ตอนที่ 234

พันจันทราผู้ดุร้าย...

จี้เทียนซิงรับรู้มานานแล้วว่าไป๋หวู่เชินผู้นี้มีอคติและไม่ลงรอยกับเขา

แต่เขาก็คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกล้ามาพูดตรงไปตรงมาต่อหน้าเช่นนี้

เขาขมวดคิ้วทันทีและแสยะยิ้มมุมปากพลางกล่าวว่า

“เฮอะ  ดูเหมือนว่าการที่ข้าได้รับการยอมรับเป็นศิษย์สายตรงของท่านประมุขนั้นจะทำให้ศิษย์พี่ไป๋ไม่พอใจและขุ่นเคืองยิ่งนักสินะ

!”

"ทำไม ? ข้าไปขวางทางก้าวหน้าของศิษย์พี่ไป๋

? หรือไปแย่งความสำคัญของท่าน ?”

จี้เทียนซิงแสยะยิ้มเย้ยหยันไปที่ไป๋หวู่เชิน

น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยการกระแทกแดกดัน

ไป๋หวู่เชินไม่พอใจ

แต่ใบหน้าของมันก็ยังคงเย้ยหยัน มันกล่าวเยาะเย้ยว่า “อย่างเจ้า ?  น้ำหน้าอย่างเจ้ามีคุณสมบัติอะไรที่จะมาขวางทางหรือต้องให้ข้าลดตัวลงไปแย่งตำแหน่งเล่า

?”

จี้เทียนซิงก็ไม่ยอมน้อยหน้าและสวนกลับไปว่า

“เหอะ ในเมื่อศิษย์พี่ไป๋มั่นใจมากนัก

เช่นนั้นก็มาวัดกันหน่อยเป็นไง ?

ลองฉุดข้าลงมาจากตำแหน่งศิษย์สายตรงดูซี่ !”

“หากท่านไม่สามารถแย่งตำแหน่งของข้าไปได้

งั้นก็เงียบปากไปซะ อย่าทำให้ข้าต้องมาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระที่นี่ !”

นับตั้งแต่วันแรกที่ไป๋หวู่เชินรู้จักจี้เทียนซิง

มันก็มองออกแล้วว่าชายหนุ่มผู้นี้มีทัศนคติสูง

ในสายตาของมัน

จี้เทียนซิงเป็นเพียงไรฝุ่นจากประเทศเล็กๆ ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงหรือแม้กระทั่งลดตัวลงไปสู้รบปรบมือ

แต่ทว่าในเวลาเพียงไม่กี่เดือนสถานะของจี้เทียนซิงกลับพุ่งทะยานอย่างรวดเร็วจนใกล้เคียงกับมัน

อีกทั้งยังถึงขั้นปากคอเราะร้ายพูดจาสามหาวต่อหน้าศิษย์พี่

เช่นนี้จะไม่ให้มันโกรธแค้นและเกลียดชังได้อย่างไร ?

"วิเศษ ! วิเศษมาก

!  ศิษย์น้องจี้ ถือว่าเจ้าปากกล้าพอ เจ้ามันอวดดียิ่งนัก

!”

ไป๋หวู่เชินหัวเราะและกล่าวอย่างเย้ยหยันว่า

“ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขอดูหน่อยว่าเจ้าจะแน่แค่ไหน เดือนหน้าเป็นการจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์ประจำปี

ในเมื่อเจ้าเป็นถึงศิษย์สายตรงของท่านประมุข หากเจ้าไม่ติด 30 สามสิบแรกละก็นะ....”

“ข้าจะคอยดูหนังหน้าเจ้าที่ต้องกลายเป็นตัวตลก !”

หยุดไปครู่หนึ่งมันก็เร่งเสียงขึ้นและกล่าวเสริมว่า

“อ้อ จริงสิ

ในฐานะศิษย์พี่ข้าควรจะเตือนเจ้าเสียหน่อย

ในสามสิบอันดับแรกของรายชื่อขั้นสวรรค์

ผู้ที่อ่อนแอที่สุดนั้นมีพลังยุทธ์ในขอบเขตปราณจิตขั้นที่ 7 !”

“ส่วนเจ้ามีพลังเพียงปราณจิตขั้นแรก

เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าไม่เพียงแค่ตะลึงปากค้างเท่านั้น

แต่เจ้าจะถูกเหล่าศิษย์ฝ่ายในกีดกันและทำให้ท่านประมุขต้องขายหน้าอีกด้วย !”

จี้เทียนซิงหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา

มุมปากแสยะยิ้มและกำลังจะเอ่ยปากสวน

ในเวลานี้เองเฉียนเยวี่ยก็บินเข้ามาในลานกว้าง

ตรงมาหาจี้เทียนซิงและบินวนไปวนมารอบๆ

มันจ้องไป๋หวู่เชินด้วยสีหน้าขุ่นเคืองและร่ำร้องออกมาว่า

“เพ้ย ! เจ้านี่มันน่าขันสิ้นดี

พวกเจ้าอายุเท่าไหร่ ? สหายจี้ของข้าอายุเท่าไหร่ ? สมองมีกลับคิดไม่ได้

เจ้าเอามาเทียบกันแบบนี้ใครเป็นอาจารย์เจ้านะรู้ถึงไหนอายถึงนั่น ! ว่าแต่เจ้าเถอะอยู่รายชื่อขั้นสวรรค์อันดับที่เท่าไหร่ ?”

“พวกข้าอุตส่าห์เจียมเนื้อเจียมตัวพยายามไม่ไปก่อกวนให้ร้ายผู้ใด

วันๆเอาแต่เก็บเนื้อเก็บตัวบ่มเพาะ แต่ดูพวกเจ้าซี่ ทำตัวน่ารำคาญโคตร

รูปร่างหน้าตาก็เป็นมนุษย์แท้ๆแต่ความคิดและหัวสมองกลับเต็มไปด้วยขยะ

เป็นศิษย์พี่แท้ๆแทนที่จะตัวอย่างที่ดี มาหาเขาถึงบ้านแต่มายืนดูถูกเจ้าบ้านเนี่ยนะ

เจ้าคิดว่าตัวเองใหญ่มาจากไหนกันวะ ?!”

เฉียนเยวี่ยส่งเสียงคำรามและด่าทอรัวเป็นปืนใหญ่จนทำให้ไป๋หวู่เชินยืนใบ้

ณ จุดนั้นทันที

ใบหน้าของมันตกตะลึงต่อการปรากฏตัวของเฉียนเยวี่ยและโพล่งออกมาอย่างลืมตัวว่า  “นี่มันตัวผีบ้าอะไรเนี่ย

?”

เฉียนเยวี่ยกลายเป็นโกรธเกรี้ยวมากขึ้น

มันสบถออกมา “ผีพ่อง ! แม้กระทั่งราชาอย่างข้ากลับไม่รู้จัก

แต่กล้าเรียกตัวเองว่าศิษย์อัจฉริยะระดับหัวกะทิ

ถุ้ย ! ภูมิความรู้ตื้นเขินนักไอ้ลูกไม่มีพ่อ !”

ไป๋หวู่เชินอึ้งอีกครั้งกับความปากหมาของเฉียนเยวี่ย

มันไม่มีโอกาสได้ตอบโต้แม้แต่น้อย

มันอดไม่ได้ที่หน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ

ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยและคำรามออกมาว่า

“สารเลวเอ้ย ! ไอ้จิ้งจอกเหม็นเน่า

เจ้าเป็นสัตว์อสูรใช่ไหม ?!  บัดซบที่สุด

เจ้ากล้าด่าพ่อล่อแม่ข้า  รนหาที่ตาย !”

ไป๋หวู่เชินกรีดร้องและสบถคำหยาบออกมา

สีหน้าเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าฟันและเตรียมที่จะสั่งสอนเฉียนเยวี่ย

จี้เทียนซิงหรี่ตาลงด้วยสีหน้าเย็นเยือกพลางตะโกนออกมาว่า

“ไป๋หวู่เชิน ! มันเป็นสัตว์อสูรวิญญาณของข้า

หากเจ้ากล้าทำร้ายมัน ข้าจะทำให้เจ้าต้องสำนึกเสียใจจนวันตาย !”

ทันใดนั้นไป๋หวู่เชินก็ได้สติขึ้นมาทันทีและตระหนักได้

มันรู้กฎของนิกายเป็นอย่างดี

มันอยู่ในอาณาเขตส่วนตัวของจี้เทียนซิงและถือเป็นฝ่ายยั่วยุเจ้าบ้านก่อน

หากมีการต่อสู้ขึ้นมามันจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบและถูกนิกายลงโทษ

เมื่อถึงเวลานั้น

มันไม่เพียงแค่ถูกนิกายลงโทษและกลายเป็นตัวตลกให้ศิษย์หัวกะทิอีกสองคนเยาะเย้ยเท่านั้น

แต่มันยังถือว่าเสียท่าให้จี้เทียนซิงอีกด้วย

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ไป๋หวู่เชินก็สงบสติอารมณ์ลง

มันสูดหายใจลึกพลางจ้องมองไปยังจี้เทียนซิงกับเฉียนเยวี่ยและพูดว่า “จี้เทียนซิง ! วันนี้ข้าจะไม่ลดตัวไปเอาเรื่องคนที่ระดับต่ำกว่าอย่างต่ำ

คอยดูกันไปก่อนเถอะ !”

เฉียนเยวี่ยได้ยินก็แสยะยิ้มอย่างเหยียดหยามพลางกล่าวว่า

“ในสมองเจ้ามีแต่ขี้เลื่อยใช่ไหมนี่ ? เจ้าเข้ามาในตำหนักเทียนซิง กล่าววาจายั่วยุพวกข้าทำท่าจะลงไม้ลงมือแล้วจู่ๆกลับไม่กล้า

? โธ่

คิดว่าข้าไม่รู้หรือไงว่าเจ้ากลัวจะถูกนิกายลงโทษล่ะซี่   ใจตุ๊ด !”

กล่าวถึงตอนนี้เฉียนเยวี่ยก็ตีหน้าเศร้าและกล่าวด้วยความสงสารว่า

“เฮ้อ น่าสมเพชเจ้าเสียจริง เอาเถอะ

จะไปไหนก็ไปไป๊ ราชาผู้นี้ขอเตือนไว้ก่อนนะว่าคราวหน้าอย่าได้เสนอหน้ามายังตำหนักเทียนซิงอีก

ไม่งั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าลูกเต่าเขียว”

“หนอย เจ้าเดรัจฉานน้อย !” ไป๋หวู่เชินโทสะพุ่งพล่านด้วยสีหน้าแดงก่ำ ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธ

มันไม่คาดฝันว่า

ไม่เพียงแค่จี้เทียนซิงเท่านั้นที่กล้าเยาะเย้ยถากถางมัน

แม้แต่สัตว์อสูรวิญญาณของอีกฝ่ายก็ยังโอหังอวดดีและก้นด่าสาปแช่งมันเช่นกัน นี่คือสิ่งที่ไม่ตัวตนระดับมันไม่เคยพบเจอมาก่อน

!

ต่อให้เป็นสองศิษย์หัวกะทิที่เหลือก็ยังไม่กล้าสบถคำหยาบใส่มันเช่นนี้

!

ไป๋หวู่เชินเป็นคนที่เงียบขรึมและไม่ค่อยกล่าววาจามากความ

อีกทั้งเป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงความโกรธเกรี้ยวออกมาง่ายๆ  แต่ในขณะนี้มันอดไม่ได้ที่จะหลุดปากสบถคำผลุสวาทออกมามากมายเช่นนี้เมื่อต้องเจอกับเฉียนเยวี่ย

อย่างไรก็ตาม

เฉียนเยวี่ยยังไม่หยุดเท่านี้

มันเหยียดกรงเล็บจิ๋วออกไปชี้หน้าอีกฝ่ายพลางกล่าวอย่างเห็นอกเห็นใจว่า “โถๆ ดูสิหน้าเขียวปั๊ดเป็นตับหมูเลย

เขินเหรอ ?  เฮ้

เจ้าหนูไป๋ เจ้าก็ยังหนุ่มยังแน่น ดูแลผิวพรรณให้ดีด้วยล่ะ”

เฉียนเยวี่ยกล่าวด้วยสีหน้าราวกับอาวุโสสั่งสอนเด็ก

ซึ่งทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของไป๋หวู่เชินต้องบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความโกรธ

แต่มันก็ไม่อาจทำอะไรได้เพียงแค่กำหมัดแน่นจนกระดูกลั่นดังกร๊อบ  จากนั้นก็คำรามเสียงต่ำว่า “จี้เทียนซิง ข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าทีหลัง !”

มันรู้ว่าตนเองไม่อาจตีฝีปากสู้กับเฉียนเยวี่ยได้

อีกทั้งยังไม่สามารถระบายอารมณ์โกรธได้ที่นี่เช่นกัน  หลังจากทิ้งประโยคส่งท้ายไว้

มันก็สะบัดปลายแขนเสื้อและรีบออกไปจากตำหนักเทียนซิงทันที

เฉียนเยวี่ยมองไปที่ด้านหลังของไป๋หวู่เชินด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยามและตะโกนไล่หลังว่า

“ศิษย์หัวกะทิบ้าบออะไรกัน น่ารังเกียจสิ้นดี

มากวนประสาทถึงถิ่นคนอื่นแล้วยังวิ่งหนีหางจุกตูด!”

“เฮ้ ! คราวหน้าอย่าให้ข้าเจอเจ้าอีกนะ

ไม่งั้นข้าจะทุบตีเจ้าจนบรรพบุรุษต้องลุกจากโลงมาขอชีวิตเลยทีเดียว !”

จี้เทียนซิงหันไปมองเฉียนเยวี่ยจากด้านข้างด้วยสีหน้าแปลกๆ

เขาถามเบาๆด้วยรอยยิ้มว่า “เฉียนเยวี่ย

เจ้าไปเรียนรู้คำด่าพวกนี้มาจากที่ไหนกัน ? ดูจากสีหน้าของไป๋หวู่เชินแล้ว

ข้าว่ากลับไปถึงตำหนักมันคงอ้วกออกมาเป็นถังด้วยความแค้นใจเป็นแน่”

เฉียนเยวี่ยเชิดศีรษะเล็กๆของมันขึ้นด้วยความภาคภูมิและกล่าวอย่างโอหังว่า

“มันเป็นพรสวรรค์โดยกำเนิดของราชาผู้นี้ต่างหาก

อย่างเจ้าหนูไป๋หวู่เชินนั่นน่ะหรือ เฮอะ กล้ามาหาเรื่องนายท่านเฉียน คิดว่าคู่ควร

?”