สถานที่ถูกซ่อนอันยิ่งใหญ่
นานมาแล้ว
ซวนซวนและจี้เทียนซิงเคยพูดคุยกันเกี่ยวกับรูปแบบและสถานการณ์โดยรวมของดินแดนดาราบรรพกาล
นางเคยเล่าถึงเมืองวิญญาณเพลิงและอธิบายรายละเอียดเบื้องต้นให้ชายหนุ่มฟัง
เมืองวิญญาณเพลิงเป็นเมืองเพียงเมืองเดียวในดินแดนดาราบรรพกาล
เมืองโบราณแห่งนี้ดำรงอยู่มานานเกือบหนึ่งพันปี
มันตั้งอยู่ในพื้นที่ตอนกลางของดินแดนและอยู่ห่างจากยอดเขาซิงเฉิน 500 ไมล์ (ยอดเขาที่เหล่าประมุขมาประชุมกัน)
เมืองวิญญาณเพลิงมีขนาดเล็กซึ่งมีอาณาเขตครอบคลุมเพียงร้อยไมล์และมีประชากรอาศัยอยู่นับแสนคน
ทว่า
ประชากรนับแสนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสิ้น มียอดฝีมือจำนวนมาก
รวมไปถึงยอดฝีมือที่เร้นกายบางส่วน
ประชากรรุ่นเยาว์ที่อาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้ต่างก็สืบเชื้อสายของชนพื้นเมืองมาตั้งแต่สมัยโบราณ
บรรพบุรุษของพวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่มาหลายชั่วอายุคน นอกจากนี้ประชากรส่วนใหญ่ยังมีการเชื่อมโยงและสายสัมพันธ์กับแปดนิกายใหญ่จนทำให้เมืองวิญญาณเพลิงเจริญรุ่งเรืองสืบเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้
แม้มันจะเป็นเมืองเล็กๆแต่ก็เจริญหูเจริญตาอย่างมาก
ด้วยการที่มีผู้ฝึกยุทธ์นับแสนในเมือง
แน่นอนว่ามันย่อมเป็นสถานที่รวมตัวที่ดีแห่งหนึ่งภายในดินแดนดาราบรรพกาล
ศิษย์สาวกของทั้งแปดนิกายใหญ่ก็มักจะไปที่เมืองนี้เพื่อการฝึกฝน
สืบข้อมูลข่าวสารจากภายในเมืองหรือไม่ก็ซื้อหาทรัพยากรบ่มเพาะ
จี้เทียนซิงคาดเดาว่าภาพวาดขุนเขาแห่งนั้นย่อมเป็นเบาะแสเกี่ยวกับที่เก็บซ่อนลูกปัดแห่งดวงดาราเป็นแน่
แต่เขาก็ไม่อาจมองเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในภาพวาดนั้นได้
ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเดินทางมาจากเมืองวิญญาณเพลิง
เฉียนเยวี่ยไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเมืองวิญญาณเพลิงมาก่อนจึงเอ่ยปากถามจี้เทียนซิงไม่หยุดหย่อน
“เดินทางไปคุยไปก็แล้วกัน” จี้เทียนซิงกล่าวด้วยรอยยิ้มและกระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังของมัน
เฉียนเยวี่ยรีบกระพือปีกอย่างรวดเร็วและบินขึ้นไปบนท้องฟ้า
ระหว่างเดินทางจี้เทียนซิงก็อธิบายความเป็นมาและสถานการณ์คร่าวๆของเมืองวิญญาณเพลิง
หลังจากฟังจบ
เฉียนเยวี่ยก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและโหยหา มันอยากจะเข้าไปในเมืองนั้นให้เร็วที่สุด
......
ณ เทือกเขาที่ทอดยาวแห่งหนึ่งห่างจากถ้ำปีศาจไป
500 ไมล์มียอดเขาลูกหนึ่งที่สูงดั่งหอคอย
ภายใต้รัตติกาลอันมืดมิด
เงาร่างสูงโปร่งสองร่างกำลังยืนอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ในเชิงเขา ดวงตาทอดมองไปยังทิศทางที่ตั้งของถ้ำปีศาจ
บุคลผู้นี้มีความสูงกว่าสองเมตรและสวมเสื้อคลุมสีดำ
เขาเป็นชายชราที่เปลือยเท้าเปล่า, มหาปุโรหิตนั่นเอง
อีกร่างหนึ่งก็คือสตรีในชุดเกราะหนังสีดำและมีรอยคราบเลือด
นางก็คือเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้
ทั้งคู่มีสีหน้ามืดมนอำมหิต
รอบกายแผ่ซ่านกลิ่นอายอันเยือกเย็น
ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยของโทสะและความโกรธแค้น
“บัดซบ ! เจ้าพวกนิกายพันธมิตรสวรรค์
! พวกมันสังหารนักรบของตระกูลข้าไปมากมายและทำลายถ้ำปีศาจที่พวกเราอาศัยอยู่มาเป็นเวลาหลายปี
!”
เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้สบถออกมาด้วยความโกรธแค้น
น้ำเสียงของนางแข็งกร้าวดุร้ายจนทำให้อากาศโดยรอบสั่นสะเทือนและเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าฟัน
มหาปุโรหิตยังคงสงบเยือกเย็นและกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า
“มิได้มีเพียงแค่นิกายพันธมิตรสวรรค์เท่านั้น ยังมีพวกเด็กน้อยจากนิกายฤทัยจันทรา
สำนักหลิวเหอและนิกายตันติงอีกด้วย ! ไม่ช้าก็เร็วหนี้เลือดครั้งนี้ข้าจะให้พวกมันชดใช้นับสิบเท่า
!”
เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้ลอบกำหมัดและกระซิบกล่าวว่า
“มหาปุโรหิต ด้วยสถานการณ์ตอนนั้นทำให้พวกเราต้องรีบร้อนหนีออกมา
สิ่งของสำคัญมากมายอยู่ในถ้ำปีศาจที่พวกเราไม่ได้หยิบติดมือมา.......”
ก่อนที่นางจะพูดจบ
มหาปุโรหิตก็ส่ายหัวและกล่าวว่า “ไม่มีประโยชน์ ถ้ำถูกทำลายไปแล้ว
ต่อให้พวกเราย้อนกลับไปก็หาของไม่เจอ”
เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้ขมวดคิ้วอย่างไม่เต็มใจและกล่าวว่า
“ถ้ำปีศาจถูกทำลาย
ตอนนี้เหลือพวกเราสองคนที่หนีรอดออกมาได้ พวกเราไม่มีที่หลบซ่อนตัวเสียแล้ว…”
“พวกเราควรออกจากดินแดนดาราบรรพกาล
และกลับไปตั้งหลักที่เผ่าก่อนดีหรือไม่ ?”
มหาปุโรหิตส่ายหัวอีกครั้งและกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแสว่า
“พวกเราประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่และจบลงด้วยสภาพน่าอับอายเยี่ยงนี้ หากกลับไปที่เผ่าพวกเราจะอธิบายต่อท่านอาวุโสราชันปีศาจได้อย่างไร
?” (คนละคนกับจักรพรรดิปีศาจที่ถูกผนึก)
"แล้วจะให้ทำอย่างไรเล่า ? พวกเราจะไปไหนได้ ?”
เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้หันไปมองหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายพลางกระซิบถาม
มหาปุโรหิตครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
จากนั้นก็นึกหาหนทางได้ “ข้ารู้จักสถานที่ดีๆในการซ่อนตัวและจะไม่ถูกพวกนิกายพันธมิตรสวรรค์หาพบ
!”
......
ผ่านไปสามชั่วยามโดยไม่รู้ตัว
มันเป็นตอนเช้าตรู่ที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมอกยามเช้าสีขาวโพลน
เฉียนเยวี่ยและจี้เทียนซิงมาถึงเมืองวิญญาณเพลิงและลงจอดบนที่ราบกว้างใหญ่ที่มีพื้นที่ร่วมร้อยไมล์
เมื่อมองไปรอบๆเราจะเห็นทุ่งหญ้าและป่าอันไร้ขอบเขตเท่านั้น
เฉียนเยวี่ยหันซ้ายแลขวาอยู่หลายรอบ
จากนั้นก็ถามจี้เทียนชิงว่า “สหายจี้ ไหนเจ้าบอกว่าพวกเรามาถึงแล้ว ? เช่นนั้นเมืองวิญญาณเพลิงอยู่ตรงไหนเล่า ?”
จี้เทียนซิงชี้ไปที่หญ้าใต้ฝ่าเท้าของเขาด้วยรอยยิ้มและกล่าวว่า
“นี่ไงเมืองวิญญาณเพลิง มันเป็นเมืองที่ได้รับการปกปักษ์จากมหาข่ายปราณและทำให้คนทั่วไปไม่สามารถมองเห็น”
เฉียนเยวี่ยตระหนักได้ในทันทีและยิ้มแห้งๆ
“อ้อ ? ….. แหะๆ มิน่าเล่าทำไมข้าถึงได้รู้สึกแปลกๆว่าที่ราบกว้างใหญ่แห่งนี้มีกลิ่นอายของข่ายปราณ”
จี้เทียนซิงเดินไปที่ส่วนลึกของทุ่งหญ้าและกวาดมองด้วยตาที่แหลมคม
เมื่อเขาเดินออกไปอีกหนึ่งร้อยก้าวก็เห็นพงหญ้าสูงทึบจุดหนึ่งที่มีแผ่นหินสีดำสูงครึ่งตัวมนุษย์
บนแผ่นหินมีตัวอักษรสามตัวอ่านได้ความว่า
[เมืองวิญญาณเพลิง] นอกจากนี้มันยังจารึกไว้ด้วยเส้นสายสัญลักษณ์ของข่ายอาคมอีกด้วย
เขาจ้องที่แผ่นหินอยู่ครู่หนึ่ง
ดวงตาเผยให้เห็นรอยยิ้มพล่างกล่าวว่า
“เฉียนเยวี่ย ถ้าเจ้าอยากไปเดินจ่ายตลาดกับข้า
ทางที่ดีย่อขนาดตัวลงหน่อยจะดีกว่า”
“จัดไป” เฉียนเยวี่ยพยักหน้าและหดขนาดร่างกายลงอย่างรวดเร็ว
ภายในพริบตามันเปลี่ยนเป็นมีขนาดเท่าลูกแมวตัวหนึ่งและกระโดดไปที่ไหล่ของจี้เทียนซิง
จี้เทียนซิงหยิบป้ายคำสั่งสวรรค์ออกมาและทาบทับลงบนแผ่นหินสีดำโดยบีบอัดพลังปราณลงไปอย่างเงียบงัน
แผ่นหินสีดำส่องสว่างขึ้นด้วยแสงสีเงินและเปล่งพลังอาคมที่แข็งกร้าวออกมา
ข่ายปราณอัคคีของเมืองวิญญาณเพลิงถูกเปิดขึ้น
ภาพเบื้องหน้าที่ปรากฏต่อสายตาของจี้เทียนซิงก็เปลี่ยนไป
เดิมทีเบื้องหน้าพวกเขาไม่มีสิ่งใดเลยราวกับว่ามันล่องหนด้วยน้ำมือของม่านพลังไร้สภาพ
“วูบ !”
ทว่า
หลังจากข่ายปราณถูกกระตุ้น สิ่งที่พวกเขามองไม่เห็นก็จางหายไปทันทีและปรากฏภาพจริงขึ้นต่อหน้า
ที่แท้ทุ่งหญ้าและป่าไม้อันกว้างใหญ่ก็คือภาพมายาที่ถูกสร้างขึ้นโดยมหาข่ายปราณของเมืองวิญญาณเพลิงนั่นเอง
!
หลังจากภาพลวงตาหายไป
ความผันผวนในเมืองโบราณก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าจี้เทียนซิงและเฉียนเยวี่ย
นี่คือกำแพงเมืองโบราณทรงสี่เหลี่ยม กำแพงเมืองนั้นทำจากหินสีดำซึ่งมีความสูงประมาณสิบเมตรและเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศอันหนักอึ้ง
ก้อนหินสีดำที่ก่อเป็นกำแพงเมืองเหล่านั้นไม่ทราบว่าถูกกัดเซาะด้วยวันเวลาและสภาพอากาศมากี่พันปี
พวกมันทิ้งรอยด่างและรอยขรุขระอันโบราณคร่ำครึไว้เป็นจำนวนมาก
ประตูเมืองที่สูงและกว้างปิดไว้อยู่ บนประตูสลักไว้ด้วยอักษรสามตัว [เมืองวิญญาณเพลิง] ทว่าตัวอักษรได้เบลอไปหมดแล้ว
จี้เทียนซิงยังคงยืนอยู่ข้างๆอนุสาวรีย์หิน
แต่พื้นที่เท้าของเขากลายเป็นถนนหินสีดำที่กว้างและทอดยาวไปด้านหน้าและเชื่อมต่อกับประตูสูง
เฉียนเยวี่ยก็ใช้ศีรษะน้อยๆของมันมองไปที่เมืองวิญญาณเพลิงเช่นกัน
จากนั้นจี้เทียนซิงก็ก้าวไปที่ประตู
ใต้ประตูเมืองว่างเปล่าไร้ซึ่งเงาร่างของยามรักษาการณ์หรือผู้คน
แต่ทันทีที่จี้เทียนซิงเดินมาถึงหน้าประตูเมือง ผู้ฝึกยุทธ์ในชุดเกราะสองคนก็เดินออกมาจากกำแพงเมืองด้านบน
สองคนนี้เป็นผู้พิทักษ์ประตูเมือง
พวกเขามีพลังในขอบเขตปราณจิตขั้นที่สอง
ทั้งสองยืนมองจี้เทียนซิงจากที่สูงด้วยสีหน้าเคร่งขรึมพลางตะโกนด้วยเสียงดังกังวานว่า
“หากมิใช่คนของอาณาจักรเทียนเฉินก็มิอาจเข้าเมืองวิญญาณเพลิงได้ จงสำแดงป้ายยืนยันสถานะของเจ้าออกมาเสียก่อน !”
จี้เทียนซิงรู้กฎของเมืองวิญญาณเพลิงดี
มีเพียงศิษย์ของแปดนิกายใหญ่และประชากรที่อาศัยในเมืองเท่านั้นจึงจะสามารถเข้านอกออกในได้
ศิษย์ของทั้งแปดนิกายต่างก็มีป้ายประจำตัว
ส่วนประชาชนในเมืองวิญญาณเพลิงก็มีเครื่องยืนยันสถานเช่นกัน
สรุปแล้วมีเพียงคนที่ถือป้ายยืนยันตัวตนเท่านั้นจึงจะสามารถเปิดมหาข่ายปราณของเมืองวิญญาณเพลิง
และมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเหยียบย่างเข้าไปในตัวเมือง
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved