ตอนที่ 120

ชายชุดดำคือมัน

?

จี้เทียนซิงผายมือให้จี้เค่อนั่งลงในขณะที่รินชาให้นาง

จี้เค่อมองซ้ายมองขวารอบห้องของชายหนุ่มและกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า

“อุ ว้าว...

พี่ใหญ่เทียนซิง

ชีวิตความเป็นอยู่ในหอยุทธ์ฟงอวิ๋นของพวกท่านช่างดีจริงๆ !”

“ไม่เพียงแค่มีห้องที่กว้างขวางโอ่อ่า

แต่ยังมีห้องลับให้ฝึกฝนอีกด้วย ไม่เหมือนหอยุทธ์ไป๋ลู่ของข้าเลย  ทุกคนต่างก็มีเพียงห้องเล็กๆห้องเดียวอย่างกับรังหนู....

จี้เค่อเดินไปเดินมาจากนั้นก็นั่งลงบนโต๊ะและมองไปที่จี้เทียนซิงด้วยความอิจฉา

จี้เทียนซิงยิ้มบางและถามอย่างอบอุ่นว่า

“เค่อเค่อ ทำไมเจ้ามาหาข้าแต่เช้า ? มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ?”

จี้เค่อตกตะลึงและหันขวับไปมองอีกฝ่ายพลางขยี้เท้ากล่าวอย่างไม่พอใจว่า

“เฮ้ ! พี่ใหญ่เทียนซิงไฉนทำตัวเหินห่างกับข้าเช่นนี้ ?  ข้าไม่ได้พบท่านมาตั้งครึ่งเดือน

ข้าอยากเห็นหน้าท่านบ้างก็ไม่ได้หรือไง ?!”

“ฮ่าๆได้สิ ได้อยู่แล้ว”  จี้เทียนซิงยิ้มและลูบหัวนางอย่างใกล้ชิด

“เค่อเค่อ ครึ่งเดือนมานี้เจ้าเป็นไงบ้าง ? คุ้นชินกับชีวิตภายในนิกายบ้างหรือยัง ?”

จี้เค่อเลียริมฝีปากของนางและกล่าวอย่างหดหู่

“กฎเกณฑ์ข้อห้ามของนิกายและหอยุทธ์ไป๋ลู๋ช่างยิบย่อยมากมายยิ่งกว่าในวัง  แต่เพื่อการบ่มเพาะข้าก็ต้องจำยอมนั่นแหละ

ไม่เช่นนั้นคงไม่มีวันก้าวหน้าได้”

“เจ้าคิดได้เช่นนั้นก็ดี” จี้เทียนซิงพยักหน้าและถามต่อไปว่า “ครึ่งเดือนมานี่เจ้าศึกษาศาสตร์อันใดอยู่

? ใช่ปรุงยาหรือเปล่า ?”

จี้เค่อเบิกตากว้างและถามอย่างงงงวย

“ห๊า ? ปรุงยา

? เปล่านี่ เรียนปรุงยาไปทำไม   แบบนี้จะแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไรเล่า”

“นับแต่ข้าเข้ามาในหอยุทธ์ไป๋ลู่

ครึ่งเดือนมานี่ตั้งแต่เช้าตรู่ก็ต้องฝึกร่ายรำกระบี่จนถึงเที่ยง  นั่งสมาธิทำจิตให้ว่างตั้งแต่บ่ายยันเย็น

วนเวียนอยู่แบบนี้ทุกวัน”

“ครูฝึกกล่าวว่าให้พวกเราจดจ่อแต่เพียงการฝึกวรยุทธ์

และไม่ควรวอกแวกต่อสิ่งเร้าในศาสตร์อื่นๆ”

จี้เทียนซิงมองไปที่จี้เค่ออย่างสงสัย

เขาขมวดคิ้วด้วยความคลางแคลงใจ

“ดูเหมือนว่าเนื้อหาในการฝึกของแต่ละหอยุทธ์จะแตกต่างกันมาก

หอยุทธ์ไป๋ลู่ฝึกวิชากระบี่ หอยุทธ์ฟงอวิ๋นฝึกปรุงยา ....

