซิงกระซิบแผ่วเบาอย่างเงียบงัน

เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจกับความไร้พลังของตนเอง

หลังจากนั้นไม่นาน

ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นเดินกลับไปที่จัตุรัสที่พังทลาย เมื่อมาถึงเขาทักทายชูไฮว่ซานและเดินออกจากสุสาน

เขาปีนหน้าผาไปตามบันไดเชือกและกลับออกมาที่เดิม

เมื่อก้าวออกจากหลุมภายในเหมือง

เขาก็เรียกเฉียนเยวี่ยออกมาและขึ้นขี่หลังมันเดินทางกลับไปยังนิกายพันธมิตรสวรรค์

ทันทีที่กลับมาถึงนิกาย

เวลาก็ได้ล่วงเลยไปจนถึงช่วงเย็น

การจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์ได้จบลงแล้ว

ซึ่งการจัดอันดับในปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงหลายประการ

ยอดฝีมืออันดับสูงในอดีตหลายคนได้ตกอันดับลง

แทนที่ไปด้วยศิษย์ฝ่ายในรุ่นใหม่มากมาย

แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรค่าให้ใส่ใจและต้องสนใจ

เหตุผลสืบเนื่องมาจากการประลองทั้งสามรอบของจี้เทียนซิงที่เหล่าศิษย์เอาไปพูดคุยกันไม่หยุดปากตลอดทั้งวัน

………..

เมื่อจี้เทียนซิงกลับมาถึงตำหนักเทียนซิงและเข้าไปที่ห้องเพื่อจะพักผ่อน

ทันใดนั้นสาวใช้เสี่ยวซวงก็มาเคาะประตูพลางรายงานว่า

“ศิษย์พี่จี้เจ้าคะ มีศิษย์พี่สองท่านมาขอพบท่าน”

จี้เทียนซิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วด้วยความสงสัยอยู่บ้างว่า

“มีศิษย์พี่สองคนมาเยี่ยมข้าพร้อมกัน ? เป็นใครกันนะ

?”

หลังจากลังเลเล็กน้อยเขาก็บอกกับเสี่ยวซวงว่า

“บอกให้พวกเขาเข้ามา !”

จากนั้นไม่นานเสี่ยวซวงก็นำชายหนุ่มในชุดคลุมสีขาวสองคนเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น

จี้เทียนซิงเดินเข้าไปและได้เห็นว่าชายหนุ่มชุดขาวสองคนนั้นคือศิษย์ฝ่ายในของนิกาย

อย่างไรก็ตามเขารู้สึกว่าอีกฝ่ายค่อนข้างแปลกหน้า

พวกมันคือคนที่เขาไม่รู้จักมักคุ้นมาก่อน

ทันทีที่ศิษย์ฝ่ายในสองคนนั้นเห็นจี้เทียนซิง

พวกมันกำหมัดคารวะด้วยความเคารพอย่างสูงและกล่าวว่า “คารวะศิษย์พี่จี้ ขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย !”

“ศิษย์พี่จี้

การประลองทั้งสามรอบของท่านในวันนี้ช่างน่าทึ่งและตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก

ท่านเป็นจอมยุทธ์ผู้กล้าหาญไร้เทียมทาน !”

“ศิษย์พี่จี้

พวกเราทั้งสองขอถือวิสาสะมาเยี่ยมเยียนท่านเพื่อแสดงความยินดีที่ท่านได้ตำแหน่งอันดับสองของนิกาย

นี่เป็นเพียงของขวัญเล็กน้อยจากพวกเรา หวังว่าศิษย์พี่จี้จะยอมรับ......”

ศิษย์ทั้งสองกล่าวชมเชยจี้เทียนซิงไม่ขาดปาก

พวกมันมาที่นี่เพื่อแสดงความยินดี

ถึงแม้ว่าจี้เทียนซิงจะไม่ค่อยพอใจความประจบสอพลอของทั้งสองคนนี้

แต่เขาก็มิได้เอ่ยคำพูดไม่ดีออกไป

เขาจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเฉยชาและปฏิเสธของขวัญของทั้งสอง

จากนั้นก็ให้สาวใช้เสี่ยวซวงส่งพวกมันกลับไป

ศิษย์สองคนนั้นเต็มไปด้วยความเสียใจ

พวกมันเดินคอตกออกจากตำหนักเทียนซิงไป ในใจก็พยายามครุ่นคิด

หรือว่าของขวัญที่พวกมันมอบให้นั้นน้อยเกินไปจนศิษย์พี่จี้ไม่เห็นคุณค่ากันนะ

?

