แหล่งกบดานที่อยู่ปลายจมูก
หยุนเหยาและจี้เทียนซิงโดยสารกระเรียนวิญญาณมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
จี้เทียนซิงนึกได้ถึงคำถามสำคัญจึงเอ่ยปากถามหยุนเหยาด้วยความสงสัยบางอย่าง
“ศิษย์พี่หญิง เผ่ามารชิงร่างของจี้หลิงไป
มิใช่ว่าพวกมันหลบหนีออกนอกดินแดนดาราบรรพกาลไปไกลแล้วหรอกหรือ ?”
หยุนเหยาส่ายหัวเล็กน้อยและอธิบายว่า
"ดินแดนแห่งนี้เป็นพื้นที่เอกเทศที่ได้รับการปกป้องดูแลจากนิกาย
แม้แต่ยอดฝีมือเผ่ามารก็มิใช่ว่าจะเข้าออกบ่อยๆได้ง่ายดายนัก เป็นเวลาเกือบร้อยปีที่ยอดฝีมือเผ่ามารลอบเข้ามาในนิกายหลายครั้ง
ดังนั้นท่านประมุขจึงสงสัยว่า แท้จริงแล้วเผ่าพันธุ์มารสมควรซุ่มซ่อนในดินแดนดาราบรรพกาลเพื่อรอคอยจังหวะลงมือ”
จี้เทียนซิงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า
“เป็นเช่นนี้เอง ! ดินแดนดาราบรรพกาลมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลและทรัพยากรมากมาย
หากพวกมันซ่องสุมกำลังลับๆเอาไว้ที่นี่ย่อมไม่ประสบปัญหาขาดแคลนทรัพยากรบ่มเพาะ
นอกจากนี้ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งง่ายต่อการลงมือของพวกมัน“
หยุนเหยากล่าวต่อไปว่า
“ดูเหมือนว่าฐานใหญ่ของพวกมันจะอยู่ไกลจากที่นี่พอสมควร หลังจากที่พวกมันชิงร่างไปแล้ว
พวกมันต้องใช้เวลาหลายวันในการร่ายเคล็ดวิชาลับเพื่อสกัดวิญญาณของจี้หลิงออกมา”
“สมควรเป็นภายในเจ็ดวัน หากปล่อยไว้นานกว่านั้นวิญญาณจะสูญสลายกลับคืนสู่ฟ้าดิน
ดังนั้นเผ่ามารย่อมซ่อนตัวอยู่ในดินแดนแห่งนี้เป็นแน่และต้องหาทางสกัดวิญญาณจี้หลิงออกมาโดยเร็วที่สุด”
ด้วยเหตุผลนี้ทำให้หยุนเหยาเชื่อมั่นว่าเผ่าพันธุ์มารต้องหลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งในดินแดนดาราบรรพกาล
หลังจากฟังคำอธิบายของนางแล้วความสงสัยของจี้เทียนซิงก็หายไปและไม่ได้ถามอะไรต่อ
ในไม่ช้า
หนึ่งชั่วโมงก็ผ่านไป
กระเรียนวิญญาณพาจี้เทียนซิงและหยุนเหยาบินไปไกลกว่าสี่ร้อยไมล์และเข้าสู่แนวเทือกเขาที่กว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด
มองจากบนฟ้าลงมาด้านล่างก็จะเห็นยอดเขาสูงเป็นลูกคลื่นที่เชื่อมต่อกันอย่างแนบสนิทและเต็มไปด้วยป่าทึบสีเขียวขจีปกคลุมไปทั่วภูเขา
เทือกเขาและป่าทึบเต็มไปด้วยร่องรอยของสัตว์อสูรมากมายที่ส่งเสียงคำรามออกมาเป็นครั้งคราว
จี้เทียนซิงเห็นในระยะไกลว่ามีนกอินทรีสีเทาตัวใหญ่บินอยู่บนภูเขา
เมื่อมันพบเหยื่อก็โฉบลงมาจากบนฟ้าและใช้กรงเล็บอันแหลมคมจิกร่างของมันและบินหายไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
ภาพที่น่าตกใจเช่นนี้เป็นสิ่งที่จี้เทียนซิงไม่เคยเห็นมาก่อน
เขาสูดหายใจลึกอย่างอกสั่นขวัญหายต่อความโหดร้ายของกฎแห่งป่า แต่เขาก็ประทับใจในความกว้างใหญ่และความลึกลับของดินแดนดาราบรรพกาลไม่น้อย
ในขณะนี้เอง
กระเรียนวิญญาณของหยุนเหยาก็ลงจอดบนเชิงเขาของยอดเขาลูกหนึ่ง หลังจากรออยู่ไม่นานไป๋หวู่เชินก็ขี่หมาป่าจันทราเงินมาถึงข้างกายคนทั้งสอง
