ตอนที่ 135

หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด

จี้หลิง

เจียนอวี้และลู่หมิงหยางล้วนสารภาพผิด

ฉู่เทียนเซิงสีหน้าไร้อารมณ์และประกาศตัดสินผลการลงโทษพวกเขาทั้งสามทันที

“ลู่หมิงหยางร่วมมือกับจี้หลิงและเจียนอวี้ประทุษร้ายต่อศิษย์น้องร่วมนิกายเดียวกัน, ใส่ร้ายป้ายสีต่อศิษย์ร่วมสำนักให้มีมลทิน, โป้ปดต่อผู้อาวุโส นับเป็นความผิดสามข้อต่อกฎของนิกาย... ”

“แต่เจ้าเป็นเพียงผู้สมรู้ร่วมคิด

ความผิดร้ายแรงถือว่ายกเว้นได้

ข้ามีคำสั่ง ลู่หมิงหยางถูกไล่ออกจากการเป็นศิษย์ฝ่ายใน

กลับเป็นศิษย์ฝ่ายนอก เงินเดือนเบี้ยหวัดลดลงครึ่งหนึ่งเป็นเวลาครึ่งปี !”

คำตัดสินของลู่หมิงหยางออกมาแล้ว

ฉู่เทียนเซิงมองว่าเขาเป็นเพียงผู้สมรู้ร่วมคิดเท่านั้นแต่ไม่ได้นับว่าเป็นหนึ่งในผู้ลงมือต่อจี้เทียนเซิงและจี้เค่อ

ดังนั้นการลงโทษของฉู่เทียนเซิงก็นับว่าสมเหตุผลสมผล

ถึงแม้มันจะเป็นความอัปยศอดสูที่ต้องถูกขับไล่จากศิษย์ฝ่ายในเป็นศิษย์ฝ่ายนอก

แต่ลู่หมิงหยางก็ไม่ได้คัดค้านและโค้งคำนับรับคำสั่งในทันที

“ขอบคุณท่านประมุขสำหรับความเมตตาขอรับ

ศิษย์ยินดีรับคำตัดสินของท่านและสำนึกขอบคุณด้วยความจริงใจ !”

ฉู่เทียนเซิงพยักหน้าและประกาศต่อไปว่า

“เจียนอวี้ร่วมมือกับจี้หลิงคิดหมายสังหารศิษย์ร่วมสำนัก ผิดกฎของนิกาย…”

“นี่ถือเป็นการไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าแล้ว

ข้าประมุขขอลงโทษเจ้าด้วยการขังไว้ในถ้ำวายุทมิฬเป็นเวลาหกเดือนเพื่อสำนึกตนและหักเงินเดือนหนึ่งเดือน!”

เมื่อเจียนอวี้ได้ยินคำว่า

'ถ้ำวายุทมิฬ' ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้าน

ในใจเต็มไปด้วยความโกรธแค้น

แน่นอน

เขาย่อมรู้ดีว่าความขมขื่นและทรมานในการถูกขังไว้ในถ้ำวายุทมิฬนั้นเป็นอย่างไร

เมื่อต้องอยู่ในนั้นถึงครึ่งปีก็ไม่รู้ว่าจะเอาชีวิตรอดได้หรือไม่...

แต่เขาก็รู้แน่ชัดว่าการลงโทษของฉู่เทียนเซิงถือว่าสมเหตุสมผลดีแล้ว

เขาทำได้เพียงก้มหน้ารับชะตากรรมเท่านั้น

“ศิษย์เจียนอวี้....

ขอน้อมรับการลงโทษจากท่านประมุขด้วยความเต็มใจและจะนั่งสมาธิทบทวนความผิดครั้งนี้ขอรับ...!”

สุดท้าย

ดวงตาของฉู่เทียนเซิงก็ตกลงบนร่างของจี้หลิงและกล่าวเสียงต่ำว่า “จี้หลิง

เรื่องทั้งหมดนี้เจ้าเป็นผู้บงการย่อมหมายความว่าเจ้าเป็นผู้ที่มีจิตใจชั่วร้ายอย่างยิ่ง

!”

“ด้วยบุคลิกและนิสัยใจคอของเจ้า

ความผิดที่เจ้าได้ก่อไว้ไม่ควรคู่ต่อการเป็นศิษย์อันทรงเกียรติของนิกายพันธมิตรสวรรค์

!”

“ข้าประมุขขอตัดสินความผิดของเจ้าด้วยการทำลายวรยุทธ์และขับไล่ออกจากนิกาย

!”

เมื่อได้ยินผลการตัดสิน

จี้หลิงก็ตัวสั่นเทาด้วยความเศร้าและสิ้นหวังในทันที

เขาคิดในใจแต่แรกแล้วว่าหลังเรื่องราวถูกเปิดโปงย่อมถูกขับไล่ออกจากนิกายแน่นอน  แต่เขาก็คาดไม่ถึงว่าฉู่เทียนเซิงจะถึงขั้นคิดทำลายวรยุทธ์ของเขา

!

