ตอนที่ 149

หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง

เมื่อจี้เทียนซิงฆ่าจี้หลิงไปแล้ว

เขาก็ปล่อยวางเรื่องทั้งหมด เพราะความตายคือบทสรุปของผู้คน

ทว่า

หลังจากได้ยินคำอธิบายของหยุนเหยา

เขาจึงตระหนักได้ว่าเรื่องนี้ยังไม่จบสิ้นเสียทีเดียว

แต่มันยังแฝงไว้ด้วยอันตรายอันใหญ่หลวงอีกต่างหาก !

ในขณะเดียวกันเขาก็ยังรู้สึกขยะแขยงต่อเผ่ามารอย่างลึกซึ้งอีกด้วย

“พวกมันสามารถแยกวิญญาณของคนตายออกไปทรมานเพื่อล้วงความลับงั้นหรือ

? เผ่ามารเชี่ยวชาญในเคล็ดวิชาชั่วร้ายเช่นนี้ด้วย

น่าเหลือเชื่อนัก !”

ใบหน้าของจี้เทียนซิงดูเคร่งเครียดและหันไปกล่าวกับหยุนเหยาว่า

“ศิษย์พี่หญิง เช่นนั้นเราจะค้นหาที่อยู่ของวิญญาณจี้หลิงได้อย่างไร

?”

ไม่รอคำอธิบายจากหยุนเหยา

ไป๋หวู่เชินกล่าวแทรกขึ้นมาว่า “เจดีย์ซวนจี๋ของผู้อาวุโสสองเป็นสมบัติลึกลับ

สามารถนำมาใช้ตรวจสอบที่อยู่ของร่างกายจี้หลิงได้”

ดวงตาของไป๋หวุ่เชินจ้องมองจี้เทียนซิงและกล่าวด้วยเสียงต่ำว่า

“ไม่ใช่ว่าจี้หลิงช่วงชิงสายเลือดของเจ้าไปหรือไง

?  เขามีสายเลือดของเจ้าไหลเวียนอยู่ในร่าง

พวกเจ้าทั้งสองจึงมีการเชื่อมโยงต่อกัน”

“ข้าจะร่ายอาคมใส่เจดีย์ซวนจี๋

สิ่งที่ข้าต้องการก็คือหยดเลือดของเจ้าเพื่อใช้เป็นตัวกระตุ้นการทำงานของเจดีย์

จากนั้นจะให้มันนำทางพวกเราไปหาร่างของจี้หลิง”

จี้เทียนซิงเข้าใจในทันทีและพยักหน้าพลางขบคิดในใจว่า

“มิน่าเล่า.....ศิษย์พี่หยุนเหยาถึงต้องการความช่วยเหลือจากข้า

เรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่งของพลังยุทธ์

สิ่งที่นางต้องการคือหยดเลือดของข้า”

เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เขาก็กล่าวกับหยุนเหยาด้วยความสงสัยว่า

“ศิษย์พี่หญิง หากท่านต้องการหยดเลือดของข้าเพื่อใช้กับสมบัติลับชิ้นนี้ก็มิใช่เรื่องยาก

ข้าจะมอบแก่นโลหิตให้ท่าน จากนั้นพวกท่านก็ทำภารกิจกันเองเถิด ข้าจะไม่ไปด้วย

ข้าจำเป็นต้องกลับไปฝึกฝนต่อ"

เมื่อเดือนที่แล้วหอยุทธ์ฟงอวิ๋นมีการประเมินการปรุงยา

แต่ช่วงเวลานั้นเขาถูกจี้หลิงใส่ร้ายป้ายสีจนต้องถูกขังอยู่ในถ้ำวายุทมิฬเป็นเวลาหลายวัน

ส่งผลให้การศึกษาการปรุงยาล้าช้าอย่างยิ่ง

หากมิใช่เพราะเซี่ยงหวู่จี้ชี้แนะเรื่องการปรุงยาให้  เขาคงไม่มีทางผ่านการประเมินจนได้อันดับหนึ่งและต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน

เดือนนี้ก็มีการประเมินครั้งที่สองเช่นกัน

เขาไม่อยากเสียเวลากับเรื่องอื่นที่ส่งผลให้การฝึกฝนข่ายอาคมล่าช้าลงไปอีก

เขาโชคดีที่ผ่านการประเมินในการปรุงยาจนได้รางวัลของอันดับหนึ่ง แต่ทว่า เขาก็มิได้หลงลำพองใจ

เขาคิดอยู่เสมอว่ายิ่งพยายามมากก็ยิ่งสำเร็จ เขาคงไม่ดวงดีไปตลอด

หากเขาไม่ฝึกฝนข่ายอาคมให้มากพอ

การประเมินเดือนนี้เขาอาจจะได้ที่โหล่ก็เป็นได้

เมื่อได้ยินคำพูดของจี้เทียนซิง

หยุนเหยายังไม่ได้กล่าวอันใด แต่ไป๋หวู่เชินกลับแสยะยิ้มอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ “หรือศิษย์น้องเทียนซิงผู้ยิ่งใหญ่จะหวาดกลัวต่อความดุร้ายของเผ่ามารกันนะ

?  เจ้าถึงได้จงใจหาข้ออ้างหลบเลี่ยงภารกิจ”

จี้เทียนซิงจ้องมองไป๋หวู่เชินด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแสว่า

“ศิษย์พี่ไป๋

อย่าได้คิดว่าข้าว่าเป็นผู้ดีจอมปลอมเหมือนคนบางคนสิ”

ทันใดนั้นไป๋หวู่เชินก็สีหน้ามืดครึ้มลงและตะโกนออกมาว่า

“จี้เทียนซิง ! เจ้ากำลังพูดถึงใคร

?”