“ศิษย์น้องไป๋ นำเจดีย์ออกมาสำรวจอีกที” หยุนเหยากล่าวอย่างเงียบงัน
ไป๋หวู่เชินพยักหน้าและหยิบเจดีย์ซวนจี๋ออกมา
จากนั้นก็ร่ายอาคมเพื่อเปิดใช้งานอีกครั้ง ในเวลาเดียวกับที่จี้เทียนซิงกรีดเลือดออกมาเพิ่มให้อีกหยด
จากนั้นเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมก็หมุนวนอย่างรวดเร็วปล่อยแสงสีทองอร่าม
ต่อมาไม่นานมันก็ค่อยๆหมุนช้าลงจนกระทั่งหยุดหมุน
ที่มุมหนึ่งของเหลี่ยมทั้งแปดเป็นสีแดงเลือดและยังคงชี้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
แต่ดูเหมือนจะอยู่ใกล้มากขึ้นกว่าครั้งแรก
ไป๋หวู่เชินจ้องมองอย่างใกล้ชิดและใช้วิถีลับเพื่อสัมผัสกับการตอบสนองที่ปรากฏออกมาจากเจดีย์ซวนจี๋
หลังจากทราบผลลัพธ์ที่แน่นอน
เขาก็หันไปพูดกับหยุนเหยา “ศิษย์พี่หญิง พวกเราเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้นแล้ว
การเหนี่ยวนำของเจดีย์ซวนจี๋ก็ยิ่งชัดเจนขึ้น จากการคำนวณของข้า
ร่างกายของจี้หลิงอยู่ห่างจากพวกเราไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณหกร้อยไมล์เท่านั้น”
หยุนเหยาพยักหน้าและกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“อืม ยังไม่สายเกินไป พวกเรารีบไปโดยกเร็วที่สุด !”
จากนั้นหยุนเหยากับจี้เทียนซิงก็กระโดดขึ้นหลังกระเรียนวิญญาณอีกครั้งและบินมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือต่อไป ส่วนไป๋หวู่เชินก็รีบกระโจนขึ้นหลังหมาป่าจันทราเงินและควบตามไป
อีกสองชั่วโมงต่อมา
ทั้งสามคนก็มาถึงเส้นทางสายหนึ่ง
หยุนเหยากับจี้เทียนซิงขี่กระเรียนวิญญาณโบยบินอยู่บนท้องฟ้า
มันไม่เพียงแค่รวดเร็วมาก แต่ยังปลอดภัยมากอีกด้วย นอกจากนี้
แม้จะเดินทางมาไกลถึงแปดร้อยไมล์
แต่สัตว์อสูรบนท้องฟ้าก็ยังไม่มีตัวใดกล้าโจมตีมัน
หากเปรียบเทียบกับอีกคนก็นับว่าโชคร้ายกว่ามาก
ไป๋หวู่เชินขี่หมาป่าจันทราเงินที่วิ่งบนพื้นดินและต้องเผชิญหน้ากับฝูงสัตว์อสูรและถูกไล่ล่าอย่างต่อเนื่อง
มีหลายครั้งที่เขาถูกรายล้อมไปด้วยฝูงสัตว์อสูรที่ดุร้ายและเกิดการต่อสู้รุนแรง อย่างไรก็ตาม ไป๋หวู่เชินสมควรแล้วที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในศิษย์อัจฉริยะของนิกายพันธมิตรสวรรค์ แม้จะต้องปะทะกับสัตว์อสูรมากมาย
แต่เขาก็ยังไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย
สองชั่วโมงผ่านไป
พวกเขาทั้งสามก็ใกล้ถึงจุดนัดพบ
หยุนเหยาและจี้เทียนซิงกระโดดลงจากหลังกระเรียนวิญญาณและยืนรออยู่ในป่าของเทือกเขาแห่งหนึ่ง ต่อมาไม่นานนัก
ไป๋หวู่เชินที่อยู่บนหลังหมาป่าจันทราเงินก็มาสมทบ เสื้อคลุมสีขาวสะอาดที่เขาสวมใส่กลับกลายเป็นแดงฉาดด้วยคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนอย่างน่าตกใจ
แน่นอนว่านี่คือเลือดของสัตว์อสูรที่เขาสังหารมาตลอดทาง
หยุนเหยามองไปที่ไป๋หวู่เชินด้วยสีหน้าจริงจังและกล่าวว่า
“ศิษย์น้องไป๋ จากการสำรวจครั้งที่สอง
ร่างของจี้หลิงสมควรอยู่ใกล้ๆนี้ใช่ไหม ?”
