ตอนที่ 150

แหล่งกบดานที่อยู่ปลายจมูก

หยุนเหยาและจี้เทียนซิงโดยสารกระเรียนวิญญาณมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

จี้เทียนซิงนึกได้ถึงคำถามสำคัญจึงเอ่ยปากถามหยุนเหยาด้วยความสงสัยบางอย่าง

“ศิษย์พี่หญิง เผ่ามารชิงร่างของจี้หลิงไป

มิใช่ว่าพวกมันหลบหนีออกนอกดินแดนดาราบรรพกาลไปไกลแล้วหรอกหรือ ?”

หยุนเหยาส่ายหัวเล็กน้อยและอธิบายว่า

"ดินแดนแห่งนี้เป็นพื้นที่เอกเทศที่ได้รับการปกป้องดูแลจากนิกาย

แม้แต่ยอดฝีมือเผ่ามารก็มิใช่ว่าจะเข้าออกบ่อยๆได้ง่ายดายนัก   เป็นเวลาเกือบร้อยปีที่ยอดฝีมือเผ่ามารลอบเข้ามาในนิกายหลายครั้ง

ดังนั้นท่านประมุขจึงสงสัยว่า แท้จริงแล้วเผ่าพันธุ์มารสมควรซุ่มซ่อนในดินแดนดาราบรรพกาลเพื่อรอคอยจังหวะลงมือ”

จี้เทียนซิงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า

“เป็นเช่นนี้เอง !  ดินแดนดาราบรรพกาลมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลและทรัพยากรมากมาย

หากพวกมันซ่องสุมกำลังลับๆเอาไว้ที่นี่ย่อมไม่ประสบปัญหาขาดแคลนทรัพยากรบ่มเพาะ

นอกจากนี้ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งง่ายต่อการลงมือของพวกมัน“

หยุนเหยากล่าวต่อไปว่า

“ดูเหมือนว่าฐานใหญ่ของพวกมันจะอยู่ไกลจากที่นี่พอสมควร  หลังจากที่พวกมันชิงร่างไปแล้ว

พวกมันต้องใช้เวลาหลายวันในการร่ายเคล็ดวิชาลับเพื่อสกัดวิญญาณของจี้หลิงออกมา”

“สมควรเป็นภายในเจ็ดวัน หากปล่อยไว้นานกว่านั้นวิญญาณจะสูญสลายกลับคืนสู่ฟ้าดิน

ดังนั้นเผ่ามารย่อมซ่อนตัวอยู่ในดินแดนแห่งนี้เป็นแน่และต้องหาทางสกัดวิญญาณจี้หลิงออกมาโดยเร็วที่สุด”

ด้วยเหตุผลนี้ทำให้หยุนเหยาเชื่อมั่นว่าเผ่าพันธุ์มารต้องหลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งในดินแดนดาราบรรพกาล

หลังจากฟังคำอธิบายของนางแล้วความสงสัยของจี้เทียนซิงก็หายไปและไม่ได้ถามอะไรต่อ

ในไม่ช้า

หนึ่งชั่วโมงก็ผ่านไป

กระเรียนวิญญาณพาจี้เทียนซิงและหยุนเหยาบินไปไกลกว่าสี่ร้อยไมล์และเข้าสู่แนวเทือกเขาที่กว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด

มองจากบนฟ้าลงมาด้านล่างก็จะเห็นยอดเขาสูงเป็นลูกคลื่นที่เชื่อมต่อกันอย่างแนบสนิทและเต็มไปด้วยป่าทึบสีเขียวขจีปกคลุมไปทั่วภูเขา

เทือกเขาและป่าทึบเต็มไปด้วยร่องรอยของสัตว์อสูรมากมายที่ส่งเสียงคำรามออกมาเป็นครั้งคราว

จี้เทียนซิงเห็นในระยะไกลว่ามีนกอินทรีสีเทาตัวใหญ่บินอยู่บนภูเขา

เมื่อมันพบเหยื่อก็โฉบลงมาจากบนฟ้าและใช้กรงเล็บอันแหลมคมจิกร่างของมันและบินหายไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว

ภาพที่น่าตกใจเช่นนี้เป็นสิ่งที่จี้เทียนซิงไม่เคยเห็นมาก่อน

เขาสูดหายใจลึกอย่างอกสั่นขวัญหายต่อความโหดร้ายของกฎแห่งป่า แต่เขาก็ประทับใจในความกว้างใหญ่และความลึกลับของดินแดนดาราบรรพกาลไม่น้อย

