ตอนที่ 23

องค์หญิงน้อยมาเยือน

ในใจของจี้เทียนซิงเต็มไปด้วยข้อสงสัย

มวลอารมณ์รอบกายคละคลุ้งไปด้วยความหดหู่

วิถีดวงใจกระบี่ที่มันฝึกปรืออยู่นั้นไม่เคยถูกกล่าวถึงและไม่เคยมีผู้ใดได้ยินมาก่อน

ตอนนี้เขาควบแน่นตัวอ่อนกระบี่ได้อย่างเชื่องช้านักและติดอยู่ในคอขวดไม่อาจทะลวงขีดขั้นไปได้ในระยะสั้น

ยิ่งไปกว่านั้น

เขาไม่มีประสบการณ์ในการฝึกปรือที่ถ่ายทอดสอนสั่งจากผู้อื่นหรือบรรพบุรุษ เขาทำได้เพียงเข้าถึงและสำรวจวิถีทางนี้ได้ด้วยตนเองเท่านั้น

วิถีดวงใจกระบี่ที่ผิดแผกนี้ถูกกำหนดให้เป็นเส้นทางบ่มเพาะที่แข็งแกร่งก็จริง

แต่ยากเย็นในความก้าวหน้านัก !

จี้เทียนซิงครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานและก็ยังตีโจทย์ไม่แตก

สุดท้ายก็นึกถึงสุสานเทพกระบี่

เขาตัดสินใจเข้าสู่สุสานเทพกระบี่อีกครั้งเพื่อดูศิลาจารึกอันอื่นๆเผื่อว่าจะพบหาทางแก้ปัญหา

เขากุมวิญญาณแห่งสมาธิและรวบรวมสติของเขาไปในหลุมดำที่ตันเถียน

วิธีนี้ใช้ได้ผลและสติของเขาก็ถูกกลืนลงไปในหลุมดำอย่างรวดเร็ว

ร่างกายของชายหนุ่มยังคงนอนแอ้งแม้งอยู่ในห้องฝึกลับ

แต่จิตสำนึกของมันทะยานเข้าสู่พื้นที่ที่เย็นเยียบและดำมืด

“วู้ม !”

จิตสำนึกของเขาควบแน่นเป็นร่างโปร่งแสงและรูปร่างหน้าตาก็มิได้ผิดแผกไปจากเดิม  จากนั้นก็มุ่งหน้าเข้าสู่พื้นที่แห่งสุสานเทพกระบี่

ความรู้สึกที่เท้ายังคงเย็นเฉียบและสัมผัสได้ถึงพื้นดินที่แข็งกระด้าง

มันเต็มไปด้วยหมอกที่เปล่งกลิ่นอายของความตายออกมาเหมือนเคย

แม้ว่านี่เป็นครั้งที่สองที่ชายหนุ่มได้เข้ามา

แต่มันก็ยังก็ยังรู้สึกแปลกใหม่ในพื้นที่แห่งนี้

จิตสำนึกของมันล่องลอยไปข้างหน้าและกวาดมองดูสภาพแวดล้อมของการล่มสลายไปพร้อมๆกัน

เป็นเรื่องน่าเสียดายที่หมอกรอบๆหน้าแน่นอย่างยิ่ง

ราวกับว่ามันจะไม่มีกระจายตัวออกจากกัน

มันปิดกั้นระยะสายตาของเขาหมดสิ้น ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถมองเห็นภาพที่อยู่ไกลออกไปได้เลย

หลังจากนั้นไม่นาน

ชายหนุ่มก็มาถึงภายใต้อนุสาวรีย์กระบี่สีดำขนาดใหญ่

ตัวอักษรทั้งสี่

‘สุสานเทพกระบี่’ บนตัวกระบี่นั้นยังคงเฉียบคมและแข็งแกร่งจนเขาก็ไม่กล้ามองมันนานๆ

ศิลาจารึกหน้าหลุมศพทั้งดำและขาวทั้งสิบแปดแห่งยังคงตั้งตะหง่านอยู่ทางด้านซ้ายและด้านขวาของอนุสรณ์กระบี่

เมื่อยามที่จี้เทียนซิงมาที่นี่เป็นครั้งแรก

เขาพบว่าศิลาจารึกทางด้านซ้ายทั้ง 9 นั้นเป็นเคล็ดบ่มเพาะวิถีดวงใจกระบี่ทั้งสิ้น

คราวนี้เขาจึงมุ่งความสนใจเป็นพิเศษกับศิลาจารึกทั้ง

9 ทางด้านขวาและจับจ้องอยู่ครู่หนึ่ง

ศิลาจารึกทั้ง

9 ทางด้านขวานั้นถูกจารึกด้วยอักษรโบราณ แต่อย่างไรก็ตาม

อักษรเหล่านั้นช่างคลุมเครือจนเขาแทบมองไม่เห็นอะไรเลย

จี้เทียนซิงคาดเดาว่าอักษรทั้ง

9 ของศิลาจารึกทางด้านขวานั้นย่อมลึกซึ้งอย่างแน่นอนและไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยเขตแดนพลังในปัจจุบันของเขา

ดังนั้นเขาจึงหันกลับมาและเดินไปที่ด้านหน้าของศิลาจารึกทั้งหลายในฝั่งซ้าย

เขาจับจ้องที่ศิลาจารึกอันแรกและต้องการเห็นอักษรซ้ำอีกครั้งเพื่อยืนยันให้แน่ใจว่า

วิธีการฝึกฝนของเขานั้นไม่มีขั้นตอนใดขาดตกบกพร่อง

อย่างไรก็ตาม

ศิลาจารึกนั้นกลับว่างเปล่า !

อักษรมากกว่าหนึ่งร้อยคำที่มีมาก่อนหน้านี้หายไปหมดสิ้น

!

“นี่…เป็นไปได้อย่างไร ?”

จี้เทียนซิงรู้สึกตะลึงงัน

โชคดีที่เขาจำอักษรและประโยคทั้งหมดของศิลาจารึกทั้ง

5 แห่งแรกได้แล้ว

ดังนั้นการหายไปของศิลาจารึกอันแรกนั้นจึงไม่ส่งผลกระทบต่อการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องของเขา

เขามองไปที่ศิลาจารึกอื่นอย่างรวดเร็ว โชคดีที่อักษรบนนั้นยังคงอยู่ครบถ้วนและมองเห็นได้ชัดเจน

จี้เทียนซิงขมวดคิ้วและครุ่นคิดในใจ

“อักษรชุดแรกบนศิลาจารึกบันทึกเอาไว้เกี่ยวกับวิถีดวงใจกระบี่ในขั้นแรก, ควบแน่นปราณกระบี่และวิธีการเพาะตัวอ่อนกระบี่”

“ตอนนี้ข้าควบแน่นปราณกระบี่ได้ครบทั้ง 12 สายแล้ว เหลือเพียงขั้นตอนเดียวเท่านั้นก็คือเพาะตัวอ่อนกระบี่

แต่ศิลาจารึกแรกกลับหายไป”

“หรือว่าวิธีการบ่มเพาะของข้ามิได้ผิดพลาด

ในเมื่อผ่านขั้นตอนแรกไปแล้วศิลาจารึกอันแรกจึงหายไป ?”

เมื่อขบคิดถึงเรื่องนี้แล้วจิตใจของจี้เทียนซิงก็กระจ่าง

เขาเริ่มวิเคราะห์วิธีการในขั้นตอนต่อไป

“หากวิธีการบ่มเพาะของข้าถูก

งั้นปัญหาก็ย่อมอยู่ในร่างกายของข้าเอง !”

“ในตอนนี้เรื่องยากที่สุดของข้าก็คือไม่สามารถชักนำปราณกระบี่ในจุดชีพจรทั้ง

12 สายไปไว้ที่ตันเถียนได้

เส้นชีพจรของข้าไม่อาจทนทานมัน พวกมันจึงตัดขาด”

“ถ้าหากข้าฝืนบังคับปราณกระบี่พวกนั้น

เส้นชีพจรของข้าอาจจะขาดสะบั้นเป็นแน่

ถึงเวลานั้นแม้จะไม่ตกตายก็คงเป็นยิ่งกว่าขยะที่ใช้ชีวิตประจำวันยังไม่ได้....”

“ดูเหมือนว่ากุญแจสำคัญของปัญหานี้ก็คือเส้นชีพจรของข้าไม่แข็งแรงพอ

บางทีข้าอาจจะต้องหาวิธีเสริมความแข็งแกร่งของเส้นชีพจร !”

จี้เทียนซิงเคยเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของรัฐนภากระจ่าง

เขาหลักแหลมเฉลียวฉลาดและมีประสบการณ์ในการฝึกฝนวิชายุทธ์สูงล้ำกว่าผู้อื่น

ทำให้แม้ว่าเขาจะฝึกฝนวิชายุทธ์แบบที่แตกต่างจากสามัญสำนึกคนทั่วไป

เช่น วิถีดวงใจกระบี่ เขาก็ยังสามารถเข้าใจได้อย่างถี่ถ้วนด้วยภูมิปัญญาของตนเองและวิเคราะห์ได้ถึงปัญหา

เมื่อคาดว่าตนเองทำความเข้าใจกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้แล้ว

เขาจึงออกจากสุสานเทพกระบี่ด้วยความอุ่นใจ

จิตสำนึกของจี้เทียนซิงกลับคืนสู่ร่างกายและเขาก็ลืมตาลุกขึ้นนั่ง

เขาจดจำเรื่องการเสริมความแข็งแกร่งให้เส้นชีพจรและนึกถึงดอกไม้ดาราแดงในทันที

เขาหยิบกล่องเหล็กเล็กๆออกจากแขนและเปิดกล่องออกมา

มองไปที่เข็มทิศและกระซิบแผ่วเบาว่า

“ท่านพ่อบอกว่าดอกไม้ดาราแดงสามารถซ่อมแซมตันเถียนและเสริมสร้างเส้นชีพจรได้

มันเต็มไปด้วยพลังต้นกำเนิดและยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งอย่างมากอีกด้วย”

“ถ้าหากข้าสามารถหาดอกไม้ดาราแดงได้ บางทีข้าอาจจะช่วยเสริมแกร่งเส้นชีพจรจนทำให้ข้าควบแน่นตัวอ่อนกระบี่ได้ก็เป็นได้”

“ยังมีเวลาเหลืออีกหกกว่าจะถึงเวลา จากเมืองจักรวรรดิไปยังเทือกเขาเย่ใช้เวลาสองวันในการเดินทางด้วยม้าที่เร็วที่สุด ดูเหมือนว่าข้าควรจะเตรียมพร้อมได้แล้ว ...

"

จี้เทียนซิงออกจากห้องลับและกลับไปที่ห้อง

ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงแล้ว เขาต้องเก็บข้าวของหลังกินมื้อกลางวันเพื่อเตรียมที่จะออกเดินทางไปยังเทือกเขาเย่ตอนเช้าของวันพรุ่งนี้

ในเวลานั้นเอง

ฮวนเอ๋อก็วิ่งเข้ามาในห้องพอดีและรายงานต่อจี้เทียนซิงว่า

“คุณชายใหญ่คะ ! องค์หญิงเค่อเค่อกำลังมาที่นี่

!”

จี้เทียนซิงตกตะลึงและยิ้มเจื่อนอย่างเป็นทุกข์ “องค์หญิงน้อยมาได้อย่างไร ?”

เขาซ่อนกระเป๋า

เดินออกจากห้องเพื่อจะไปทักทายองค์หญิงน้อยในสวน

ถึงแม้ว่าองค์หญิงน้อยนางนี้จะเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์

แต่นางชอบที่จะเที่ยวเล่นกับจี้เทียนซิงตั้งแต่ยังเด็กแล้ว

ยามว่างนางมักจะหนีออกจากวังเพื่อมาหาเขาและชวนไปเที่ยวเล่นกัน ความสัมพันธ์ของเขากับนางนั้นนับว่าดียิ่ง

องค์หญิงน้อยเป็นผู้ที่มีชีวิตชีวาและซุกซน

นางมักจะหาเรื่องแปลกๆมาเล่นกับเขา ซึ่งทำให้จี้เทียนซิงไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี...

จี้เทียนซิงขบคิดระหว่างเดิน

องค์หญิงน้อยมาเยือนตระกูลจี้วันนี้ ข้าหวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกนะ ?

ในช่วงเวลาไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นที่ประตูของสวนเล็กๆ

สิ่งแรกที่ปรากฏในดวงตาของจี้เทียนซิงก็คือเด็กสาวสวมชุดคลุมสีเขียวและรองเท้าบูทสีทอง

เด็กผู้หญิงนางนี้มีอายุประมาณ

14 ปี รูปร่างเล็กน่ารัก

ใบหน้าสีขาวนวลของนางนั้นเป็นสีชมพูระเรื่อและดวงตาของนางก็กระจ่างใส

ข้อมือขาวของนางสวมกำไลหยกสีแดงเพลิง

ผมของนางยาวบดบังผ้าคลุมไหล่ดูน่ารักมาก

ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือองค์หญิงน้อยที่จักรพรรดิชื่นชอบและตามใจ, องค์หญิงน้อยจี้เค่อ

ลำพังนางผู้เดียวก็นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้จี้เทียนซิงปวดกบาลได้แล้ว

แต่เขาคาดไม่ถึงว่านางยังลากผู้ติดตามมาด้วยอีกนับสิบชีวิต !

คนเหล่านี้ทั้งหมดล้วนต่างจากคนธรรมดาสามัญ

พวกเขาสง่างามและราศีจับ

นอกจากนี้ยังมีฝูงคนที่ติดตามมาพร้อมกับทหารองครักษ์ร่างใหญ่อีก

8 คนที่สวมเกราะอันองอาจ

เท่านั้นไม่พอยังแบกกล่องใหญ่มาอีก 4 กล่อง

!

“ยะโฮ ! พี่ใหญ่เทียนซิง

ข้ามาหาท่านแล้ว !”

องค์หญิงน้อยเผยแย้มยิ้มและเอ่ยปากทักทายจี้เทียนซิง

จากนั้นนางก็ชี้โบ้ชี้เบ้ให้เหล่าองครักษ์ร่างใหญ่ทั้ง 8 คนแบกกล่องใหญ่ 4 กล่องเข้าไปในห้องของชายหนุ่ม