ไป๋หวู่เชินพยักหน้าและหยิบเจดีย์ซวนจี๋ขึ้นมาอีกครั้งพลางกล่าวว่า
“ศิษย์พี่หญิง ข้าจะสำรวจอีกครั้ง ครั้งนี้สมควรรู้ตำแหน่งที่แน่นอนแล้ว”
หลังจากนั้นเขาก็เปิดใช้เจดีย์ซวนจี๋อีกครั้งและเริ่มทำการค้นหา
ส่วนจี้เทียนซิงก็กรีดเลือดอีกหยดเพื่อทำปฏิกิริยา
เจดีย์ซวนจี๋หมุนคว้างอย่างรวดเร็วและเบ่งบานด้วยแสงสีทองอันพร่างพราว
ในเวลาอันสั้นมันก็เริ่มบอกทิศ จากนั้นไป๋หวู่เชินใช้วิถีลับอีกครั้งเพื่อหาตำแหน่งที่แน่นอน
ดวงตาของเขาจับจ้องไปเบื้องหน้า
ชี้ไปที่ยอดเขาบนเทือกเขาสีเขียวเข้มลูกหนึ่งที่อยู่เบื้องหน้าและกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า
“ศิษย์พี่หญิง ร่างของจี้หลิงอยู่ในภูเขาลูกนั้น ! นอกจากนี้
ข้าเจดีย์ซวนจี๋ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเผ่ามารที่มีมากกว่าหนึ่งในภูเขาลูกนั้น เป็นไปได้ว่าที่นั่นเป็นฐานชั่วคราวของเผ่ามาร !”
หยุนเหยาพยักหน้าและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“เพื่อหลีกเลี่ยงการแหวกหญ้าให้งูตื่น
พวกเราปล่อยกระเรียนวิญญาณและหมาป่าจันทราเงินไว้ที่นี่
จากนั้นลอบเข้าไปในภูเขาเพื่อค้นหา”
เนื่องจากกระเรียนวิญญาณและหมาป่าจันทราเงินมีขนาดใหญ่เกินไป
ย่อมเป็นที่สังเกตได้อย่างง่ายดายและเสี่ยงต่อการถูกพบเห็น
แน่นอนว่านี่เป็นการตัดสินใจที่สมเหตุสมผลที่สุดในการปล่อยสัตว์อสูรวิญญาณทั้งสองตัวให้รออยู่บริเวณเชิงเขา
ซึ่งไป๋หวู่เชินย่อมไม่มีข้อคัดค้านใดๆ
ต่อมาหยุนเหยาก็นำจี้เทียนซิงและไป๋หวู่เชินมุ่งหน้าไปยังยอดเขาสูงเบื้องหน้า
จากจุดที่พวกเขาอยู่ไปถึงภูเขาที่เป็นเป้าหมายนั้นดูเหมือนจะไม่ไกลนัก แต่ความจริงแล้วมันยังมีหุบเขาขนาดใหญ่คั่นกลางเป็นระยะทางหลายไมล์ทีเดียว
ทำให้พวกเขาต้องเดินเท้าไปอีกเป็นเวลาพอสมควร
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง
ทั้งสามคนก็เข้ามาถึงภูเขาใหญ่
พวกเขาเดินผ่านป่าทึบโดยที่ตลอดทางทั้งหยุนเหยาและไป๋หวู่เชินต่างก็ใช้สัมผัสญาณเพื่อค้นหากลิ่นอายเผ่ามารอย่างต่อเนื่อง
เนื่องจากจี้เทียนซิงยังมิได้บรรลุขอบเขตปราณจิตและยังไม่ได้สร้างสัมผัสญาณ
เขาจึงไม่อาจแผ่จิตสัมผัสแบบทั้งสองได้
เขาทำได้เพียงสอดส่องไปรอบๆด้วยสายตาเท่านั้น หวังว่าจะพบร่องรอยบางอย่าง
ต่อมาไม่นานพวกเขาก็ตระหนักได้ถึงปัญหาบางอย่าง
ทั่วทั้งภูเขาเงียบสงัดอย่างผิดปกติ
ไม่มีร่องรอยและเสียงคำรามของสัตว์อสูรอย่างที่ควรจะเป็นเลยแม้แต่น้อย
ยอดเขาเขียวขจีที่มองจากระยะไกลดั่งมีชีวิตชีวา
พอเข้ามาใกล้ๆแล้วกลับกลายเป็นเงียบกริบดั่งป่าช้าและมีกลิ่นอายความตายอันเยือกเย็นแผ่ซ่านออกมา
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved