หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง
เมื่อจี้เทียนซิงฆ่าจี้หลิงไปแล้ว
เขาก็ปล่อยวางเรื่องทั้งหมด เพราะความตายคือบทสรุปของผู้คน
ทว่า
หลังจากได้ยินคำอธิบายของหยุนเหยา
เขาจึงตระหนักได้ว่าเรื่องนี้ยังไม่จบสิ้นเสียทีเดียว
แต่มันยังแฝงไว้ด้วยอันตรายอันใหญ่หลวงอีกต่างหาก !
ในขณะเดียวกันเขาก็ยังรู้สึกขยะแขยงต่อเผ่ามารอย่างลึกซึ้งอีกด้วย
“พวกมันสามารถแยกวิญญาณของคนตายออกไปทรมานเพื่อล้วงความลับงั้นหรือ
? เผ่ามารเชี่ยวชาญในเคล็ดวิชาชั่วร้ายเช่นนี้ด้วย
น่าเหลือเชื่อนัก !”
ใบหน้าของจี้เทียนซิงดูเคร่งเครียดและหันไปกล่าวกับหยุนเหยาว่า
“ศิษย์พี่หญิง เช่นนั้นเราจะค้นหาที่อยู่ของวิญญาณจี้หลิงได้อย่างไร
?”
ไม่รอคำอธิบายจากหยุนเหยา
ไป๋หวู่เชินกล่าวแทรกขึ้นมาว่า “เจดีย์ซวนจี๋ของผู้อาวุโสสองเป็นสมบัติลึกลับ
สามารถนำมาใช้ตรวจสอบที่อยู่ของร่างกายจี้หลิงได้”
ดวงตาของไป๋หวุ่เชินจ้องมองจี้เทียนซิงและกล่าวด้วยเสียงต่ำว่า
“ไม่ใช่ว่าจี้หลิงช่วงชิงสายเลือดของเจ้าไปหรือไง
? เขามีสายเลือดของเจ้าไหลเวียนอยู่ในร่าง
พวกเจ้าทั้งสองจึงมีการเชื่อมโยงต่อกัน”
“ข้าจะร่ายอาคมใส่เจดีย์ซวนจี๋
สิ่งที่ข้าต้องการก็คือหยดเลือดของเจ้าเพื่อใช้เป็นตัวกระตุ้นการทำงานของเจดีย์
จากนั้นจะให้มันนำทางพวกเราไปหาร่างของจี้หลิง”
จี้เทียนซิงเข้าใจในทันทีและพยักหน้าพลางขบคิดในใจว่า
“มิน่าเล่า.....ศิษย์พี่หยุนเหยาถึงต้องการความช่วยเหลือจากข้า
เรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่งของพลังยุทธ์
สิ่งที่นางต้องการคือหยดเลือดของข้า”
เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เขาก็กล่าวกับหยุนเหยาด้วยความสงสัยว่า
“ศิษย์พี่หญิง หากท่านต้องการหยดเลือดของข้าเพื่อใช้กับสมบัติลับชิ้นนี้ก็มิใช่เรื่องยาก
ข้าจะมอบแก่นโลหิตให้ท่าน จากนั้นพวกท่านก็ทำภารกิจกันเองเถิด ข้าจะไม่ไปด้วย
ข้าจำเป็นต้องกลับไปฝึกฝนต่อ"
เมื่อเดือนที่แล้วหอยุทธ์ฟงอวิ๋นมีการประเมินการปรุงยา
แต่ช่วงเวลานั้นเขาถูกจี้หลิงใส่ร้ายป้ายสีจนต้องถูกขังอยู่ในถ้ำวายุทมิฬเป็นเวลาหลายวัน
ส่งผลให้การศึกษาการปรุงยาล้าช้าอย่างยิ่ง
หากมิใช่เพราะเซี่ยงหวู่จี้ชี้แนะเรื่องการปรุงยาให้ เขาคงไม่มีทางผ่านการประเมินจนได้อันดับหนึ่งและต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน
เดือนนี้ก็มีการประเมินครั้งที่สองเช่นกัน
เขาไม่อยากเสียเวลากับเรื่องอื่นที่ส่งผลให้การฝึกฝนข่ายอาคมล่าช้าลงไปอีก
เขาโชคดีที่ผ่านการประเมินในการปรุงยาจนได้รางวัลของอันดับหนึ่ง แต่ทว่า เขาก็มิได้หลงลำพองใจ
เขาคิดอยู่เสมอว่ายิ่งพยายามมากก็ยิ่งสำเร็จ เขาคงไม่ดวงดีไปตลอด
หากเขาไม่ฝึกฝนข่ายอาคมให้มากพอ
การประเมินเดือนนี้เขาอาจจะได้ที่โหล่ก็เป็นได้
เมื่อได้ยินคำพูดของจี้เทียนซิง
หยุนเหยายังไม่ได้กล่าวอันใด แต่ไป๋หวู่เชินกลับแสยะยิ้มอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ “หรือศิษย์น้องเทียนซิงผู้ยิ่งใหญ่จะหวาดกลัวต่อความดุร้ายของเผ่ามารกันนะ
? เจ้าถึงได้จงใจหาข้ออ้างหลบเลี่ยงภารกิจ”
จี้เทียนซิงจ้องมองไป๋หวู่เชินด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแสว่า
“ศิษย์พี่ไป๋
อย่าได้คิดว่าข้าว่าเป็นผู้ดีจอมปลอมเหมือนคนบางคนสิ”
ทันใดนั้นไป๋หวู่เชินก็สีหน้ามืดครึ้มลงและตะโกนออกมาว่า
“จี้เทียนซิง ! เจ้ากำลังพูดถึงใคร
?”
