ผู้สืบทอด
หยุนเหยาเป็นศิษย์เอกของนิกายพันธมิตรสวรรค์ที่ได้รับการปลูกฝังในฐานะผู้สืบทอดประมุขนิกายคนต่อไป
ดังนั้นเหตุการณ์ใหญ่ๆและสำคัญของนิกาย
นางจึงมีคุณสมบัติพอที่จะซักถามและได้รับรู้
นางติดตามฉู่เทียนเซิงมานานหลายปีจนเข้าใจนิสัยใจคอของเขาอย่างถ่องแท้ หลังจากฉู่เทียนเซิงทราบความจริงทั้งหมด
ปฏิกิริยาตอบสนองของเขาก็เป็นไปตามที่นางคาดไว้
นางคารวะฉู่เทียนเซิงและกล่าวว่า
“ท่านอาจารย์คะ
ศิษย์มีหน้าที่ช่วยเหลือเป็นมือเป็นเท้าให้ท่านในการตามหาและตรวจสอบข้อเท็จจริงเท่านั้น
ส่วนวิธีดำเนินการ ศิษย์ไม่มีความเห็นอื่นใด
ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่าน”
“อืม”
ฉู่เทียนเซิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจและกล่าวว่า
“เจ้าเป็นเด็กดี ไปพักผ่อนเถอะ”
หยุนเหยาโค้งคำนับและเดินออกจากห้องคัมภีร์อย่างเงียบงัน
หลังจากนางออกไปได้สักพัก
ฉู่เทียนเซิงก็หลับตาขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหยิบแผนที่ดวงดาวออกมาและใช้วิถีลับถ่ายเทลมปราณขั้นสูงเข้าไปบนกระดองเต่าเพื่อเข้าถึงความลับแห่งฟ้าดิน
เมื่อพลังปราณเติมเต็มกระดองเต่าสีดำ จุดสีเงินนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นและเริ่มขยับ
จากนั้นรูปแบบบนกระดองเต่าก็เปลี่ยนไปเกิดเป็นลวดลายที่แปลกตา
ฉู่เทียนเซิงเฝ้าดูอยู่ครู่หนึ่ง
ดวงตาของเขาส่องประกายความพึงพอใจ เขาพยักหน้าและพึมพำว่า “จี้หลิงตาย แต่บุรุษที่ปรากฏบนแผนที่ดวงดาวยังคงอยู่ในนิกาย สมควรเป็นจี้เทียนซิงแน่นอนแล้ว ....”
เขาเก็บกระดองเต่าและเดินออกจากห้องคัมภีร์อย่างรวดเร็ว
เมื่อเดินออกมาถึงหน้าตำหนักก็ควบแน่นพลังปราณเป็นปีกเพลิงคู่หนึ่งและพุ่งทะยานผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืนราวกับระเบิด จากนั้นก็บินตรงไปยังตำหนักไท่อันอย่างรวดเร็ว
“ฟุ่บ !”
ฉู่เทียนเซิงเหินลงที่ประตูตำหนักไท่อันและทักทายทาสกระบี่ใบ้ก่อนที่จะเข้าไปในส่วนลึกของตำหนัก
เมื่อฉู่เทียนเซิงมาถึงลานกว้างที่สาม
เขาก็เห็นเซี่ยงหวู่จี้ที่กำลังถือกาหยกสีขาวรดน้ำให้สมุนไพรวิญญาณอยู่ในเรือนเพาะชำ
หลังจากทาสกระบี่ใบ้ล่าถอยไป
ฉู่เทียนเซิงก็โค้งคำนับเซี่ยงหวู่จี้และกล่าวว่า “คารวะท่านอาจารย์อา
ข้ามีเรื่องสำคัญต้องรายงาน”
“พบบุคลผู้ท้าทายลิขิตฟ้าตัวจริงแล้วขอรับ”
เซี่ยงหวู่จี้เทน้ำในกาหยกสีขาวจนหมดและเก็บมันลงไปในแหวนมิติสีดำ
จากนั้นก็หันไปมองฉู่เทียนเซิงและกล่าวว่า “เข้าไปในห้องก่อนแล้วค่อยพูด”
ฉู่เทียนเซิงติดตามอีกฝ่ายเข้าไปในห้อง หลังจากที่รอเซี่ยงหวู่จี้นั่งลงเรียบร้อยก็กล่าวว่า “อาจารย์อา
คนผู้นั้นก็คือศิษย์ใหม่ฝ่ายนอกของหอยุทธ์ฟงอวิ๋น จี้เทียนซิงขอรับ”
“จี้เทียนซิง ? เจ้าเด็กบัดซบนั่นน่ะหรือ ?” เซี่ยงหวู่จี้เลิกคิ้วขึ้นในทันที จากนั้นก็เผยรอยยิ้มแปลกๆขึ้น
“หึๆๆ........ ฮ่าๆๆๆ !!
ที่แท้ก็เป็นเจ้าหนูนั่น... น่าสนใจ นี่มันน่าสนใจจริงๆ ! ฮ่าๆๆ” เซี่ยงหวู่จี้หัวเราะด้วยความสะใจ
ฉู่เทียนเซิงเห็นการแสดงออกที่ผิดปกติอย่างรุนแรงของอีกฝ่ายก็เอียงคอด้วยสีหน้างุนงงพลางถามว่า
“ท่านอาจารย์อารู้จักเขาหรือครับ ?”
เซี่ยงหวู่จี้พยักหน้าและยิ้มอย่างขบขันเล็กน้อย
“รู้ซี่ รู้จักดีเลยด้วย เจ้าเด็กเหลือขอนั่นทำผิดกฎจึงถูกลงโทษให้มาทำความสะอาดตำหนักของข้า”
ฉู่เทียนเซิงเข้าใจได้ในที่สุด
“เป็นแบบนี้นี่เอง...”
เซี่ยงหวู่จี้ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและถามว่า
“เอาล่ะ
ในเมื่อเจ้าแน่ใจว่ามันคือคนที่พวกเราตามหา เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป ?”
ฉู่เทียนเซิงกล่าวอย่างจริงจังว่า
“ถึงแม้จี้เทียนซิงจะเป็นคนที่พวกเราตามหา แต่สายเลือดกระบี่ลี้ลับของเขาก็ถูกจี้หลิงช่วงชิงไปแล้ว
ข้าไม่แน่ใจว่าพลังสายเลือดของเขายังคงเหลืออยู่หรือไม่...”
“นอกจากนี้ข้าก็ยังไม่แน่ใจว่าเขาจะสามารถเปิดใช้งานอาคมเก้ามังกรผนึกมารได้หรือเปล่า
ดังนั้นข้าเลยไม่ด่วนตัดสินใจพาเขาไปในถ้ำใต้ดิน แต่ข้าจะคอยสังเกตดูพฤติกรรมของเขาสักระยะก่อนว่าเด็กคนนี้รักและภักดีต่อนิกายอย่างจริงใจหรือไม่”
“ที่สำคัญคือเขาเป็นบุคลในคำทำนายของแผนที่ดวงดาว
ต่อให้เขาไม่สามารถเคลื่อนมหาข่ายอาคมได้ ก็ยังมีแนวโน้มสูงที่จะกลายเป็นหนึ่งในเสาหลักของนิกายในอนาคต"
“เพียงแต่ว่าตอนนี้ระดับพลังยุทธ์ของเขาอ่อนแอเกินไป ข้าตั้งใจที่จะทดสอบและบ่มเพาะเขาทีละน้อย
เมื่อเขาแข็งแกร่งและมีจิตใจที่ภักดีเพียงพอ ข้าจะพาเขาไปที่ถ้ำใต้ดินและทดลองเคลื่อนอาคมดู"
เซี่ยงหวู่จี้หยุดคิดอยู่พักหนึ่งและกล่าวว่า
“ก็ดี นี่เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด
ถึงแม้จะช้าไปหน่อย แต่ข้าก็เห็นด้วย”
“อย่างไรก็ตาม เจ้าควรให้ความสำคัญกับถ้ำใต้ดินให้มากกว่านี้
ต้องทำให้แน่ใจว่ามารไร้พ่ายจะไม่ทลายผนึกได้ก่อนเวลา”
ฉู่เทียนเซิงพยักหน้า
“แน่นอนอยู่แล้วขอรับอาจารย์อา
แต่ข้าจะคอยเฝ้าระวังให้มากกว่านี้”
“อืม
ดีมาก”
เซี่ยงหวู่จี้พยักหน้าอย่างผ่อนคลายและโบกมือ
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วเจ้าก็กลับไปได้”
ฉู่เทียนเซิงกำหมัดคารวะและเดินออกไปอย่างสงบ
.........
หลังจากฉู่เทียนเซิงออกไปได้ครู่ใหญ่ๆ
ห้องของเซี่ยงหวู่จี้ก็เงียบสนิท
ใบหน้าของเซี่ยงหวู่จี้เผยรอยยิ้มกว้าง
จากนั้นก็ขมวดคิ้วและกระซิบกับตัวเองว่า “ไอ้หนูนั่นที่แท้ก็เป็นผู้สืบทอดสายเลือดกระบี่ลี้ลับตัวจริง ดังนั้นมันต้องเป็นทายาทของฉิวอวี้แน่นอน”
“……หลังจากศิษย์รักของข้าออกจากนิกายไป ผ่านมาร้อยกว่าปีเหลนชายคนโตของนางก็กลับมาหาตาแก่อย่างข้าอีกครั้ง”
“เหอๆ สวรรค์ช่างเป็นห่วงเป็นใยข้าจริงๆ !”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้
ใบหน้าที่แก่ชราเหี่ยวย่นของเซี่ยงหวู่จี้ก็ดูสดใสและคึกคักขึ้นอักโข เขาเผยรอยยิ้มกว้างอย่างหาได้ยากออกมาทันที
“หึๆ ไอ้เด็กเหม็น ดูเหมือนว่าตาแก่อย่างข้าคงต้องหาวิธีรั้งตัวเจ้าไว้ในตำหนักไท่อันเสียแล้ว ข้าจะได้อบรมสั่งสอนเจ้าได้ถนัดมือกว่านี้หน่อย
!”
......
แสงแรกของเช้าวันใหม่ส่องเข้ามาในห้องจากทางหน้าต่าง
จี้เทียนซิงหยุดการบ่มเพาะและเดินออกจากห้องลับ หลังจากทำความเข้าใจมาตลอดทั้งคืน ในที่สุดเขาก็ท่องจำเคล็ดวิชาย่างก้าวไร้เงาได้อย่างครบถ้วน
ขอบเขตการฝึกฝนของย่างก้าวไร้เงาแบ่งเป็นหลายระดับ
เช่น แรกเริ่ม, สำเร็จเล็กน้อย, ชำนาญ, บรรลุและสมบูรณ์แบบ
ถึงแม้ว่าเขาเพิ่งจะเริ่มต้นและยังไม่ได้เข้าใจทั้งหมด
แต่จากการทดลองฝึกฝนจริงครั้งแล้วครั้งเล่า
ความเร็วในการเคลื่อนไหวของเขาก็เพิ่มขึ้นจากเดิมถึงสองเท่า
แถมยังช่วยประหยัดพลังลมปราณในการเคลื่อนไหวได้อีกมากโข
จากนั้นจี้เทียนซิงก็ทำกิจวัตรประจำวันและเดินออกจากห้องเพื่อไปหาตู้หวู่
เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่สองของเดือน
เขาจำได้ว่าตนเองยังไม่ได้รับเงินเดือนในเดือนนี้เลย
เงินเดือนของศิษย์อย่างเขาก็คือหินปราณสิบก้อนและผลวิญญาณแปดผล
ซึ่งมันเพียงพอที่จะใช้ในการบ่มเพาะได้ตลอดทั้งเดือน
หากเป็นโลกภายนอก
ทรัพยากรการบ่มเพาะเหล่านี้สามารถขายเป็นเงินได้นับล้านทีเดียว !
จี้เทียนซิงใช้เวลาไม่นานเพื่อเดินหาตู้หวู่และรับเงินเดือนมา
เขาเก็บพวกมันไว้ในถุงมิติ
จากนั้นก็กลับไปที่หอยุทธ์ฟงอวิ๋นอีกครั้ง
ในระหว่างที่เดินกลับ
เขาก็ได้ยินเสียงระฆังจากห้องโถงหลักดังขึ้นจึงรีบไปรวมตัวที่ห้องโถงทันที
ลู่หมิงหยางศิษย์ใหม่ที่กำลังคอตกกวาดพื้นอยู่ก็ทิ้งไม้กวาดและรีบแจ้นไปเช่นกัน
หลังจากนั้นไม่นาน
ศิษย์ทั้งสิบคนก็มากันพร้อมหน้า ตามหลังมาด้วยฮั่นเฉียวเซิงและตู้หวู่
ฮั่นเฉียวเซิงเดินไปกลางห้องโถงและประกาศขึ้นมาทันทีว่า
“เข้าสู่เดือนใหม่แล้ว
ในเดือนนี้พวกเจ้าจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับศาสตร์แห่งข่ายอาคม !”
“กฎกติกาเหมือนกับเดือนที่แล้ว
ข้าจะสอนพวกเจ้าเพียงพื้นฐานของมัน นอกเหนือจากนั้นให้พวกเจ้าหาทางเรียนรู้ในระดับสูงเพิ่มเติมด้วยตนเอง"
“อีกสองอาทิตย์หน้าข้าจะเปิดสอนเบื้องต้นที่ห้องโถงในทุกๆเช้า
พวกเจ้ามีสิทธิ์เลือกที่จะไม่เข้าฟังก็ได้ หรือจะจัดสรรเวลาส่วนตัวไปฝึกฝนเองก็ได้
ข้าจะไม่ก้าวก่ายวิถีทางของพวกเจ้า”
“เมื่อถึงสิ้นเดือนจะมีการประเมิน ผู้ชนะจะได้รับรางวัล
ส่วนผู้แพ้จะถูกทำโทษ !”
หลังจากกล่าวจบ
ใบหน้าของเหล่าศิษย์ทุกคนก็เปล่งประกาย มีหลายคนลอบกำหมัดและมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้ชนะในการประเมินสิ้นเดือนนี้
จี้เทียนซิงเกิดในตระกูลขุนนางผู้หลอมสร้างอาวุธ
เขามีความรู้เกี่ยวกับข่ายอาคมอยู่เล็กน้อย แม้จะยังไม่เชี่ยวชาญแต่ก็พอไปวัดไปวาได้ ดังนั้นด้วยพื้นฐานที่เขามีอยู่
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะผ่านการประเมิน
เขาต้องพยายามอย่างหนักอีกครั้ง !
และในบรรดาศิษย์ทุกคน
มีเพียงแววตาของลู่หมิงหยางเท่านั้นที่เปล่งประกายความสุข เขาลอบหัวเราะในใจลับๆ
เขาเกิดในตระกูลราชวงศ์ของรัฐชางเฟิงและได้รับการปลูกฝังดูแลทางด้านนี้จากผู้เชี่ยวชาญโดยตรงตั้งแต่ยังเด็ก
เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาถูกลงโทษให้ทำความสะอาดลานกว้างของหอยุทธ์
เขาสัมผัสได้ถึงแววตาเยาะเย้ยถากถางจากเหล่าศิษย์คนอื่นๆอยู่ทุกวัน ในใจของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
แต่ก็ต้องอดทนข่มกลั้นเอาไว้
เมื่อตอนนี้ได้ทราบว่าภารกิจของเดือนนี้คือศาสตร์แห่งข่ายอาคม
เขาจึงเห็นความหวังในการกู้หน้ากลับมา
ลู่หมิงหยางขบคิดในใจอย่างขุ่นแค้น
“เจ้าชายอย่างข้ากลับต้องมาเป็นคนกวาดพื้นให้พวกศิษย์หัวเราะเยาะ แต่ตอนนี้โอกาสของข้ามาถึงแล้ว สิ้นเดือนนี้ผู้ชนะจะต้องเป็นข้า ข้าจะทำให้พวกเจ้าทุกคนได้รับความอัปยศเสียบ้าง
!”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved