ตอนที่ 245

ข้าขอท้าทายเจ้าต่อหน้าศิษย์สาวกทั้งหมด

!

จี้เทียนซิงไม่ใช่บุรุษผู้เย่อหยิ่งทะนงตน

เขารู้ดีว่าตัวเองในตอนนี้ยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้าร่วมในการประชุมสภาแปดนิกาย

ยิ่งไปกว่านั้นฉู่เทียนเซิงก็ไม่ไปเข้าร่วม

เพียงแต่มอบหมายให้เขากับหยุนเหยาไปเป็นตัวแทน

สำหรับเขาแล้วนี่เป็นทั้งเกียรติอันยิ่งใหญ่และก็ยังเป็นความท้าทายอีกด้วย

อย่างไรก็ตามคำสั่งของฉู่เทียนเซิงย่อมมีความหมายแฝงอันลึกซึ้ง

ดังนั้นเขาไม่มีทางปฏิเสธและทำได้เพียงยอมรับอย่างเชื่อฟังเท่านั้น

หลังจากตกลงนัดแนะกันเรียบร้อย

หยุนเหยาก็พูดคุยกับเขาอีกไม่กี่คำและหันหลังเดินออกไป

“ศิษย์น้องเทียนซิง

ช่วงนี้เจ้าก็เตรียมตัวให้พร้อมไว้ อีกสามวันเราจะออกเดินทางไปยังยอดเขาซิงเฉิน”

จี้เทียนซิงส่งหยุนเหยาเดินชดช้อยออกจากประตูและเฝ้าดูเงาหลังของนางที่ค่อยๆหายไปจากคลองจักษุ  สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมขึ้น

หลังจากกลับไปในห้องตำรา

เฉียนเยวี่ยก็พุ่งปรี่เข้ามาหาด้วยความตื่นเต้นและยิ้มพลางกล่าวว่า “สหายจี้ เจ้าได้ลืมตาอ้าปากแล้ว !”

“แหมๆ

ดูเจ้าสิเพิ่งได้เป็นศิษย์สายตรงประมุขนิกายมาไม่กี่วัน จู่ๆก็เป็นตัวแทนประมุขไปร่วมประชุมสภาแปดนิกาย

เจ้ามันยอดเยี่ยมนัก !”

“หลังจากข่าวแพร่ออกไป

ไม่รู้ว่าศิษย์คนอื่นๆจะกระอักเลือดด้วยความริษยาเจ้าแค่ไหน”

จี้เทียนซิงยิ้มอ่อนและพยักหน้า

“ใช่ เรื่องนี้น่าทึ่งจนข้าไม่อาจทำใจเชื่อได้

ศิษย์หัวกะทิที่เหลือย่อมอิจฉาตาร้อนข้ากันยกใหญ่เป็นแน่”

“ท่านอาจารย์ก็เล่นใหญ่นัก

เรื่องนี้ย่อมเป็นความตั้งใจของท่านแน่ มันการทดสอบอย่างหนึ่ง”

เฉียนเยวี่ยยิ้มด้วยความไม่พอใจและปลอบประโลมอีกฝ่ายว่า

“สหายจี้ ใยต้องคิดมากให้วุ่นวายด้วย ?

ประมุขนิกายให้เจ้าไปเจ้าก็ไปซี่ !”

“อีกทั้งเจ้ายังได้ออกเดินทางเคียงข้างพี่สาวนม.....

ใหญ่  แค่กๆๆ....   นี่นับเป็นโชควาสนาที่ประเสริฐล้ำ

ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่ต้องริษยาเจ้า”

จี้เทียนซิงพยักหน้าและเผยรอยยิ้มที่มุมปาก มันเป็นความจริงที่หยุนเหยาเคยมีประสบการณ์ในการประชุมเหล่านี้

ต่อให้เขาไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร แต่การที่มีนางเคียงข้างก็ทำให้เขาไม่ต้องพะว้าพะวงใดๆ

หลังจากนั้นไม่นานจี้เทียนซิงก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องตำราไปที่ลานกว้าง

เฉียนเยวี่ยรีบบินตามมาและถามว่า

“สหายจี้ เจ้าจะไปไหนหรือ ?"

ชายหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงต่ำว่า

“ไปหาไป๋หวู่เชิน ถึงแม้จะยังไม่มีหลักฐานมัดตัวมัน

แต่จะให้แสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนั้นมิใช่วิสัยของข้า

ข้าจะไปเยี่ยมมันเสียหน่อย !”

เฉียนเยวี่ยเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น

“ข้าไปด้วย ข้าไปด้วย ! ข้าจะไปก้นด่าไอ้ลูกนอกสมรสตัวนั้น !”

จี้เทียนซิงโบกมือและตัดบทว่า

“ไม่ได้ เจ้าต้องอยู่บ้าน”

ถึงแม้ว่าเฉียนเยวี่ยจะลังเล

แต่มันก็ไม่ขัดคำสั่งของจี้เทียนซิง มันรอคอยเขาอยู่ในตำหนักเทียนซิงอย่างว่าง่าย

..........

ภายในเวลาไม่นานจี้เทียนซิงก็มาถึงหน้าประตูตำหนักไม่จีรัง

ขนาดและรูปลักษณ์ของตำหนักหลังนี้ไม่ต่างอะไรกับตำหนักเทียนซิงมากนัก

ศิษย์รับใช้กำลังทำความสะอาดลานกว้างอยู่ หลังจากที่พวกเขาได้เห็นจี้เทียนซิงก็รีบวิ่งไปรับหน้าและถามด้วยความเคารพว่า

“ศิษย์พี่ท่านนี้ ... มิทราบว่าท่านมาเยี่ยมเยียนศิษย์พี่ไป๋ใช่หรือไม่ขอรับ ?”

จี้เทียนซิงพยักหน้ารับอย่างไร้อารมณ์และพูดว่า

“ไปบอกไป๋หวู่เชินว่าจี้เทียนซิงมีเรื่องจะพูดด้วย”

ศิษย์รับใช้เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายไม่สู้ดีนักจึงพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย

จากนั้นก็วิ่งเข้าไปรายงาน

ผ่านไปไม่นานไป๋หวู่เชินก็เดินสองมือไพล่หลังออกมาจากตำหนักใน เมื่อได้เห็นจี้เทียนซิง

สีหน้าของเขาก็ดูอารมณ์ดีและยกยิ้มมุมปากขึ้นพลางพูดว่า “ศิษย์น้องเทียนซิง วันนี้เจ้ามิได้บ่มเพาะอยู่ที่ตำหนักหรอกหรือ

? เหตุใดถึงมาเยี่ยมเยียนข้าได้เล่า ?”

จี้เทียนซิงหรี่ตามองด้วยสีหน้าไม่พอใจและพูดว่า

“ไป๋หวู่เชิน ไม่ต้องมาตีหน้าเซ่อ

เจ้าทำอะไรไว้ย่อมรู้แก่ใจดี !”

ไป๋หวู่เชินทำหน้าเหลอหลาไร้เดียงสาและถามด้วยความสงสัยว่า

“อ้อ ? ศิษย์น้องเทียนซิง เจ้าสำรวมหน่อยดีหรือไม่ ? เจ้ามาถึงตำหนักข้าแต่กลับมากล่าวหาข้าเช่นนี้เหมาะสมแล้วหรือ ?”

“เฮอะๆ ข้าชักอยากได้ยินจากปากเจ้าแล้วสิว่าข้าไปทำอะไรให้เจ้าขุ่นเคืองกันแน่

?”

จี้เทียนซิงพูดด้วยเสียงแปลกๆว่า

“ไป๋หวู่เชิน เมื่อสองวันก่อนเมื่อสัตว์เลี้ยงของข้าเฉียนเยวี่ยไปที่สวนหลิงโซ่ว

เจ้าเล่นตุกติกใส่ความเฉียนเยวี่ยใช่ไหม ?”

ไป๋หวู่เชินหรี่ตาลงและจ้องมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มและกล่าวหยอกเย้าว่า

“หึๆ

แล้วเจ้ามีหลักฐานอะไรที่จะมาพิสูจน์ว่าข้าเป็นคนทำให้เสือดาวมายาให้คลุ้มคลั่งเล่า

?”

“บางทีอาจเป็นเพราะสัตว์เลี้ยงของเจ้ามันเซ่อซ่าไปยั่วยุเสือดาวมายาเองหรือเปล่า

?”

จี้เทียนซิงแสยะยิ้มพลางตะตะโกนอย่างเย็นชา

“ฮ่าๆๆ !  ไป๋หวู่เชิน

อย่างเจ้าเนี่ยจะว่าฉลาดก็ฉลาด จะว่าโง่ก็โง่

เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเสือดาวมายาโจมตีเฉียนเยวี่ยก่อน ?  ข้ายังไม่เคยพูดสักคำว่าเหตุการณ์วันนั้นเป็นมาอย่างไร

?  เรื่องนี้ไม่ได้แพร่งพรายออกไป

คนที่ทราบมีเพียงข้า เฉียนเยวี่ย ผู้ดูแลเซี่ยงหวู่และอาวุโสอู๋เท่านั้น เจ้ารู้ละเอียดเช่นนี้ก็หมายความทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือเจ้า

!”

“เหอะๆ แล้วจะยังไง ?”

ไป๋หวู่เชินจ้องมองอีกฝ่ายและแสยะยิ้มพูดว่า

“เจ้ามีหลักฐานหรือเปล่า ? ใครจะตัดสินและพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้พวกเจ้า ?”

เห็นจี้เทียนซิงเงียบไป

ไป๋หวู่เชินก็พูดต่อไปว่า “จี้เทียนซิง ข้าขอเตือนเจ้า

นิกายฝ่ายในก็มีกฎเกณฑ์และไม่ง่ายดายเหมือนฝ่ายนอก”

“ถ้าเจ้าอยากจะอยู่รอดในฝ่ายในอย่างปลอดภัยก็จงรู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวและกระดิกหางใส่ให้ถูกคน

! หากเจ้าไม่แข็งแกร่งพอ

ข้ามีวิธีการนับไม่ถ้วนที่จะฆ่าเจ้าโดยมิให้ผู้ใดล่วงรู้ !”

“เฮอะ ! ศิษย์สายตรงแล้วจะยังไง

? ด้วยระดับพลังยุทธ์ของเจ้าตอนนี้ข้าสามารถทำลายเจ้าให้พิการแล้วโยนไปทิ้งนอกนิกายได้ไม่ยาก

!”

บัดนี้

ในที่สุดไป๋หวู่เชินก็โผล่หางและเจตนาที่แท้จริงออกมาหมดสิ้น

เขาเชิดหน้ามองจี้เทียนซิงด้วยสีหน้าสบายอุราและกล่าวต่อไปว่า

“จี้เทียนซิง จำใส่สมองไว้ให้ดี นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น จะมีอุบัติเหตุอีกหลายครั้งหลายคราเกิดขึ้นในอนาคต…”

“และจงอย่าได้คิดว่ามีเพียงข้าเท่านั้นที่อยากขับเจ้าให้พ้นทาง

ยังมีอีกมากที่เจ้าไม่รู้ ต่อให้ข้าไม่ทำก็ยังมีคนอีกมากที่จ้องจะเล่นงานเจ้า !”

จี้เทียนซิงจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเมินเฉย

ทันใดนั้นเขาก็ยกยิ้มหัวเราะและร่ำร้องออกมาว่า

“ฮ่าๆ

เจ้าเปิดเผยเช่นนี้ออกมาก็ดี งั้นข้าขอใช้กฎของนิกาย !”

“หากข้าจำไม่ผิดมีกฎของนิกายข้อหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า

เมื่อใดก็ตามที่มีความขัดแย้งระหว่างศิษย์ที่ไม่อาจยอมให้กันได้

ทั้งสองฝ่ายสามารถนัดประลองที่จตุรัสฝ่ายในเพื่อยุติข้อบาดหมาง”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ไป๋หวู่เชินก็ตกตะลึงไปวูบหนึ่ง

หลังจากรั้งสติกลับมาได้

สีหน้าของเขาก็ทอประกายดูหมิ่นเหยียดหยามมากขึ้น

“หึหึ......ฮ่าๆๆ  น่าสนใจ เจ้านี่มันโง่จนน่าสนใจนักจี้เทียนซิง

เจ้ากล้าท้าข้าขึ้นประลองบนจตุรัสกลางงั้นหรือ ?!"

“น่าขันสิ้นดี

ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าตอนนี้หากข้าจะบี้เจ้าก็ง่ายยิ่งกว่าบี้มด

เจ้ายังกล้ารนหาที่ตายอีกงั้นหรือ ?"

แววตาของจี้เทียนซิงยังคงหนักแน่นเย็นชาดุจน้ำแข็ง

รอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าก็ยังไม่คลายลง เขากล่าวว่า “ก็แค่อันดับสี่ในรายชื่อขั้นสวรรค์, ปราณจิตขั้นที่แปดมิใช่หรือไง

?  ไป๋หวู่เชิน

ข้าขอท้าทายเจ้า การแข่งขันรายชื่อขั้นสวรรค์ในเดือนหน้า

ข้าจะสู้กับเจ้าต่อหน้าศิษย์สาวกทั้งหมด !”

“เจ้าชอบอ้างกฎนักใช่ไหม ? เช่นนั้นข้าก็จะปฏิบัติตามกฏและคว่ำเจ้าอย่างตรงไปตรงมาเพื่อเขี่ยเจ้าลงตำแหน่ง

!”

“ถึงตอนนั้นข้าจะให้เจ้าได้รู้สำนึกว่าตัวบัดซบชั่วช้าน่ารังเกียจอย่างเจ้า

สุดท้ายก็เป็นแค่ตัวตลกที่มีบทไว้ให้ข้าเหยียบย่ำ !”

ไป๋หวู่เชินตกตะลึงกับท่าทางอหังการของอีกฝ่ายในทันที

จากนั้นก็แสยะยิ้มด้วยสีหน้าเย้ยหยัน “จี้เทียนซิง

เจ้าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ เจ้าไปพกความกล้าและความมั่นใจมาจากไหนถึงมาท้าทายข้าไป๋หวู่เชิน

?”

“ฮ่าๆๆ…ย่อมได้ เช่นนั้นพวกเรามาพนันกัน

หากผู้ใดแพ้จะต้องเป็นศิษย์รับใช้ของอีกฝ่ายหนึ่งปี !”

จี้เทียนซิงตอบกลับทันทีด้วยเสียงเย็น

“ตกลง คำไหนคำนั้น !”