การลงโทษนี้หนักหนาเกินกว่าจะรับได้

!

เขาเคยเป็นผู้ที่ตันเถียนพิการแต่กำเนิด

ถึงแม้จะมีศักดิ์ฐานะของการเป็นองค์ชายค้ำคออยู่ในรัฐนภากระจ่าง

แต่ลับหลังผู้คนส่วนใหญ่ต้องดูถูกเหยียดหยามเขาแน่นอน !

อย่างไรก็ตามเขาไม่เต็มใจในการเป็นองค์ชายทั่วๆไปและมีความทะเยอทะยานอย่างสูง

ดังนั้นเขาจึงแกล้งทำตัวเป็นองค์ชายสุภาพบุรุษผู้มีศีลธรรมและจิตใจดีงาม จนได้รับความเคารพจากผู้คนของรัฐนภากระจ่าง

นอกจากนี้ยังเป็นเพราะการสบประมาทลับหลังของผู้คนที่หาว่าเขาเป็นองค์ชายขยะ  ดังนั้นเขาจึงเริ่มแผนการในการหลอกใช้หลิงหยุนเฟยให้เข้าหาจี้เทียนซิงเพื่อช่วงชิงสายเลือดและทักษะพลังยุทธ์

บัดนี้ทุกอย่างสมมาดปรารถนาแล้ว

มันเป็นเรื่องง่ายที่เขาจะเติมเต็มความใฝ่ฝันด้วยการเป็นศิษย์ของนิกายพันธมิตรสวรรค์

หนทางเป็นสุดยอดฝีมือในเชิงยุทธ์กำลังสว่างไสวเต็มไปด้วยอนาคตที่เจิดจรัส

แต่ตอนนี้ฉู่เทียนเซิงกลับต้องการทำลายวรยุทธ์ของเขาและจะขับไล่ออกจากนิกาย

มันจะทำให้เขากลับไปเป็นองค์ชายสวะในเมืองเล็กๆตามเดิม !

เขาจะเต็มใจได้อย่างไร

? จะไม่ให้โศกเศร้าและขุ่นแค้นได้อย่างไร ?

ความโกรธ

ความอัปยศอดสูอย่างรุนแรงทำให้เขาแค้นจนตัวสั่นสะท้าน

ในหัวของเขาเต็มไปด้วยโทสะจนสูญเสียเหตุผลและความเยือกเย็นจนหมดสิ้น

เขาเชิดหน้าขึ้นจ้องมองฉู่เทียนเซิงด้วยดวงตาแดงก่ำและขึ้นเสียงคำรามอย่างจองหอง

“ไม่มีทาง !  ข้าไม่ยอม !”

“ข้ายอมรับสารภาพแล้วไง

ถูกขับออกจากนิกายก็มากเกินพอแล้ว เจ้ายังคิดจะทำลายวรยุทธ์ของข้าทำไมกันเล่า !?”

ตำหนักฉิงเทียนแห่งนี้นับเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของนิกายพันธมิตรสวรรค์

จี้หลิงซึ่งเป็นเพียงศิษย์สายนอกแต่กล้าเสียมารยาทคำรามใส่ประมุขนิกายอย่างบ้าคลั่ง

เห็นได้ชัดว่าเขาสูญเสียตัวตนจนหมดสิ้น

ทันใดนั้นใบหน้าของฉู่เทียนเซิงก็เศร้าสลดลง

ดวงตาของเขาส่องประกายเย็นชา

ไม่ต้องรอให้ประมุขเอ่ยปาก

ผู้อาวุโสชุดดำของหอบัญญัติก็กรีดร้องเสียงเย็นว่า

“สมควรตาย ! เจ้าสุนัขตัวใหญ่กลับกล้ากำแหงต่อหน้าประมุขในตำหนักฉิงเทียนงั้นหรือ

!”

เมื่อสิ้นเสียง

ร่างของเขาก็พุ่งเข้าจี้หลิงในพริบตา

ฟุ่บ

!

เขาเหยียดมือขวาออกไป

กางฝ่ามือและซัดเข้าใส่ตันเถียนที่ท้องน้อยของจี้หลิงอย่างรวดเร็ว

พลังปราณสีทองอันสูงส่งแผ่พุ่งออกมาจากฝ่ามือและทำลายตันเถียนของจี้หลิงทันที  เขากลายเป็นคนพิการอีกครั้ง

“เปรี้ยง !!”

จี้หลิงถูกกระแทกด้วยพลังฝ่ามือ

ศรโลหิตฉีดพุ่งจากปากและกลิ้งกระเด็นไปหลายเมตร

เขาตะลึงและพยายามลุกขึ้นจากพื้น

มุมปากมีเลือดไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง เขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความโกรธแค้น

“ทำไม ! ทำไมถึงเป็นแบบนี้

ข้าจี้หลิงไม่ยอม !!!!”

เจียนอวี้และลู่หมิงหยางได้เห็นจุดจบที่น่าสังเวชของจี้หลิงก็รีบลดศีรษะลงทันที

พวกเขากลัวจนไม่กล้าขยับตัว

เมื่อเทียบกับจุดจบของจี้หลิงแล้ว

ทั้งคู่รู้สึกโชคดีอย่างลับๆ และในขณะเดียวกันพวกเขาก็ยิ่งเกลียดชังจี้หลิงมากขึ้น

ฉู่เทียนเซิงมองจี้หลิงที่ยังครวญครองบนพื้นเหมือนคนบ้าก็เริ่มขมวดคิ้วและกล่าวว่า

“โยนมันออกไปจากนิกาย !"

อาวุโสชุดดำพยักหน้าและเดินไปหาจี้หลิงที่มีสภาพเหมือนสุนัขตายอย่างรวดเร็ว

จากนั้นก็ลากเขาออกจากห้องโถงทันที

ฉู่เทียนเซิงประกาศขึ้นอีกครั้งว่า

“จี้เทียนเซิง เรื่องทั้งหมดได้ถูกพิสูจน์แล้วว่าเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์

เจ้ากลับไปฝึกฝนในยุทธ์ฟงอวิ๋นได้ตามเดิม”

จี้เทียนเซิงกำหมัดคารวะและกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า

“ขอบคุณท่านประมุข”

นอกจากขอบคุณแล้ว

จี้เทียนเซิงก็ไม่ได้พูดอะไรมากนัก เหตุการณ์นี้เป็นแผนการของจี้หลิงซึ่งทั้งหมดก็ได้รับโทษกันไปหมดแล้ว

เขารู้ว่าการที่ตนเองถูกกักตัวในถ้ำวายุทมิฬเป็นเวลาสิบกว่าวันนั้นถือเป็นเรื่องสมควรที่นิกายจำเป็นต้องทำเพื่อรักษากฎระเบียบในการห้ามศิษย์ฆ่าฟันกันเอง

ยกเว้นการประลอง ซึ่งข้อนี้เขาผิดจริง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เรียกร้องอะไรต่อนิกาย

เขาตระหนักแล้วว่าการเข้าเมืองตาลิ่วต้องลิ่วตาตามเป็นอย่างไร  การที่ต้องอาศัยอยู่ในนิกายขนาดใหญ่เช่นนี้

เขาต้องปรับตัวให้เข้ากับกฎของนิกายถึงจะเอาตัวรอดได้

แน่นอนว่าหลังจากเหตุการณ์นี้

เขาเริ่มฉลาดมีไหวพริบขึ้นและเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นอีกด้วย

หลังจากฉู่เทียนเซิงตัดสินเสร็จ

เจียนอวี้กับลู่หมิงหยางก็ถูกอาวุโสชุดดำของหอบัญญัติพาตัวออกไป

จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายออกจากตำหนักฉิงเทียน

อย่างไรก็ตามจี้เทียนซิงไม่ได้กลับไปที่หอยุทธ์ฟงอวิ๋นหลังเดินออกจากตำหนักฉิงเทียน

เขามีสิ่งสำคัญที่ต้องทำนั่นก็คือ

... ฆ่าจี้หลิง !

การทำลายวรยุทธ์ของจี้หลิงและขับไล่เขาออกไปจากนิกายนั้นเป็นเพียงการลงโทษสำหรับนิกาย

แต่จี้เทียนเซิงยังต้องการล้างแค้น

หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือด ! กลบฝังเภทภัยในอนาคตที่อาจย้อนมาแว้งกัดเขาอีกครั้ง !

จี้เทียนซิงเดินไปตามยอดเขาเมฆาสีชาดจนได้เห็นจี้หลิงที่เชิงเขา

เขาเดินตามอีกฝ่ายอย่างเงียบงัน ดวงตาจับจ้องไปที่ด้านหลังของจี้หลิงด้วยจิตสังหารอันเยือกเย็น

ครึ่งชั่วโมงต่อมาผู้อาวุโสของหอบัญญัติก็ลากจี้หลิงออกจากนิกายพันธมิตรสวรรค์และมาถึงตีนเขาห่างจากนิกายไปได้สิบไมล์

จากนั้นเขาก็โยนจี้หลิงไว้ข้างถนนและหันหลังเดินกลับนิกายอย่างไม่แยแส

จี้หลิงล้มฟุบอยู่บนพงหญ้าริมถนน

สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและก้นด่าสาปแช่งไม่หยุด

“จี้เทียนซิง ! เจ้าเดรัจฉานน้อย

สักวันหนึ่งราชาผู้นี้จะต้องแก้แค้น ข้าจะฉีกร่างเจ้าเป็นหมื่นๆชิ้น !”

“และ...นิกายพันธมิตรสวรรค์ที่ชั่วช้าโหดเหี้ยม

ราชาผู้นี้จะล้างความอัปยศในวันนี้และทำลายนิกายบัดซบนี้ให้สิ้นซาก !!”

ทันทีที่เสียงของเขาจางลง

ข้างหูก็ได้ยินคำพูดเหยียดหยามดังขึ้น

“เหอะ ! จี้หลิง

เจ้าไม่มีโอกาสได้แค้นแน่นอน !”