ไม่รู้ว่าครูฝึกคิดอะไรอยู่ หรือว่าพวกเขามีเจตน่าแฝงที่ลึกซึ้งกว่านี้ ?“”

ในเวลานี้จี้เค่อก็มองเขาด้วยความกังวลและถามด้วยรอยยิ้มว่า

“พี่ใหญ่เทียนซิง ว่าแต่ท่านเล่า ? เป็นไงบ้างครึ่งเดือนมานี่ ทุกอย่างราบรื่นไหม”

“ราบรื่น ....?”  จี้เทียนซิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะฝืนยิ้มพลางพยักหน้า

“จะว่างั้นก็ได้”

“ฮึ ! พี่ใหญ่เทียนซิง

ท่านโกหก ข้าดูออกนะ” จี้เค่ออ่านสีหน้าของอีกฝ่ายออกจึงขบริมฝีปากและกล่าวอย่างไม่พอใจ

“ท่านมีปัญหาอะไร

หากยังเห็นข้าเป็นสหายก็เล่ามาเถอะ”

จี้เทียนซิงรู้ดีว่าจี้เค่อเป็นเด็กฉลาดและมีไหวพริบ

ปฏิกิริยาที่ผิดแปลกของเขาไม่อาจปิดบังสายตาของนางได้อย่างแน่นอน ดังนั้นเขาทำได้เพียงกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า

“จี้เค่อ

ที่จริงแล้วช่วงที่ผ่านมาข้าประสบปัญหาค่อนข้างมาก

ที่หนักสุดคือมีคนลอบสังหารถึงสองครั้ง”

“น่าเสียดาย ข้าพยายามตรวจสอบแล้วแต่ก็ยังไม่พบเบาะแสใดๆ

ข้าไม่รู้เลยว่าใครคิดลอบสังหารข้ากันแน่ !”

“ว่าไงนะ ?!  มีเรื่องเช่นนี้ ? ” จี้เค่อเบิกตากว้าง ใบหน้าอันงดงามเต็มไปด้วยความกังวล

“บัดซบชั่วช้าจริงๆ

มันผู้นั้นกล้าหาญมากถึงกล้าลอบสังหารพี่ใหญ่เทียนซิงในนิกายพันธมิตรสวรรค์ !”

จี้เค่อดูเหมือนจะโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงกับมือสังหารผู้นั้นมาก หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้นางก็ลดเสียงลงและถามว่า “พี่ใหญ่เทียนซิง ท่านสงสัยผู้ใดหรือ ? เสด็จอาของข้า...หรือจะเป็นลู่หมิงหยางผู้นั้น?”

ลู่หมิงหยางเข้านิกายพันธมิตรสวรรค์และข้ามขั้นจากศิษย์ฝ่ายนอกเป็นศิษย์ฝ่ายใน  นางก็รู้เรื่องนี้ดี

จี้เทียนซิงส่ายหัวและเบนหน้าไปมองถนนนอกห้องพลางกล่าวว่า

“ข้าตรวจสอบและวิเคราะห์ดูแล้ว

คนผู้นั้นไม่ใช่ทั้งจี้หลิงและลู่หมิงหยาง”

“อ้าว

งั้นมันเป็นใคร ?” จี้เค่อเลิกคิ้วขึ้นและมีสีหน้างงงวย

หลังจากนั้นครู่หนึ่งนางก็นึกได้บางอย่าง

ดวงตาของนางเปล่งประกายระยิบระยับและพุ่งพรวดจากเก้าอี้ตะโกนว่า

"ใช่แล้วๆ ! พี่ใหญ่เทียนเซิงข้าคิดออกแล้ว

มีคนนึงที่ข้าคิดว่าเป็นไปได้ !”

“ลูกพี่ลูกน้องของหลิงหยุนเฟย เจียนอวี้ !”

จี้เทียนซิงขมวดคิ้วอย่างฉับพลัน

“ลูกพี่ลูกน้องของหลิงหยุนเฟย ?  ใครกัน  เจียนอวี้ ?  ข้าไม่เคยได้ยินชื่อคนผู้นี้มาก่อนเลย”

จี้เค่ออธิบายอย่างรวดเร็ว

“พี่ใหญ่เทียนซิง เรื่องราวเป็นเช่นนี้

ข้าทราบมาว่าหลิงหยุนเฟยมีลูกพี่ลูกน้องผู้หนึ่งนามเจียนอวี้  เมื่อสามปีก่อนเจียนอวี้ผ่านการทดสอบของนิกายพันธมิตรสวรรค์จึงออกจากรัฐนภากระจ่างเพื่อมาเป็นศิษย์ของนิกาย

นับแต่นั้นมาเจียนอวี้ก็มิเคยกลับเมืองอีกเลย

นอกจากนี้ยังมีข่าวลือในเมืองว่าเจียนอวี้ผู้นี้หลงรักหลิงหยุนเฟยอย่างหัวปักหัวปำมาโดยตลอด”

จี้เทียนซิงอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงในที่สุด

เขาพยักหน้าและกล่าวว่า “ไม่แปลกใจเลยที่ข้าไม่เคยได้ยินชื่อบุคลผู้นี้มาก่อน

หลิงหยุนเฟยไม่เคยกล่าวถึงมัน

ที่แท้มันเข้านิกายพันธมิตรสวรรค์ก่อนพวกเราตั้งแต่สามปีก่อน”

“สามปีผ่านไป...

หากพรสวรรค์ของมันมิใช่ชั่ว ตอนนี้มันย่อมเป็นศิษย์ฝ่ายในและคุ้นชินกับภูมิประเทศภายในนิกายอย่างมาก

ดังนั้นผู้ที่ใส่ความข้าและลอบโจมตีข้าถึงสองครั้งสองคราสมควรเป็นมัน !”

จี้เค่อพยักหน้าเสริม

“พี่ใหญ่เทียนซิง ท่านเพิ่งเข้านิกายได้ไม่นานและมีศัตรูเพียงไม่กี่คน

หากตัดเสด็จอาของข้ากับลู่หมิงหยางออกไปก็เหลือเพียงเจียนอวี้เท่านั้นที่น่าสงสัยมากที่สุด  ท่านต้องระมัดระวังตัวให้มากนะ !”

เมื่อได้ยินน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยของนาง

จี้เทียนซิงก็พยักหน้ารับคำ

หลังจากนั้นทั้งสองก็คุยกันซักพักจนกระทั่งจี้เค่ออำลากลับไป

หลังจากนางออกไปจากหอยุทธ์ฟงอวิ๋น

จี้เทียนซิงก็จมอยู่กับความคิดอันซับซ้อน

สุดท้ายก็ส่ายหัวแล้วนำวัตถุดิบเดินไปห้องปรุงยา

......

จี้หลิงกำลังจะออกจากหอยุทธ์ฟงอวิ๋นพร้อมวัตถุดิบในมือเพื่อมุ่งหน้าไปยังห้องปรุงยา

อย่างไรก็ตาม

ในขณะที่เขาเดินไปที่ประตูก็เห็นชายหนุ่มร่างกำยำผู้หนึ่งยืนกอดอกอยู่หน้าประตู

ดวงตาของจี้หลิงส่องประกายวูบหนึ่งและปั้นหน้ายิ้มอย่างรวดเร็วและเป็นฝ่ายเอ่ยปากทักทายด้วยความเคารพ

“ศิษย์พี่ห่าว ท่านมายังหอยุทธ์ฟงอวิ๋นด้วยกิจธุระอันใดหรือ”

ศิษย์ร่างกำยำผู้นั้นก็คือห่าวเมิ่งนั่นเอง

เขาจ้องมองที่จี้หลิงด้วยรอยยิ้มกว้างและพยักหน้าตอบกลับ

“มาแล้วหรือจี้หลิง ข้ามาที่นี่ก็เพื่อรอพบเจ้านั่นแหละ”

จี้หลิงถามอย่างรวดเร็ว

“ศิษย์พี่ห่าว ท่านหมายความว่า ?”

ห่าวเมิ่งตบไหล่จี้หลิงอย่างสนิทสนมและกล่าวว่า ”อย่าเพิ่งถามข้าเลย ไปถามศิษย์พี่หญิงเถอะ นางสั่งให้ข้ามาตามตัวเจ้า”

“ศิษย์พี่หญิง ?” จี้หลิงตกตะลึง  ทันใดนั้นในหัวของเขาก็ปรากฏวงหน้าและเรือนร่างดั่งนางฟ้าของหยุนเหยาขึ้น

เมื่อเห็นห่าวเมิ่งเดินนำหน้าไปแล้ว

จี้หลิงจึงไม่คิดฟุ้งซ่านอีกและรีบติดตามไปอย่างรวดเร็ว

หนึ่งก้านธูปต่อมาห่าวเมิ่งก็พาจี้หลิงออกจากหอยุทธ์ฟงอวิ๋นไปที่ยอดเขาเมฆาสีชาด เมื่อพวกเขาเดินมาถึงประตูใหญ่ของตำหนักฉิงเทียนก็ได้เห็นหยุนเหยายืนรออยู่ที่ประตูทางเข้า

ชายทั้งสองคนโค้งคำนับหยุนเหยา

จากนั้นห่าวเมิ่งก็ล่าถอยไป ทำให้หน้าประตูของตำหนักฉิงเทียนอันโอ่อ่าเหลือเพียงจี้หลิงกับหยุนเหยาเท่านั้น

จี้หลิงรู้สึกตื่นเต้นกดดันเล็กน้อย

ในใจเต็มไปด้วยความคาดหวัง เขาคาดการณ์ในใจอย่างลับๆว่าการที่ตนเองถูกพามาที่ยอดเขาเมฆาสีชาดอันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของนิกายและยังเป็นที่ที่ศิษย์ฝ่ายนอกไม่มีคุณสมบัติพอจะย่างกราย

ย่อมมีความเป็นไปได้สูงว่ามีเรื่องสำคัญบางอย่าง

แน่นอน

หยุนเหยายังคงกล่าวกับจี้หลิงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “จี้หลิง

เจ้ากำลังจะได้พบกับท่านประมุข  จดจำไว้ให้มั่น

ห้ามปิดบังใดๆเด็ดขาด !”