ไม่นานหลังจากสองคนแรกจากไป

ศิษย์ฝ่ายในอีกหลายคนก็จับกลุ่มกันมาเยี่ยมเยียนจี้เทียนซิงพร้อมของติดไม้ติดมือ

จุดประสงค์และคำพูดของศิษย์กลุ่มที่สองนี้เหมือนกับกลุ่มแรกอย่างไม่ผิดเพี้ยน

กล่าวได้ว่าพวกมันต้องการสร้างความสนิทชิดเชื้อและสร้างสัมพันธ์อันดีกับจี้เทียนซิง

พวกมันอาจมิได้มีความคิดขอความช่วยเหลือใดๆในตอนนี้

แต่การที่ได้รู้จักคุ้นเคยกับคนดังอย่างจี้เทียนซิงไว้แต่เนิ่นๆนั้นย่อมเป็นการดีต่ออนาคตของพวกมัน

ท้ายที่สุดแล้ว

จี้เทียนซิงไม่เพียงแค่เป็นศิษย์สายตรงของประมุขนิกาย

แต่เขายังได้รับความนิยมชมชอบเป็นอย่างสูงในวันนี้

จากการสร้างสถิติชนะสามครั้งรวดจนได้อันดับที่สองในรายชื่อขั้นสวรรค์ของนิกาย

ตอนนี้เขาเป็นอัจฉริยะชั้นยอดที่โด่งดังที่สุดในนิกายที่เปล่งรัศมีเจิดจ้าจนแทบจะบดบังศิษย์พี่ใหญ่อย่างหยุนเหยา

ตราบใดที่จี้เทียนซิงหรือหยุนเหยายังคงเดินไปในเส้นทางนี้

ย่อมมีคนใดคนหนึ่งประสบความสำเร็จในการขึ้นเป็นประมุขนิกายคนต่อไปในอนาคต

อย่างไรก็ตาม

จี้เทียนซิงมองออกถึงความคิดและจิตใจของศิษย์เหล่านี้ผ่านการจ้องหน้าเพียงวูบเดียว

เขากล่าวกับทั้งหมดเพียงสองสามประโยคด้วยสีหน้าไม่แยแส

จากนั้นก็เชิญทั้งสามกลับไป

สำหรับของขวัญจากคนกลุ่มนั้น

เขามิได้สนใจแม้จะมองและบอกให้พวกมันนำกลับไป

ต่อมาก็ยังคงมีศิษย์ฝ่ายในอีกกลุ่มหนึ่งที่มุ่งหน้ามายังตำหนักเทียนซิงพร้อมของขวัญเต็มไม้เต็มมือ

จี้เทียนซิงถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายและรำคาญ

เขาขี้เกียจเกินกว่าจะอยู่พูดคุยกับเหล่าศิษย์พวกนี้ให้เสียเวลา

ดังนั้นเขาจึงรีบเดินออกไปจากตำหนักเทียนซิงเพื่อหลีกหนีปัญหากวนใจ

......

ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า

รัตติกาลกำลังจะมาถึง

ชายหนุ่มไร้เรื่องราวให้กระทำ

ทันใดนั้นเขานึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาได้จึงเกิดความคิดขึ้นในใจ

“จริงด้วย

ข้าเคยสัญญากับเอี๋ยนเอ๋อร์เอาไว้ว่าหากมีเวลาจะไปเยี่ยม

นี่ก็ผ่านมานานนับเดือนแล้ว ข้าเกือบลืมไปเสียสนิทเลย...... ”

เมื่อคิดได้ดังนี้เขาจึงขึ้นขี่เฉียนเยวี่ยบินออกจากนิกายพันธมิตรสวรรค์และมุ่งหน้าไปยังภูเขาอู๋หยา

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม

จี้เทียนซิงก็มาถึงภูเขาอู๋หยาอย่างรวดเร็ว

เฉียนเยวี่ยบินลงมาจอดที่นอกถ้ำ

จากนั้นก็กลับเข้าไปนอนในถุงมิติ ส่วนจี้เทียนซิงก็เดินเข้าไปในถ้ำเพียงลำพัง

เมื่อไฟที่ส่องสว่างในกำแพงถ้ำสว่างขึ้นและสว่างขึ้น

อุณหภูมิก็ยิ่งร้อนมากขึ้นไปด้วย

เมื่อจี้เทียนซิงเดินมาถึงส่วนลึกสุดของถ้ำ

เขาก็สัมผัสได้ว่าผนังถ้ำทั้งสองข้างนั้นเริ่มเกิดเปลวไฟในอากาศที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