ในขณะนี้เอง

กระเรียนวิญญาณของหยุนเหยาก็ลงจอดบนเชิงเขาของยอดเขาลูกหนึ่ง หลังจากรออยู่ไม่นานไป๋หวู่เชินก็ขี่หมาป่าจันทราเงินมาถึงข้างกายคนทั้งสอง

“ศิษย์น้องไป๋ นำเจดีย์ออกมาสำรวจอีกที” หยุนเหยากล่าวอย่างเงียบงัน

ไป๋หวู่เชินพยักหน้าและหยิบเจดีย์ซวนจี๋ออกมา

จากนั้นก็ร่ายอาคมเพื่อเปิดใช้งานอีกครั้ง ในเวลาเดียวกับที่จี้เทียนซิงกรีดเลือดออกมาเพิ่มให้อีกหยด

จากนั้นเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมก็หมุนวนอย่างรวดเร็วปล่อยแสงสีทองอร่าม

ต่อมาไม่นานมันก็ค่อยๆหมุนช้าลงจนกระทั่งหยุดหมุน

ที่มุมหนึ่งของเหลี่ยมทั้งแปดเป็นสีแดงเลือดและยังคงชี้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

แต่ดูเหมือนจะอยู่ใกล้มากขึ้นกว่าครั้งแรก

ไป๋หวู่เชินจ้องมองอย่างใกล้ชิดและใช้วิถีลับเพื่อสัมผัสกับการตอบสนองที่ปรากฏออกมาจากเจดีย์ซวนจี๋

หลังจากทราบผลลัพธ์ที่แน่นอน

เขาก็หันไปพูดกับหยุนเหยา “ศิษย์พี่หญิง พวกเราเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้นแล้ว

การเหนี่ยวนำของเจดีย์ซวนจี๋ก็ยิ่งชัดเจนขึ้น จากการคำนวณของข้า

ร่างกายของจี้หลิงอยู่ห่างจากพวกเราไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณหกร้อยไมล์เท่านั้น”

หยุนเหยาพยักหน้าและกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“อืม ยังไม่สายเกินไป พวกเรารีบไปโดยกเร็วที่สุด !”

จากนั้นหยุนเหยากับจี้เทียนซิงก็กระโดดขึ้นหลังกระเรียนวิญญาณอีกครั้งและบินมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือต่อไป ส่วนไป๋หวู่เชินก็รีบกระโจนขึ้นหลังหมาป่าจันทราเงินและควบตามไป

อีกสองชั่วโมงต่อมา

ทั้งสามคนก็มาถึงเส้นทางสายหนึ่ง

หยุนเหยากับจี้เทียนซิงขี่กระเรียนวิญญาณโบยบินอยู่บนท้องฟ้า

มันไม่เพียงแค่รวดเร็วมาก แต่ยังปลอดภัยมากอีกด้วย นอกจากนี้

แม้จะเดินทางมาไกลถึงแปดร้อยไมล์

แต่สัตว์อสูรบนท้องฟ้าก็ยังไม่มีตัวใดกล้าโจมตีมัน

หากเปรียบเทียบกับอีกคนก็นับว่าโชคร้ายกว่ามาก

ไป๋หวู่เชินขี่หมาป่าจันทราเงินที่วิ่งบนพื้นดินและต้องเผชิญหน้ากับฝูงสัตว์อสูรและถูกไล่ล่าอย่างต่อเนื่อง

มีหลายครั้งที่เขาถูกรายล้อมไปด้วยฝูงสัตว์อสูรที่ดุร้ายและเกิดการต่อสู้รุนแรง   อย่างไรก็ตาม ไป๋หวู่เชินสมควรแล้วที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในศิษย์อัจฉริยะของนิกายพันธมิตรสวรรค์  แม้จะต้องปะทะกับสัตว์อสูรมากมาย

แต่เขาก็ยังไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย

สองชั่วโมงผ่านไป

พวกเขาทั้งสามก็ใกล้ถึงจุดนัดพบ

หยุนเหยาและจี้เทียนซิงกระโดดลงจากหลังกระเรียนวิญญาณและยืนรออยู่ในป่าของเทือกเขาแห่งหนึ่ง  ต่อมาไม่นานนัก

ไป๋หวู่เชินที่อยู่บนหลังหมาป่าจันทราเงินก็มาสมทบ เสื้อคลุมสีขาวสะอาดที่เขาสวมใส่กลับกลายเป็นแดงฉาดด้วยคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนอย่างน่าตกใจ

แน่นอนว่านี่คือเลือดของสัตว์อสูรที่เขาสังหารมาตลอดทาง

หยุนเหยามองไปที่ไป๋หวู่เชินด้วยสีหน้าจริงจังและกล่าวว่า

“ศิษย์น้องไป๋ จากการสำรวจครั้งที่สอง

ร่างของจี้หลิงสมควรอยู่ใกล้ๆนี้ใช่ไหม ?”

ไป๋หวู่เชินพยักหน้าและหยิบเจดีย์ซวนจี๋ขึ้นมาอีกครั้งพลางกล่าวว่า

“ศิษย์พี่หญิง ข้าจะสำรวจอีกครั้ง ครั้งนี้สมควรรู้ตำแหน่งที่แน่นอนแล้ว”

หลังจากนั้นเขาก็เปิดใช้เจดีย์ซวนจี๋อีกครั้งและเริ่มทำการค้นหา

ส่วนจี้เทียนซิงก็กรีดเลือดอีกหยดเพื่อทำปฏิกิริยา

เจดีย์ซวนจี๋หมุนคว้างอย่างรวดเร็วและเบ่งบานด้วยแสงสีทองอันพร่างพราว

ในเวลาอันสั้นมันก็เริ่มบอกทิศ จากนั้นไป๋หวู่เชินใช้วิถีลับอีกครั้งเพื่อหาตำแหน่งที่แน่นอน

ดวงตาของเขาจับจ้องไปเบื้องหน้า

ชี้ไปที่ยอดเขาบนเทือกเขาสีเขียวเข้มลูกหนึ่งที่อยู่เบื้องหน้าและกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า

“ศิษย์พี่หญิง ร่างของจี้หลิงอยู่ในภูเขาลูกนั้น !  นอกจากนี้

ข้าเจดีย์ซวนจี๋ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเผ่ามารที่มีมากกว่าหนึ่งในภูเขาลูกนั้น  เป็นไปได้ว่าที่นั่นเป็นฐานชั่วคราวของเผ่ามาร !”

หยุนเหยาพยักหน้าและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“เพื่อหลีกเลี่ยงการแหวกหญ้าให้งูตื่น

พวกเราปล่อยกระเรียนวิญญาณและหมาป่าจันทราเงินไว้ที่นี่

จากนั้นลอบเข้าไปในภูเขาเพื่อค้นหา”

เนื่องจากกระเรียนวิญญาณและหมาป่าจันทราเงินมีขนาดใหญ่เกินไป

ย่อมเป็นที่สังเกตได้อย่างง่ายดายและเสี่ยงต่อการถูกพบเห็น

แน่นอนว่านี่เป็นการตัดสินใจที่สมเหตุสมผลที่สุดในการปล่อยสัตว์อสูรวิญญาณทั้งสองตัวให้รออยู่บริเวณเชิงเขา

ซึ่งไป๋หวู่เชินย่อมไม่มีข้อคัดค้านใดๆ

ต่อมาหยุนเหยาก็นำจี้เทียนซิงและไป๋หวู่เชินมุ่งหน้าไปยังยอดเขาสูงเบื้องหน้า

จากจุดที่พวกเขาอยู่ไปถึงภูเขาที่เป็นเป้าหมายนั้นดูเหมือนจะไม่ไกลนัก แต่ความจริงแล้วมันยังมีหุบเขาขนาดใหญ่คั่นกลางเป็นระยะทางหลายไมล์ทีเดียว

ทำให้พวกเขาต้องเดินเท้าไปอีกเป็นเวลาพอสมควร

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง

ทั้งสามคนก็เข้ามาถึงภูเขาใหญ่

พวกเขาเดินผ่านป่าทึบโดยที่ตลอดทางทั้งหยุนเหยาและไป๋หวู่เชินต่างก็ใช้สัมผัสญาณเพื่อค้นหากลิ่นอายเผ่ามารอย่างต่อเนื่อง

เนื่องจากจี้เทียนซิงยังมิได้บรรลุขอบเขตปราณจิตและยังไม่ได้สร้างสัมผัสญาณ

เขาจึงไม่อาจแผ่จิตสัมผัสแบบทั้งสองได้

เขาทำได้เพียงสอดส่องไปรอบๆด้วยสายตาเท่านั้น หวังว่าจะพบร่องรอยบางอย่าง

ต่อมาไม่นานพวกเขาก็ตระหนักได้ถึงปัญหาบางอย่าง

ทั่วทั้งภูเขาเงียบสงัดอย่างผิดปกติ

ไม่มีร่องรอยและเสียงคำรามของสัตว์อสูรอย่างที่ควรจะเป็นเลยแม้แต่น้อย

ยอดเขาเขียวขจีที่มองจากระยะไกลดั่งมีชีวิตชีวา

พอเข้ามาใกล้ๆแล้วกลับกลายเป็นเงียบกริบดั่งป่าช้าและมีกลิ่นอายความตายอันเยือกเย็นแผ่ซ่านออกมา