เขาเห็นว่าจี้เทียนซิงมีแววตาไม่พอใจและนี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากกับการลดคุณค่าของจี้เทียนซิงต่อหน้าหยุนเหยา

แน่นอนว่าไป๋หวู่เชินย่อมไม่พลาดโอกาสทับถมอีกฝ่าย

แต่จี้เทียนซิงกลับฝีปากกล้าโดยการแขวะอัจฉริยะระดับสูงของนิกายอย่างเขา  เขาจะไม่โกรธได้อย่างไร ?

ในเวลานี้เอง

หยุนเหยาก็ขมวดคิ้วคู่งามเล็กน้อยและก้าวมายืนกั้นกลางระหว่างพวกเขาทั้งสอง

นางมองจี้เทียนซิงอย่างสงบและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า

“ศิษย์น้องเทียนซิง เจ้ายังไม่เข้าใจ  ถึงแม้ว่าเจดีย์ซวนจี๋จะสามารถใช้แก่นโลหิตของเจ้าเพื่อตามหาร่องรอยศพของจี้หลิงได้ก็จริงอยู่

แต่หากระยะทางนั้นไกลเกินไปก็มิอาจบ่งบอกตำแหน่งได้อย่างแน่ชัด”

“ด้วยการนี้

ข้าจึงอยากให้เจ้าช่วยไปกับพวกเราด้วย”

หลังจากฟังคำอธิบายของหยุนเหยา

จี้เทียนซิงถึงได้เข้าใจเหตุผลว่าทำไม

หากกล่าวอย่างตรงไปตรงมา

หยุนเหยาก็นับว่าดีต่อเขาเสมอ แถมนางยังเคยช่วยเหลือเขาในยามคับขันหลายครั้ง  เมื่อนางเอ่ยปากให้ช่วย เขาจะปฏิเสธได้อย่างไร?

จี้เทียนซิงยกคิ้วขึ้นแล้วพยักหน้าตกลง

“หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็ยินดีไปกับท่าน”

“ขอบใจเจ้ามาก ศิษย์น้องเทียนซิง” หยุนเหยาผงกศีรษะและกล่าวขอบคุณ

จากนั้นจี้เทียนซิงก็เหลือบมองไป๋หวู่เชินที่กำลังจ้องเขาตาเขียวปั๊ดและกล่าวอย่างเฉยเมยว่า

“ในเมื่อศิษย์พี่หญิงก็แข็งแกร่งพอ

ส่วนแก่นโลหิตของข้าก็จำเป็นในการตามหาศพของจี้หลิง

เราสองต่างเป็นผู้ที่จำเป็นต่อภารกิจครั้งนี้

ข้าอยากรู้นักว่าเหตุใดศิษย์พี่ไป๋ต้องตามมาด้วย ? ท่านจำเป็น ?”

ไป๋หวู่เชินเพิ่งจะหยามศักดิ์ศรีเขา

แน่นอนว่าจี้เทียนซิงก็ไม่ยอมเป็นผู้ถูกกระทำฝ่ายเดียว เมื่อมีโอกาสเขาย่อมแขวะคืน

แน่นอน

ไป๋หวู่เชินผู้หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีย่อมมีปฏิกิริยาต่อคำพูดนี้  ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธและจ้องเขม็งไปที่จี้เทียนซิง “จี้เทียนซิง ! ข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญข่ายอาคม

ข้าสามารถควบคุมเจดีย์ซวนจี๋ได้ !”

จี้เทียนซิงเลิกคิ้วขึ้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแส

“โห ? ขนาดนั้นเชียว

แสดงว่าศิษย์พี่หยุนเหยาไม่มีความเชี่ยวชาญพอที่จะควบคุมเจดีย์ซวนจี๋ได้ดีเท่าท่านว่างั้น?”

หยุนเหยาเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรเทียนเฉิน

ไม่เพียงแค่พรสวรรค์โดยกำเนิดในเชิงยุทธ์ของนางเท่านั้น

แต่ยังรวมไปถึงข่ายอาคมและการปรุงยาอีกด้วย

นางย่อมควบคุมเจดีย์ซวนจี๋ได้แน่นอน

ไป๋หวู่เชินขบกรามกรอดจากการถูกหักหน้า

อากาศรอบตัวเขากลายเป็นเย็นชาลงทันที เขาอยากทุบตีเจ้าเด็กปากมอมผู้นี้นัก !

เมื่อเห็นทั้งสองกำลังทะเลาะกันอีกยก

หยุนเหยาถอนหายใจและกล่าวว่า

“ศิษย์น้องเทียนซิง

ท่านอาจารย์ขอให้ศิษย์น้องไป๋ติดตามไปช่วยเหลือข้าเอง”

เมื่อหยุนเหยาออกหน้า

จี้เทียนซิงจึงไม่ได้พูดอะไรเพื่อทำให้นางต้องตกอยู่สถานการณ์อึดอัดอีก

ไป๋หวู่เชินก็เข้าใจว่าหยุนเหยาโกหกเพื่อรักษาหน้าให้เขา

ดังนั้นเขาจึงสูดหายใจลึกและพยายามไม่ต่อล้อต่อเถียงกับจี้เทียนซิง

เมื่อบรรยากาศมาคุสงบลง

ทีมคนหาสามคนก็ถูกจัดตั้งขึ้นแล้ว

ถึงแม้ว่า

... ความสัมพันธ์จะไม่กลมกลืนนักก็ตาม

ไป๋หวู่เชินนำเจดีย์ซวนจี๋ออกมาและสลัดความคิดฟุ้งซ่านออก

ตั้งสมาธิและร่ายอาคมเพื่อเปิดการทำงานของข่ายอาคมในเจดีย์

จากนั้นจี้เทียนซิงก็ชักกระบี่เฉือนนิ้วตนเองและบีบเลือดหยดลงในนั้น

วู้ม.....

!

เจดีย์ซวนจี๋กางออกดั่งบุปผาเบ่งบานด้วยแสงสีทองและหมุนวนอย่างรวดเร็ว

มันปลดปล่อยพลังไร้สภาพอันลึกลับสายหนึ่งออกมา

จี้เทียนซิงและหยุนเหยาต่างก็จ้องมองไปยังเจดีย์เพื่อรอการแสดงผลของมัน

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง การหมุนของเจดีย์ก็เริ่มช้าลงและหยุดในที่สุด

พวกเขาสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามุมทั้งแปดของเจดีย์กลายเป็นสีแดงเลือดและชี้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

เห็นได้ชัดว่าศพของจี้หลิงสมควรอยู่ทางทิศทางตะวันตกเฉียงเหนือของนิกายพันธมิตรสวรรค์

“ตะวันตกเฉียงเหนือ ออกเดินทางกันเถอะ !”

หยุนเหยาออกคำสั่งทันทีและกระโดดนำจี้เทียนซิงขึ้นกระเรียนวิญญาณ

บินขึ้นไปบนฟ้า

ส่วนไป๋หวู่เชินก็เก็บเจดีย์ซวนจี๋และขึ้นขี่หมาป่ายักษ์สีเงินมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน  ระหว่างทางเขาเงยหน้าขึ้นมองกระเรียนวิญญาณบนท้องฟ้าเป็นระยะ

ที่ด้านหลังของกระเรียน

เขาเห็นจี้เทียนซิงกำลังยืนเคียงข้างกับหยุนเหยาและพูดคุยกัน เมื่อได้เห็นภาพนี้

ไป๋หวู่เชินก็อดไม่ได้ที่จะหน้าร้อนผ่าว แววตากลายเป็นเย็นชาลง

“ไอ้เด็กระยำจี้เทียนซิง ! เป็นแค่ฝุ่นเม็ดจ้อยในประเทศเล็กๆกลับกล้าใกล้ชิดศิษย์พี่หยุนเหยา !”

“เสียดายที่ท่านประมุขดูเหมือนจะให้ความสนใจไอ้เด็กนี้

ถ้าไม่งั้นข้าคงต้องลงมือสั่งสอนมันสักรอบให้มันรู้สำนึกว่าอย่ามายุ่งกับศิษย์พี่

!”

ก่อนหน้านี้ที่รัฐนภากระจ่าง

ไป๋หวู่เชินก็เกลียดขี้หน้าจี้เทียนซิงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

พออยู่นิกายเดียวกันและได้เห็นหยุนเหยาสนิทสนมใกล้ชิดกับเขาก็ยิ่งทำให้ความหึงหวงริษยาของไป๋หวู่เชินเพิ่มพูนขึ้นมหาศาล

ถึงแม้ว่าความหึงหวงนี้จะยังไม่ถึงขั้นที่ทำให้เขาต้องลงมือฆ่าจี้เทียนซิง  แต่เขาก็เคยขบคิดในใจลับๆแล้วว่าจะหาทางขับไล่จี้เทียนซิงออกจากนิกายให้จงได้

เพื่อทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่ใกล้ชิดกันไปมากกว่านี้

แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก็คือ

จี้เทียนซิงกลับได้รับความสนใจจากประมุขนิกาย

ดังนั้นแผนการที่เขาเตรียมไว้จึงไม่อาจใช้ได้อีกแล้วในขณะนี้

เขาทำได้เพียงภาวนาในใจว่าระหว่างการทำภารกิจนี้จะสบโอกาสให้เขาบรรลุความปรารถนา

!