ตอนที่ 143

ผู้สืบทอด

หยุนเหยาเป็นศิษย์เอกของนิกายพันธมิตรสวรรค์ที่ได้รับการปลูกฝังในฐานะผู้สืบทอดประมุขนิกายคนต่อไป

ดังนั้นเหตุการณ์ใหญ่ๆและสำคัญของนิกาย

นางจึงมีคุณสมบัติพอที่จะซักถามและได้รับรู้

นางติดตามฉู่เทียนเซิงมานานหลายปีจนเข้าใจนิสัยใจคอของเขาอย่างถ่องแท้  หลังจากฉู่เทียนเซิงทราบความจริงทั้งหมด

ปฏิกิริยาตอบสนองของเขาก็เป็นไปตามที่นางคาดไว้

นางคารวะฉู่เทียนเซิงและกล่าวว่า

“ท่านอาจารย์คะ

ศิษย์มีหน้าที่ช่วยเหลือเป็นมือเป็นเท้าให้ท่านในการตามหาและตรวจสอบข้อเท็จจริงเท่านั้น

ส่วนวิธีดำเนินการ  ศิษย์ไม่มีความเห็นอื่นใด

ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่าน”

“อืม”

ฉู่เทียนเซิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจและกล่าวว่า

“เจ้าเป็นเด็กดี ไปพักผ่อนเถอะ”

หยุนเหยาโค้งคำนับและเดินออกจากห้องคัมภีร์อย่างเงียบงัน

หลังจากนางออกไปได้สักพัก

ฉู่เทียนเซิงก็หลับตาขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหยิบแผนที่ดวงดาวออกมาและใช้วิถีลับถ่ายเทลมปราณขั้นสูงเข้าไปบนกระดองเต่าเพื่อเข้าถึงความลับแห่งฟ้าดิน

เมื่อพลังปราณเติมเต็มกระดองเต่าสีดำ  จุดสีเงินนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นและเริ่มขยับ

จากนั้นรูปแบบบนกระดองเต่าก็เปลี่ยนไปเกิดเป็นลวดลายที่แปลกตา

ฉู่เทียนเซิงเฝ้าดูอยู่ครู่หนึ่ง

ดวงตาของเขาส่องประกายความพึงพอใจ เขาพยักหน้าและพึมพำว่า “จี้หลิงตาย แต่บุรุษที่ปรากฏบนแผนที่ดวงดาวยังคงอยู่ในนิกาย  สมควรเป็นจี้เทียนซิงแน่นอนแล้ว ....”

เขาเก็บกระดองเต่าและเดินออกจากห้องคัมภีร์อย่างรวดเร็ว

เมื่อเดินออกมาถึงหน้าตำหนักก็ควบแน่นพลังปราณเป็นปีกเพลิงคู่หนึ่งและพุ่งทะยานผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืนราวกับระเบิด จากนั้นก็บินตรงไปยังตำหนักไท่อันอย่างรวดเร็ว

“ฟุ่บ !”

ฉู่เทียนเซิงเหินลงที่ประตูตำหนักไท่อันและทักทายทาสกระบี่ใบ้ก่อนที่จะเข้าไปในส่วนลึกของตำหนัก

เมื่อฉู่เทียนเซิงมาถึงลานกว้างที่สาม

เขาก็เห็นเซี่ยงหวู่จี้ที่กำลังถือกาหยกสีขาวรดน้ำให้สมุนไพรวิญญาณอยู่ในเรือนเพาะชำ

หลังจากทาสกระบี่ใบ้ล่าถอยไป

ฉู่เทียนเซิงก็โค้งคำนับเซี่ยงหวู่จี้และกล่าวว่า “คารวะท่านอาจารย์อา

ข้ามีเรื่องสำคัญต้องรายงาน”

“พบบุคลผู้ท้าทายลิขิตฟ้าตัวจริงแล้วขอรับ”

เซี่ยงหวู่จี้เทน้ำในกาหยกสีขาวจนหมดและเก็บมันลงไปในแหวนมิติสีดำ

จากนั้นก็หันไปมองฉู่เทียนเซิงและกล่าวว่า “เข้าไปในห้องก่อนแล้วค่อยพูด”

ฉู่เทียนเซิงติดตามอีกฝ่ายเข้าไปในห้อง หลังจากที่รอเซี่ยงหวู่จี้นั่งลงเรียบร้อยก็กล่าวว่า  “อาจารย์อา

คนผู้นั้นก็คือศิษย์ใหม่ฝ่ายนอกของหอยุทธ์ฟงอวิ๋น จี้เทียนซิงขอรับ”

“จี้เทียนซิง ? เจ้าเด็กบัดซบนั่นน่ะหรือ ?” เซี่ยงหวู่จี้เลิกคิ้วขึ้นในทันที จากนั้นก็เผยรอยยิ้มแปลกๆขึ้น

“หึๆๆ........ ฮ่าๆๆๆ  !!

ที่แท้ก็เป็นเจ้าหนูนั่น...     น่าสนใจ นี่มันน่าสนใจจริงๆ ! ฮ่าๆๆ”   เซี่ยงหวู่จี้หัวเราะด้วยความสะใจ

ฉู่เทียนเซิงเห็นการแสดงออกที่ผิดปกติอย่างรุนแรงของอีกฝ่ายก็เอียงคอด้วยสีหน้างุนงงพลางถามว่า

“ท่านอาจารย์อารู้จักเขาหรือครับ ?”

เซี่ยงหวู่จี้พยักหน้าและยิ้มอย่างขบขันเล็กน้อย

“รู้ซี่ รู้จักดีเลยด้วย  เจ้าเด็กเหลือขอนั่นทำผิดกฎจึงถูกลงโทษให้มาทำความสะอาดตำหนักของข้า”

ฉู่เทียนเซิงเข้าใจได้ในที่สุด

“เป็นแบบนี้นี่เอง...”

เซี่ยงหวู่จี้ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและถามว่า

“เอาล่ะ

ในเมื่อเจ้าแน่ใจว่ามันคือคนที่พวกเราตามหา  เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป ?”

ฉู่เทียนเซิงกล่าวอย่างจริงจังว่า

“ถึงแม้จี้เทียนซิงจะเป็นคนที่พวกเราตามหา แต่สายเลือดกระบี่ลี้ลับของเขาก็ถูกจี้หลิงช่วงชิงไปแล้ว

ข้าไม่แน่ใจว่าพลังสายเลือดของเขายังคงเหลืออยู่หรือไม่...”

“นอกจากนี้ข้าก็ยังไม่แน่ใจว่าเขาจะสามารถเปิดใช้งานอาคมเก้ามังกรผนึกมารได้หรือเปล่า

ดังนั้นข้าเลยไม่ด่วนตัดสินใจพาเขาไปในถ้ำใต้ดิน แต่ข้าจะคอยสังเกตดูพฤติกรรมของเขาสักระยะก่อนว่าเด็กคนนี้รักและภักดีต่อนิกายอย่างจริงใจหรือไม่”

“ที่สำคัญคือเขาเป็นบุคลในคำทำนายของแผนที่ดวงดาว

ต่อให้เขาไม่สามารถเคลื่อนมหาข่ายอาคมได้ ก็ยังมีแนวโน้มสูงที่จะกลายเป็นหนึ่งในเสาหลักของนิกายในอนาคต"

“เพียงแต่ว่าตอนนี้ระดับพลังยุทธ์ของเขาอ่อนแอเกินไป ข้าตั้งใจที่จะทดสอบและบ่มเพาะเขาทีละน้อย

เมื่อเขาแข็งแกร่งและมีจิตใจที่ภักดีเพียงพอ ข้าจะพาเขาไปที่ถ้ำใต้ดินและทดลองเคลื่อนอาคมดู"

เซี่ยงหวู่จี้หยุดคิดอยู่พักหนึ่งและกล่าวว่า

“ก็ดี นี่เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด

ถึงแม้จะช้าไปหน่อย แต่ข้าก็เห็นด้วย”

“อย่างไรก็ตาม เจ้าควรให้ความสำคัญกับถ้ำใต้ดินให้มากกว่านี้

ต้องทำให้แน่ใจว่ามารไร้พ่ายจะไม่ทลายผนึกได้ก่อนเวลา”

ฉู่เทียนเซิงพยักหน้า

“แน่นอนอยู่แล้วขอรับอาจารย์อา

แต่ข้าจะคอยเฝ้าระวังให้มากกว่านี้”

“อืม

ดีมาก”

เซี่ยงหวู่จี้พยักหน้าอย่างผ่อนคลายและโบกมือ

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วเจ้าก็กลับไปได้”

ฉู่เทียนเซิงกำหมัดคารวะและเดินออกไปอย่างสงบ

.........

หลังจากฉู่เทียนเซิงออกไปได้ครู่ใหญ่ๆ

ห้องของเซี่ยงหวู่จี้ก็เงียบสนิท

ใบหน้าของเซี่ยงหวู่จี้เผยรอยยิ้มกว้าง

จากนั้นก็ขมวดคิ้วและกระซิบกับตัวเองว่า “ไอ้หนูนั่นที่แท้ก็เป็นผู้สืบทอดสายเลือดกระบี่ลี้ลับตัวจริง  ดังนั้นมันต้องเป็นทายาทของฉิวอวี้แน่นอน”

“……หลังจากศิษย์รักของข้าออกจากนิกายไป  ผ่านมาร้อยกว่าปีเหลนชายคนโตของนางก็กลับมาหาตาแก่อย่างข้าอีกครั้ง”

“เหอๆ สวรรค์ช่างเป็นห่วงเป็นใยข้าจริงๆ !”

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้

ใบหน้าที่แก่ชราเหี่ยวย่นของเซี่ยงหวู่จี้ก็ดูสดใสและคึกคักขึ้นอักโข  เขาเผยรอยยิ้มกว้างอย่างหาได้ยากออกมาทันที

“หึๆ ไอ้เด็กเหม็น ดูเหมือนว่าตาแก่อย่างข้าคงต้องหาวิธีรั้งตัวเจ้าไว้ในตำหนักไท่อันเสียแล้ว   ข้าจะได้อบรมสั่งสอนเจ้าได้ถนัดมือกว่านี้หน่อย

!”

......

แสงแรกของเช้าวันใหม่ส่องเข้ามาในห้องจากทางหน้าต่าง

จี้เทียนซิงหยุดการบ่มเพาะและเดินออกจากห้องลับ หลังจากทำความเข้าใจมาตลอดทั้งคืน ในที่สุดเขาก็ท่องจำเคล็ดวิชาย่างก้าวไร้เงาได้อย่างครบถ้วน

ขอบเขตการฝึกฝนของย่างก้าวไร้เงาแบ่งเป็นหลายระดับ

เช่น แรกเริ่ม, สำเร็จเล็กน้อย, ชำนาญ, บรรลุและสมบูรณ์แบบ

ถึงแม้ว่าเขาเพิ่งจะเริ่มต้นและยังไม่ได้เข้าใจทั้งหมด

แต่จากการทดลองฝึกฝนจริงครั้งแล้วครั้งเล่า

ความเร็วในการเคลื่อนไหวของเขาก็เพิ่มขึ้นจากเดิมถึงสองเท่า

แถมยังช่วยประหยัดพลังลมปราณในการเคลื่อนไหวได้อีกมากโข

จากนั้นจี้เทียนซิงก็ทำกิจวัตรประจำวันและเดินออกจากห้องเพื่อไปหาตู้หวู่

เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่สองของเดือน

เขาจำได้ว่าตนเองยังไม่ได้รับเงินเดือนในเดือนนี้เลย

เงินเดือนของศิษย์อย่างเขาก็คือหินปราณสิบก้อนและผลวิญญาณแปดผล

ซึ่งมันเพียงพอที่จะใช้ในการบ่มเพาะได้ตลอดทั้งเดือน

หากเป็นโลกภายนอก

ทรัพยากรการบ่มเพาะเหล่านี้สามารถขายเป็นเงินได้นับล้านทีเดียว !

จี้เทียนซิงใช้เวลาไม่นานเพื่อเดินหาตู้หวู่และรับเงินเดือนมา

เขาเก็บพวกมันไว้ในถุงมิติ

จากนั้นก็กลับไปที่หอยุทธ์ฟงอวิ๋นอีกครั้ง

ในระหว่างที่เดินกลับ

เขาก็ได้ยินเสียงระฆังจากห้องโถงหลักดังขึ้นจึงรีบไปรวมตัวที่ห้องโถงทันที

ลู่หมิงหยางศิษย์ใหม่ที่กำลังคอตกกวาดพื้นอยู่ก็ทิ้งไม้กวาดและรีบแจ้นไปเช่นกัน

หลังจากนั้นไม่นาน

ศิษย์ทั้งสิบคนก็มากันพร้อมหน้า ตามหลังมาด้วยฮั่นเฉียวเซิงและตู้หวู่

ฮั่นเฉียวเซิงเดินไปกลางห้องโถงและประกาศขึ้นมาทันทีว่า

“เข้าสู่เดือนใหม่แล้ว

ในเดือนนี้พวกเจ้าจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับศาสตร์แห่งข่ายอาคม !”

“กฎกติกาเหมือนกับเดือนที่แล้ว

ข้าจะสอนพวกเจ้าเพียงพื้นฐานของมัน นอกเหนือจากนั้นให้พวกเจ้าหาทางเรียนรู้ในระดับสูงเพิ่มเติมด้วยตนเอง"

“อีกสองอาทิตย์หน้าข้าจะเปิดสอนเบื้องต้นที่ห้องโถงในทุกๆเช้า

พวกเจ้ามีสิทธิ์เลือกที่จะไม่เข้าฟังก็ได้ หรือจะจัดสรรเวลาส่วนตัวไปฝึกฝนเองก็ได้

ข้าจะไม่ก้าวก่ายวิถีทางของพวกเจ้า”

“เมื่อถึงสิ้นเดือนจะมีการประเมิน ผู้ชนะจะได้รับรางวัล

ส่วนผู้แพ้จะถูกทำโทษ !”

หลังจากกล่าวจบ

ใบหน้าของเหล่าศิษย์ทุกคนก็เปล่งประกาย มีหลายคนลอบกำหมัดและมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้ชนะในการประเมินสิ้นเดือนนี้

จี้เทียนซิงเกิดในตระกูลขุนนางผู้หลอมสร้างอาวุธ

เขามีความรู้เกี่ยวกับข่ายอาคมอยู่เล็กน้อย แม้จะยังไม่เชี่ยวชาญแต่ก็พอไปวัดไปวาได้  ดังนั้นด้วยพื้นฐานที่เขามีอยู่

เป็นไปไม่ได้เลยที่จะผ่านการประเมิน

เขาต้องพยายามอย่างหนักอีกครั้ง !

และในบรรดาศิษย์ทุกคน

มีเพียงแววตาของลู่หมิงหยางเท่านั้นที่เปล่งประกายความสุข เขาลอบหัวเราะในใจลับๆ

เขาเกิดในตระกูลราชวงศ์ของรัฐชางเฟิงและได้รับการปลูกฝังดูแลทางด้านนี้จากผู้เชี่ยวชาญโดยตรงตั้งแต่ยังเด็ก

เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาถูกลงโทษให้ทำความสะอาดลานกว้างของหอยุทธ์

เขาสัมผัสได้ถึงแววตาเยาะเย้ยถากถางจากเหล่าศิษย์คนอื่นๆอยู่ทุกวัน ในใจของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น

แต่ก็ต้องอดทนข่มกลั้นเอาไว้

เมื่อตอนนี้ได้ทราบว่าภารกิจของเดือนนี้คือศาสตร์แห่งข่ายอาคม

เขาจึงเห็นความหวังในการกู้หน้ากลับมา

ลู่หมิงหยางขบคิดในใจอย่างขุ่นแค้น

“เจ้าชายอย่างข้ากลับต้องมาเป็นคนกวาดพื้นให้พวกศิษย์หัวเราะเยาะ  แต่ตอนนี้โอกาสของข้ามาถึงแล้ว  สิ้นเดือนนี้ผู้ชนะจะต้องเป็นข้า ข้าจะทำให้พวกเจ้าทุกคนได้รับความอัปยศเสียบ้าง

!”