นี่คือลิขิตฟ้า
วิกฤตชีวิตและความตายที่ผ่านมามากมายทำให้จี้เทียนซิงกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีความตื่นตัวมาก
เขาสังเกตเห็นได้ทันทีว่ามีผู้ฝึกยุทธ์หลายคนอยู่ในป่ามืด
ทุกคนกุมอาวุธอันแหลมคมไว้พร้อมสรรพและประชิดใกล้เข้ามาโดยไม่รู้ตัว
เมื่อตระหนักว่าสถานการณ์ไม่เข้าท่า
เขาพุ่งออกจากแผ่นหินและวิ่งหนีลงเขาอย่างไร้ความลังเล
ในเทือกเขาที่ไร้ผู้อยู่อาศัย
การที่มีผู้ฝึกยุทธ์ใดๆปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลันและมีที่มาไม่ชัดเจนเยี่ยงนี้เขาจำเป็นต้องกันไว้ก่อน
“ฟุ่บ !”
ชายหนุ่มใช้ย่างก้าวไร้เงา
จนเกิดเป็นลำแสงแวบหนึ่งที่ทะยานจากพื้นที่โล่งเข้าไปในป่าทึบอีกฝาก
ทันทีที่เขาออกจากพื้นที่โล่ง
ผู้ฝึกยุทธ์ไม่ทราบเจตนากลุ่มนั้นก็ส่งเสียงโห่ร้องพลันเร่งฝีเท้าตามล่าอย่างรวดเร็ว
“ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ !”
หลังจากนั้นเงาร่างสีดำได้พุ่งผ่านพื้นที่โล่งราวกับภูตผียามราตรีและตามติดไล่ล่าจี้เทียนซิงด้วยความเร็วสูงสุด
เงาดำเหล่านั้นล้วนกุมกระบี่ที่ส่องแสงเย็นยะเยือกไว้ในมือ
พวกมันทั้งหมดมีด้วยกันสิบคน แต่ละคนมีความสูงต่ำแตกต่างกันออกไปและพร้อมกับจิตสังหารที่แผ่ซ่านออกมา
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือพวกมันทุกคนต่างก็มีพลังในขอบเขตปราณจิตขั้นสูง
ความเร็วที่พวกมันทุกคนวิ่งผ่านป่าบนภูเขานั้นก็ยังรวดเร็วสูสีกับจี้เทียนซิง
เก้าจากสิบคนสวมชุดสีดำ
มีเพียงหัวหน้าของพวกมันเท่านั้นที่สวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินและมีลักษณะแข็งแรงกำยำ
คนผู้นั้นวิ่งอยู่หน้าสุด
สายตาจับจ้องไปที่จี้เทียนซิงตลอดทาง ใบหน้าของมันมืดครึ้ม ดวงตาเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้นและจิตสังหาร
“เจ้าเดรัจฉานน้อย
ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะตื่นตัวไวขนาดนี้ ! อย่างไรก็เสีย
บนเทือกเขาแห่งนี้ ข้าจะดูซิว่าเจ้าจะหนีไปไหนพ้น !”
มันคำรามเสียงเย็น
กระบี่ในมือถูกกำไว้แน่นและเกร็งกล้ามเนื้อออกมาด้วยพลังมหาศาล
มันรอเวลานี้มาเกือบทั้งวัน
!
ครึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็ว
มือสังหารทุกคนไล่ตามจี้เทียนซิงจนกระทั่งวิ่งไปถึงที่เชิงเขา
ณ จุดนี้ทั้งสองฝ่ายยังคงรักษาระยะห่างไว้ได้
100 เมตร
ความเร็วของจี้เทียนซิงมิได้ถดถอยลง
เขารักษาความเร็วไว้อย่างต่อเนื่อง
ชายในเสื้อคลุมสีน้ำเงินเห็นสถานการณ์นี้จึงคำรามสั่งการออกไปอย่างเด็ดขาดว่า
“ต้วนหมิง ! เจ้าและพี่น้องทั้งสามคนที่มีท่าร่างรวดเร็วที่สุด
จงใช้ทุกอย่างที่มีไล่ตามเดรัจฉานน้อยตัวนั้น
ทำให้แน่ใจว่าจะหยุดมันไว้ได้ !”
เมื่อสิ้นเสียงชายสวมชุดดำรูปร่างผอมแววตาเย็นชาที่อยู่ข้างหลังเขาก็ก้าวออกมาและตอบรับทันทีว่า
“ทราบแล้ว !”
จากนั้นชายร่างผอมชุดดำทั้งสามก็เร่งความเร็วตามติดเป้าหมายในทันที
............
ในขณะเดียวกันจี้เทียนซิงกำลังเคลื่อนตัวผ่านป่าทึบ
เขาอาศัยความยืดหยุ่นวิ่งฝ่าสิ่งกีดขวางระหว่างทาง
สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมและมืดมน
แววตาเต็มไปด้วยความงุนงงสงสัยพลางสบถออกมาว่า “มารดามันเถอะ ! จู่ๆก็มียอดฝีมือสิบคนคิดจะสังหารข้า
เจ้าพวกนี้เป็นใครมาจากไหนกันแน่ ?”
โดยไม่รอให้เขาเข้าใจปัญหานี้
เสียงฝีเท้าที่ไล่หลังมาก็ยิ่งรัวถี่มากขึ้นมันฟังดูเหมือนอีกฝ่ายย่นระยะห่างเข้ามาทุกที
จี้เทียนซิงเหลี่ยวหลังกลับไปมองและได้เห็นชายชุดดำสี่คนกำลังวิ่งไล่เขามาด้วยความรวดเร็วดั่งภูติผี
ชายทั้งสี่นั้นเร็วมาก
หลังจากผ่านไปเพียงครึ่งก้านธูป พวกมันก็ถึงตัวเขา
ในที่สุดเมื่อมาถึงริมแม่น้ำสายหนึ่ง
ชายชุดดำทั้งสี่คนก็ล้อมกรอบเขาไว้ทุกทาง
“เช้ง !”
จี้เทียนซิงหนีไม่พ้นอีกต่อไป
เขาทำได้เพียงต้องชักกระบี่มังกรดำออกมาจากแหวนมิติและกุมไว้ในมือด้วยแววตาเย็นชา
เขากวาดสายตามองพวกมันทั้งสี่และกล่าวด้วยเสียงต่ำว่า
“พวกเจ้าเป็นใคร ? ไล่ตามข้าเช่นนี้มีจุดประสงค์อะไร ?”
ชายชุดดำทั้งสี่กระจายตัวออกไปและเดินไปล้อมรอบเขาช้าๆ
ด้วยแสงสะท้อนบนตัวกระบี่ในมืออันเยือกเย็น พวกมันพร้อมจะลงมือได้ทุกเมื่อ
เมื่อเผชิญกับคำถามของจี้เทียนซิง
พวกมันทั้งสี่ยังมีท่าทีไม่แยแสและไม่ตอบคำถาม
จี้เทียนซิงขมวดคิ้ว
นัยน์ตาของเขาจ้องมองผ่านชายชุดดำทั้งสี่คนไปยังป่าทึบที่อยู่ไม่ไกลออกไป
เขาสามารถคาดเดาได้ว่าทั้งสี่คนนี้เป็นมือสังหารและผู้ว่าจ้างที่แท้จริงยังมาไม่ถึง
ดังนั้นพวกมันจึงยังไม่ลงมือ
หลังจากนั้นไม่นานนักชายในเสื้อคลุมสีน้ำเงินก็วิ่งออกมาจากป่าพร้อมกับชายชุดดำอีกห้าคนและมาถึงริมแม่น้ำในทันที
คนทั้งเก้าในชุดดำพร้อมอาวุธครบมือล้อมรอบจี้เทียนซิงเอาไว้อย่างแน่นหนา
จากนั้นชายในเสื้อคลุมสีน้ำเงินก็เดินเข้าไปในวงพร้อมกับจ้องมองจี้เทียนซิงด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
“จี้เทียนซิง
เจ้าคงคิดไม่ถึงสินะว่าพวกเราจะได้พบกันอีกครั้งในสถานที่ห่างไกลเช่นนี้ !”
จี้เทียนซิงได้ยินเสียงที่คุ้นเคย
เขาสะดุ้งในทันที รูม่านตาหดวูบกลายเป็นมืดมนซับซ้อน
เขาจ้องมองชายเสื้อคลุมสีน้ำเงินด้วยสายตาไม่อยากเชื่อและถามออกมาด้วยเสียงต่ำว่า
“เจ้าคือ....
หลิงซื่อไห่ ?”
เขาคาดไม่ถึงว่าจะได้พบหลิงซื่อไห่ในดินแดนดาราบรรพกาล
!
ยิ่งไปกว่านั้นหลิงซื่อไห่ยังไล่ล่าเขาด้วยผู้เชี่ยวชาญในขอบเขตปราณจิตถึงเก้าคน
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว !
หลิงซื่อไห่เลียมุมปากของเขาเผยให้เห็นการสีหน้าเย้ยหยันและกล่าวด้วยเสียงต่ำว่า
“จี้เทียนซิง ! เจ้าสังหารหลิงหยุนเฟยบุตรสาวข้า
ข้าต้องชำระแค้นในเรื่องนี้ ! ข้าไม่เพียงแค่จะทำลายร่างเจ้าให้แหลกเหลว
แต่ข้าจะควักหัวใจของเจ้าออกมา !”
“เจ้าคิดหรือว่าออกจากเมืองจักรวรรดิชิงหยุนเข้าสู่นิกายพันธมิตรสวรรค์แล้วจะปลอดภัย
? แม้ว่าจะต้องไล่ตามเจ้าไปสุดขอบโลก
ข้าก็จะเอาชีวิตสุนัขของเจ้าให้ได้ !”
“เพื่อจัดการกับเจ้า... ข้าเข้าไปในเมืองวิญญาณเพลิงเมื่อหนึ่งเดือนก่อนและอุตส่าห์วางแผนการเสียดิบดี
มิคาดว่าเจ้าจะโผล่หัวเข้ามาหาที่ตายเอง นี่เป็นลิขิตฟ้า
แม้แต่สวรรค์ก็ยังเข้าข้างข้า !”
หลังจากฟังคำพูดของหลิงซื่อไห่
จี้เทียนซิงก็ตระหนักได้ในที่สุด
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ !”
“ก่อนหน้านี้ท่านพ่อส่งจดหมายหาข้าบอกว่าหลิงซื่อไห่เดินทางออกจากเมืองจักรวรรดิชิงหยุนและไม่มีผู้ใดทราบว่าไปที่ไหน
ที่แท้มันก็ลอบเข้ามาในดินแดนดาราบรรพกาลอย่างเงียบๆนี่เอง”
“มันได้เฟ้นหานักฆ่าเก้าคนในเมืองวิญญาณเพลิง
ตั้งแต่ที่ข้าออกจากเมืองมามันก็ตามข้ามาตลอดทาง....”
เมื่อทำความเข้าใจจุดเริ่มต้นและจุดจบของเรื่อง
จี้เทียนซิงก็กำกระบี่มังกรดำไว้แน่น
เขาโคจรปราณแท้ด้วยความเร็วสูงสุด เจตนาสู้และจิตสังหารพลันปะทุขึ้น
“หลิงซื่อไห่ ! เจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ช่าง
ข้าขอพูดชัดๆอีกครั้งว่า ข้าไม่ได้ฆ่าหยุนเฟย !”
ต่อให้นี่เป็นเรื่องจริง
แต่จะเป็นไปได้หรือที่หลิงซื่อไห่จะเชื่อ ?
“จี้เทียนซิง ! เจ้าเดรัจฉานน้อย
จะตายอยู่รอมร่อยังคิดแก้ตัวอีกหรือ ?”
“พวกเจ้าทุกคนลงมือได้ ยำมันให้เละ
หักกระดูกมันให้หมด !”
หลิงซื่อไห่คำรามออกคำสั่งด้วยความโกรธแค้น
ชายชุดดำทั้งเก้าคนชักกระบี่อย่างไร้ความลังเลและกระชับวงล้อมเข้าหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
จี้เทียนซิงคาดเดาไว้อยู่แล้วว่าหลิงซื่อไห่ย่อมไม่เชื่อคำพูดของเขา
มันเปล่าประโยชน์ที่จะพูดเรื่องไร้สาระ
เช้ง
!
เสียงชักกระบี่ดังขึ้น
ชายหนุ่มพร้อมลงมือตอบโต้ทันควัน
“ฉัวะ !”
ในช่วงเวลาที่กระบี่มังกรดำพ้นจากฝัก
แสงเย็นส่องประกายระยิบระยับและคลื่นกระบี่คล้ายมังกรยาวห้าเมตรก็ก่อตัวขึ้น
ชายชุดดำสองคนที่พุ่งปรี่เข้ามาหน้าสุดไร้ทางหนีในทันที
"เปรี้ยง
!"
กระบี่ในมือของพวกมันทั้งสองถูกทุบทำลายเป็นเศษเหล็ก
คนถูกกระแทกด้วยพลังกระบี่จนกระเด็นไปไกลราวกับถุงเลือดแตก
พิรุณโลหิตฉีดพุ่งชโลมไปทั่วบริเวณ
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved