ตอนที่ 122

เจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกดั่งหมาป่า

หลังจากได้ฟังเรื่องราวในอดีตจากปากของฉู่เทียนเซิง

หยุนเหยาตระหนักถึงเหตุผลได้ในทันที  นางขมวดคิ้วและถามต่อไปว่า

“ท่านอาจารย์

ที่ท่านถามจี้หลิงว่าเคยพบย่าทวดมาก่อนหรือไม่นั้นเป็นเพราะท่านคาดเดาว่าย่าทวดของจี้หลิงก็คืออาวุโสที่วางอาคมเก้ามังกรผนึกมารในปีนั้น

? ศิษย์พี่หญิงของท่าน ?”

ฉู่เทียนเซิงก้มศีรษะลงเล็กน้อยและกล่าวด้วยเสียงต่ำ

“ศิษย์พี่หญิงของข้าที่จริงแล้วนางก็เป็นศิษย์สตรีภายในนิกายนี้เช่นกัน

อีกทั้งนางยังเป็นสาวงามแห่งยุค”

“นางมีพรสวรรค์ในศาสตร์แห่งข่ายอาคมอย่างไร้ผู้เทียบเคียง

มีศิษย์พี่ศิษย์น้องมากมายมาติดพันนางจนเกินจะนับไหว”

“น่าเสียดาย

ศิษย์พี่หญิงตัดสินใจใช้ชีวิตบั้นปลายเยี่ยงสามัญชนและกล่าวไว้ว่าจะเป็นฆราวาสไปชั่วชีวิต…”

หยุนเหยาเห็นการแสดงออกของฉู่เทียนเซิงก็คาดเดาได้ทันทีว่า

อาจารย์ของนางก็เป็นหนึ่งในผู้ที่หลงรักผู้อาวุโสท่านนั้น

อย่างไรก็ตามนางเพียงแค่คิดแต่ไม่มีทางเอ่ยออกมา

นางยังคงถามต่อไปว่า

“ท่านอาจารย์คะ เกี่ยวกับอาคมเก้ามังกรผนึกมารของท่านอาจารย์ป้า...  ในนิกายเราตอนนี้ไม่มีผู้อาวุโสท่านอื่นๆที่สามารถขับเคลื่อนมันได้เลยหรือคะ

?

ฉู่เทียนเซิงส่ายหัวและกล่าวว่า

“ศิษย์พี่เป็นผู้ครอบครองสายเลือดกระบี่ลี้ลับ

หากต้องการเคลื่อนอาคมที่นางวางไว้ก็มีเพียงต้องใช้ผู้ครอบครองสายเลือดแบบเดียวกันกับนางในฐานะตัวเร่งปฎิกิริยา”

“ไม่ว่าจี้หลิงจะเป็นทายาทของศิษย์พี่จริงหรือไม่

แต่เขาก็ครอบครองสายเลือดกระบี่ลี้ลับจริง

เป็นไปได้สูงว่าเขาอาจจะเป็นผู้เดียวที่สามารถขับเคลื่อนอาคมเก้ามังกรผนึกมารได้

!”

ในที่สุดหยุนเหยาก็เข้าใจทั้งหมดและพยักหน้าด้วยความตระหนกว่า

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้....”

ฉู่เทียนเซิงหลับตาดื่มด่ำกับความหลังเก่าและพูดต่อไปว่า

“หยุนเหยา สิ่งที่อาจารย์ทำลงไปอาจทำให้เจ้ารู้สึกอึดอัดคับข้องที่จู่ๆก็รับศิษย์สายตรงมาแข่งขันกับเจ้า

แต่บุคลผู้นี้เกี่ยวพันถึงชีวิตและความเป็นความตายของนิกาย

ดังนั้นอาจารย์จำเป็นต้องปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้ พวกเราต้องปกป้องและอุ้มชูเขา”

“แต่แน่นอนว่าการจะรับเขาเป็นศิษย์สายตรงของข้านั้นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเขา

ว่าเขาจะขับเคลื่อนอาคมเก้ามังกรผนึกมารได้หรือไม่”

“ถ้าหากเขาสามารถเคลื่อนอาคมเก้ามังกรผนึกมารได้จริงก็นับว่าเป็นบุคลผู้มีบุญคุณต่อนิกายอย่างมาก  มันสมเหตุสมผลที่จะรับเขาเป็นศิษย์สายตรง”

หยุนเหยาพยักหน้าพลางกล่าวว่า

“ท่านอาจารย์โปรดวางใจ ศิษย์เข้าใจความคิดของท่านและจะทำทุกอย่างเพื่อสถานการณ์โดยรวมเป็นหลัก”

“อืม  ดีมาก” ฉู่เทียนเซิงพยักหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เอาล่ะ เจ้าไปได้แล้ว” พรุ่งนี้พาไป๋หวู่เฉินกับห่าวเมิ่งมารับรางวัลจากข้า”

“ค่ะ ท่านอาจารย์ ศิษย์ขอตัว”

หยุนเหยาคารวะฉู่เทียนเซิงและหันหลังเดินออกจากตำหนักฉิงเทียน

......

หลังออกจากยอดเขาเมฆาสีชาดแล้วจี้หลิงก็เดินอยู่เพียงลำพังท่ามกลางต้นไม้เรียงรายที่เชิงเขา

จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่สามารถยับยั้งความตื่นเต้นยินดีและหัวใจที่เต้นถี่ยิบได้แม้แต่น้อย

ดวงตาเต็มไปด้วยแสงเจิดจ้า

“เยี่ยม ! นี่คือโชคชะตาของข้าจี้หลิง

!”

“คิดไม่ถึงเลยว่าพลังสายเลือดกระบี่ลี้ลับขุมนั้นจะนำพาวาสนาให้ข้าขนาดนี้

!

ท่านประมุขไม่เพียงแค่จะอุ้มชูข้า แต่ยังยอมรับข้าในฐานะศิษย์สายตรงอีกด้วย

!”

“ด้วยเม็ดยาที่ท่านประมุขมอบให้บวกกับระดับบ่มเพาะของข้าในตอนนี้

การจะทะลวงด่านไปถึงเขตแดนปราณจิตภายในหกเดือนย่อมไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป จากนั้นข้าจะผ่านการประเมินเป็นศิษย์ฝ่ายในและกลายเป็นศิษย์สายตรงของท่านประมุข

!”

ใบหน้าที่ตื่นเต้นยินดีของจี้หลิงนั้นกลายเป็นสีแดงก่ำเต็มไปด้วยความคาดหวัง

“ถึงแม้หยุนเหยาจะเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของอาณาจักรเทียนเฉินและเป็นว่าที่ผู้สืบทอดตำแหน่งประมุขคนต่อไป

แต่จะอย่างไรเสียนางก็เป็นอิตสตรี”

“หลังจากข้าเป็นศิษย์สายตรงของท่านประมุขและฝึกฝนจนแตกฉานพลังยุทธ์แล้ว

ข้าย่อมเอาชนะนางและชิงตำแหน่งของนางมา ! ถึงตอนนั้นข้าก็จะบรรลุเป้าหมายชั่วชีวิต

เป็นผู้ควบคุมบงการทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเฉินแต่เพียงผู้เดียว ฮ่าๆๆ !!!”

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้จี้หลิงก็อดใจไม่ไหวที่จะหัวเราะลั่นเพื่อระบายความตื่นเต้นของเขา

อย่างไรก็ตาม

หลังจากหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอยู่ครู่หนึ่งเขาก็สงบลงและมุ่นหัวคิ้วแน่น เนื่องจากเพิ่งตระหนักได้ว่ายังมีอันตรายใหญ่หลวงที่ซ่อนเร้นอยู่

“เหตุผลหลักที่ท่านประมุขให้ความสนใจต่อข้าอย่างมากจนยอมรับเป็นศิษย์สายตรงก็เพราะข้าครอบครองสายเลือดกระบี่ลี้ลับ...

หากข้ามิได้วางแผนร่วมแรมปีเพื่อใช้ลูกปัดครองวิญญาณช่วงชิงสายเลือดและพรสวรรค์นี้มา

ผู้ที่จะได้รับโชควาสนาใหญ่ครั้งนี้ย่อมเป็นจี้เทียนซิง !”

“ข้าครอบครองสายเลือดนี้

ไม่เพียงแค่เจ้าของเดิมอย่างจี้เทียนซิงที่รับรู้

แต่ยังมีจี้เค่อที่รู้ว่าจี้เทียนซิง(เคย)มีสายเลือดกระบี่ลี้ลับ...”

“ไม่ได้การ ! ข้าต้องไม่ปล่อยให้พวกมันแพร่ข่าวออกไปทำลายชื่อเสียงเกียรติยศและโชคชะตาของข้า

เพื่อความฝันและแผนการอันยิ่งใหญ่ชั่วชีวิต

ข้าต้องไม่ปล่อยให้จี้เทียนซิงกับจี้เค่อมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ พวกมันทั้งสองต้องตาย

!”

ทันทีที่คิดสะระตะเสร็จเรียบร้อย

จี้หลิงก็กำสองมือแน่น นัยน์ตาเปล่งประกายเรืองวาบไปด้วยเจตนาฆ่าฟัน

เขาตัดสินใจจะฆ่าจี้เทียนซิงกับจี้เค่อโดยเร็วที่สุดเพื่อกลบฝังความลับนี้ไว้ตลอดกาล

และไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้ถึงความเป็นมาของสายเลือดกระบี่ลี้ลับ !

จี้หลิงเดินกลับไปยังนิกายพันธมิตรสวรรค์และในใจก็คิดคำนวณอย่างเงียบๆ

จากนั้นไม่นานเขาก็ได้พบกับศิษย์ของนิกายผู้หนึ่งในชุดคลุมสีขาวสะอาด

เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นศิษย์ฝ่ายในของนิกาย

ภายในใจของจี้หลิงก่อเกิดความรู้สึกคลับคล้ายคราวูบผ่าน  จนกระทั่งชายหนุ่มชุดขาวเดินมาถึงเบื้องหน้าห่างเพียงสามก้าว

จี้หลิงก็นึกออกขึ้นมาทันทีว่าคนผู้นี้ก็คือเจียนอวี้ !

เจียนอวี้มีอายุใกล้เคียงกับเขา

ทั้งสองเคยพบกันเมื่อสามปีก่อน ทันใดนั้นเองจิตใจของเขาก็สว่างวูบและเกิดความอันชั่วร้ายขึ้น

เขารีบร้องทักเจียนอวี้อย่างรวดเร็วและถามด้วยความประหลาดใจ

“เจ้าคือ.... เจียนอวี้ ?”

เจียนอวี้หยุดกึกและเหลียวหลังไปมองจี้หลิงทันที  หลังจากเห็นหน้าอีกฝ่าย เจียนอวี้ก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน

“จี้หลิง ?  เจ้าก็เป็นศิษย์นิกายพันธมิตรสวรรค์งั้นหรือ ?”

จี้หลิงพยักหน้าอย่างรวดเร็วพลางกล่าวว่า

“ถูกต้อง ข้าเพิ่งได้เป็นศิษย์ฝ่ายนอกของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นเมื่อครึ่งเดือนก่อน”

เจียนอวี้พยักหน้าและกล่าวว่า

“ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าราชาผู้ตันเถียนพิการแต่กำเนิดจะสามารถรักษาจนหายและได้เป็นศิษย์นิกาย

วาสนาของเจ้าช่างน่าทึ่งนัก !”

“ตอนพิธีรับศิษย์ใหม่ข้าเพียงแต่มองหน้าจี้เทียนซิงถึงได้ไม่เห็นเจ้า”

ในขณะนี้จี้หลิงก็มองหน้าเจียนอวี้และถามด้วยความสับสนว่า

“เจียนอวี้ สีหน้าเจ้าซีดเซียวน้ำหนักเท้าก็ไม่มั่นคง เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ ?  เกิดอะไรขึ้น ?"

เจียนอวี้ตอบคำถามจี้หลิงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงข้า”

จี้หลิงเห็นว่าอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บและดูหงุดหงิดไม่น้อย เขาจึงถอนหายใจด้วยความเศร้าสลด “เฮ้อ......

เห็นท่านแล้วข้าก็นึกถึงเฟยเฟย

นางกำลังจะได้เป็นศิษย์ร่วมสำนักกับพวกเราอยู่แล้วเชียว...   ข้าคิดไม่ถึงว่านางจะถูกเจ้าคนสารเลวจี้เทียนซิงฆ่าตาย

!”

เมื่อได้ยินจี้หลิงกล่าวถึงหลิงหยุนเฟย

ใบหน้าของเจียนอวี้ก็ซีดลงกว่าเดิม ดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชังและเจตนาฆ่าฟัน

“จี้เทียนซิง ! ไอ้เด็กระยำนั่น

ข้าไม่เอามันไว้แน่ !”

จี้หลิงมองเจียนอวี้และเลียบๆเคียงๆถามว่า

“เจียนอวี้ เรื่องที่จี้เทียนซิงขโมยผลหยางขาว  ใช่เป็น.....ฝีมือท่าน ?"

เจียนอวี้หรี่ตามองจี้หลิงจากนั้นก็ลดเสียงลงพลางกล่าวว่า

“เป็นข้าเอง

เพื่อที่ข้าจะได้สบโอกาสฆ่ามันและล้างแค้นให้เฟยเฟย !”

จี้หลิงเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดทันที

ดวงตาทอประกายอย่างมีแรงบันดาลใจ เขาได้แนวร่วมเพิ่มอีกคนหนึ่งแล้ว “เจียนอวี้ ข้าก็มีความแค้นใหญ่หลวงดั่งมหาสมุทรกับจี้เทียนซิงเช่นกัน

! หากเจ้าจะฆ่ามันก็นับข้าไปด้วยอีกคน !”

เจียนอวี้ผงกศีรษะและกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

“น่าเสียดาย เจ้าหมอนั่นเจ้าเล่ห์หลักแหลม

ครั้งนี้ข้าประมาทมันเกินไปแต่ครั้งหน้าไม่พลาดแน่ !”

จี้หลิงเผยรอยยิ้มอันมั่นใจและลดเสียงลง

“เจียนอวี้ ข้ามีวิธีเก็บจี้เทียนซิง

พวกเรามาร่วมมือกันดีกว่า.....”