เขาเห็นว่าจี้เทียนซิงมีแววตาไม่พอใจและนี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากกับการลดคุณค่าของจี้เทียนซิงต่อหน้าหยุนเหยา
แน่นอนว่าไป๋หวู่เชินย่อมไม่พลาดโอกาสทับถมอีกฝ่าย
แต่จี้เทียนซิงกลับฝีปากกล้าโดยการแขวะอัจฉริยะระดับสูงของนิกายอย่างเขา เขาจะไม่โกรธได้อย่างไร ?
ในเวลานี้เอง
หยุนเหยาก็ขมวดคิ้วคู่งามเล็กน้อยและก้าวมายืนกั้นกลางระหว่างพวกเขาทั้งสอง
นางมองจี้เทียนซิงอย่างสงบและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า
“ศิษย์น้องเทียนซิง เจ้ายังไม่เข้าใจ ถึงแม้ว่าเจดีย์ซวนจี๋จะสามารถใช้แก่นโลหิตของเจ้าเพื่อตามหาร่องรอยศพของจี้หลิงได้ก็จริงอยู่
แต่หากระยะทางนั้นไกลเกินไปก็มิอาจบ่งบอกตำแหน่งได้อย่างแน่ชัด”
“ด้วยการนี้
ข้าจึงอยากให้เจ้าช่วยไปกับพวกเราด้วย”
หลังจากฟังคำอธิบายของหยุนเหยา
จี้เทียนซิงถึงได้เข้าใจเหตุผลว่าทำไม
หากกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
หยุนเหยาก็นับว่าดีต่อเขาเสมอ แถมนางยังเคยช่วยเหลือเขาในยามคับขันหลายครั้ง เมื่อนางเอ่ยปากให้ช่วย เขาจะปฏิเสธได้อย่างไร?
จี้เทียนซิงยกคิ้วขึ้นแล้วพยักหน้าตกลง
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็ยินดีไปกับท่าน”
“ขอบใจเจ้ามาก ศิษย์น้องเทียนซิง” หยุนเหยาผงกศีรษะและกล่าวขอบคุณ
จากนั้นจี้เทียนซิงก็เหลือบมองไป๋หวู่เชินที่กำลังจ้องเขาตาเขียวปั๊ดและกล่าวอย่างเฉยเมยว่า
“ในเมื่อศิษย์พี่หญิงก็แข็งแกร่งพอ
ส่วนแก่นโลหิตของข้าก็จำเป็นในการตามหาศพของจี้หลิง
เราสองต่างเป็นผู้ที่จำเป็นต่อภารกิจครั้งนี้
ข้าอยากรู้นักว่าเหตุใดศิษย์พี่ไป๋ต้องตามมาด้วย ? ท่านจำเป็น ?”
ไป๋หวู่เชินเพิ่งจะหยามศักดิ์ศรีเขา
แน่นอนว่าจี้เทียนซิงก็ไม่ยอมเป็นผู้ถูกกระทำฝ่ายเดียว เมื่อมีโอกาสเขาย่อมแขวะคืน
แน่นอน
ไป๋หวู่เชินผู้หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีย่อมมีปฏิกิริยาต่อคำพูดนี้ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธและจ้องเขม็งไปที่จี้เทียนซิง “จี้เทียนซิง ! ข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญข่ายอาคม
ข้าสามารถควบคุมเจดีย์ซวนจี๋ได้ !”
จี้เทียนซิงเลิกคิ้วขึ้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแส
“โห ? ขนาดนั้นเชียว
แสดงว่าศิษย์พี่หยุนเหยาไม่มีความเชี่ยวชาญพอที่จะควบคุมเจดีย์ซวนจี๋ได้ดีเท่าท่านว่างั้น?”
หยุนเหยาเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรเทียนเฉิน
ไม่เพียงแค่พรสวรรค์โดยกำเนิดในเชิงยุทธ์ของนางเท่านั้น
แต่ยังรวมไปถึงข่ายอาคมและการปรุงยาอีกด้วย
นางย่อมควบคุมเจดีย์ซวนจี๋ได้แน่นอน
ไป๋หวู่เชินขบกรามกรอดจากการถูกหักหน้า
อากาศรอบตัวเขากลายเป็นเย็นชาลงทันที เขาอยากทุบตีเจ้าเด็กปากมอมผู้นี้นัก !
เมื่อเห็นทั้งสองกำลังทะเลาะกันอีกยก
หยุนเหยาถอนหายใจและกล่าวว่า
“ศิษย์น้องเทียนซิง
ท่านอาจารย์ขอให้ศิษย์น้องไป๋ติดตามไปช่วยเหลือข้าเอง”
เมื่อหยุนเหยาออกหน้า
จี้เทียนซิงจึงไม่ได้พูดอะไรเพื่อทำให้นางต้องตกอยู่สถานการณ์อึดอัดอีก
ไป๋หวู่เชินก็เข้าใจว่าหยุนเหยาโกหกเพื่อรักษาหน้าให้เขา
ดังนั้นเขาจึงสูดหายใจลึกและพยายามไม่ต่อล้อต่อเถียงกับจี้เทียนซิง
เมื่อบรรยากาศมาคุสงบลง
ทีมคนหาสามคนก็ถูกจัดตั้งขึ้นแล้ว
ถึงแม้ว่า
... ความสัมพันธ์จะไม่กลมกลืนนักก็ตาม
ไป๋หวู่เชินนำเจดีย์ซวนจี๋ออกมาและสลัดความคิดฟุ้งซ่านออก
ตั้งสมาธิและร่ายอาคมเพื่อเปิดการทำงานของข่ายอาคมในเจดีย์
จากนั้นจี้เทียนซิงก็ชักกระบี่เฉือนนิ้วตนเองและบีบเลือดหยดลงในนั้น
วู้ม.....
!
เจดีย์ซวนจี๋กางออกดั่งบุปผาเบ่งบานด้วยแสงสีทองและหมุนวนอย่างรวดเร็ว
มันปลดปล่อยพลังไร้สภาพอันลึกลับสายหนึ่งออกมา
จี้เทียนซิงและหยุนเหยาต่างก็จ้องมองไปยังเจดีย์เพื่อรอการแสดงผลของมัน
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง การหมุนของเจดีย์ก็เริ่มช้าลงและหยุดในที่สุด
พวกเขาสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามุมทั้งแปดของเจดีย์กลายเป็นสีแดงเลือดและชี้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
เห็นได้ชัดว่าศพของจี้หลิงสมควรอยู่ทางทิศทางตะวันตกเฉียงเหนือของนิกายพันธมิตรสวรรค์
“ตะวันตกเฉียงเหนือ ออกเดินทางกันเถอะ !”
หยุนเหยาออกคำสั่งทันทีและกระโดดนำจี้เทียนซิงขึ้นกระเรียนวิญญาณ
บินขึ้นไปบนฟ้า
ส่วนไป๋หวู่เชินก็เก็บเจดีย์ซวนจี๋และขึ้นขี่หมาป่ายักษ์สีเงินมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน ระหว่างทางเขาเงยหน้าขึ้นมองกระเรียนวิญญาณบนท้องฟ้าเป็นระยะ
ที่ด้านหลังของกระเรียน
เขาเห็นจี้เทียนซิงกำลังยืนเคียงข้างกับหยุนเหยาและพูดคุยกัน เมื่อได้เห็นภาพนี้
ไป๋หวู่เชินก็อดไม่ได้ที่จะหน้าร้อนผ่าว แววตากลายเป็นเย็นชาลง
“ไอ้เด็กระยำจี้เทียนซิง ! เป็นแค่ฝุ่นเม็ดจ้อยในประเทศเล็กๆกลับกล้าใกล้ชิดศิษย์พี่หยุนเหยา !”
“เสียดายที่ท่านประมุขดูเหมือนจะให้ความสนใจไอ้เด็กนี้
ถ้าไม่งั้นข้าคงต้องลงมือสั่งสอนมันสักรอบให้มันรู้สำนึกว่าอย่ามายุ่งกับศิษย์พี่
!”
ก่อนหน้านี้ที่รัฐนภากระจ่าง
ไป๋หวู่เชินก็เกลียดขี้หน้าจี้เทียนซิงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
พออยู่นิกายเดียวกันและได้เห็นหยุนเหยาสนิทสนมใกล้ชิดกับเขาก็ยิ่งทำให้ความหึงหวงริษยาของไป๋หวู่เชินเพิ่มพูนขึ้นมหาศาล
ถึงแม้ว่าความหึงหวงนี้จะยังไม่ถึงขั้นที่ทำให้เขาต้องลงมือฆ่าจี้เทียนซิง แต่เขาก็เคยขบคิดในใจลับๆแล้วว่าจะหาทางขับไล่จี้เทียนซิงออกจากนิกายให้จงได้
เพื่อทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่ใกล้ชิดกันไปมากกว่านี้
แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก็คือ
จี้เทียนซิงกลับได้รับความสนใจจากประมุขนิกาย
ดังนั้นแผนการที่เขาเตรียมไว้จึงไม่อาจใช้ได้อีกแล้วในขณะนี้
เขาทำได้เพียงภาวนาในใจว่าระหว่างการทำภารกิจนี้จะสบโอกาสให้เขาบรรลุความปรารถนา
!
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved