ตอนที่ 264

สถานที่ถูกซ่อนอันยิ่งใหญ่

นานมาแล้ว

ซวนซวนและจี้เทียนซิงเคยพูดคุยกันเกี่ยวกับรูปแบบและสถานการณ์โดยรวมของดินแดนดาราบรรพกาล

นางเคยเล่าถึงเมืองวิญญาณเพลิงและอธิบายรายละเอียดเบื้องต้นให้ชายหนุ่มฟัง

เมืองวิญญาณเพลิงเป็นเมืองเพียงเมืองเดียวในดินแดนดาราบรรพกาล

เมืองโบราณแห่งนี้ดำรงอยู่มานานเกือบหนึ่งพันปี

มันตั้งอยู่ในพื้นที่ตอนกลางของดินแดนและอยู่ห่างจากยอดเขาซิงเฉิน 500 ไมล์ (ยอดเขาที่เหล่าประมุขมาประชุมกัน)

เมืองวิญญาณเพลิงมีขนาดเล็กซึ่งมีอาณาเขตครอบคลุมเพียงร้อยไมล์และมีประชากรอาศัยอยู่นับแสนคน

ทว่า

ประชากรนับแสนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสิ้น มียอดฝีมือจำนวนมาก

รวมไปถึงยอดฝีมือที่เร้นกายบางส่วน

ประชากรรุ่นเยาว์ที่อาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้ต่างก็สืบเชื้อสายของชนพื้นเมืองมาตั้งแต่สมัยโบราณ

บรรพบุรุษของพวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่มาหลายชั่วอายุคน นอกจากนี้ประชากรส่วนใหญ่ยังมีการเชื่อมโยงและสายสัมพันธ์กับแปดนิกายใหญ่จนทำให้เมืองวิญญาณเพลิงเจริญรุ่งเรืองสืบเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้

แม้มันจะเป็นเมืองเล็กๆแต่ก็เจริญหูเจริญตาอย่างมาก

ด้วยการที่มีผู้ฝึกยุทธ์นับแสนในเมือง

แน่นอนว่ามันย่อมเป็นสถานที่รวมตัวที่ดีแห่งหนึ่งภายในดินแดนดาราบรรพกาล

ศิษย์สาวกของทั้งแปดนิกายใหญ่ก็มักจะไปที่เมืองนี้เพื่อการฝึกฝน

สืบข้อมูลข่าวสารจากภายในเมืองหรือไม่ก็ซื้อหาทรัพยากรบ่มเพาะ

จี้เทียนซิงคาดเดาว่าภาพวาดขุนเขาแห่งนั้นย่อมเป็นเบาะแสเกี่ยวกับที่เก็บซ่อนลูกปัดแห่งดวงดาราเป็นแน่

แต่เขาก็ไม่อาจมองเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในภาพวาดนั้นได้

ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเดินทางมาจากเมืองวิญญาณเพลิง

เฉียนเยวี่ยไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเมืองวิญญาณเพลิงมาก่อนจึงเอ่ยปากถามจี้เทียนซิงไม่หยุดหย่อน

“เดินทางไปคุยไปก็แล้วกัน” จี้เทียนซิงกล่าวด้วยรอยยิ้มและกระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังของมัน

เฉียนเยวี่ยรีบกระพือปีกอย่างรวดเร็วและบินขึ้นไปบนท้องฟ้า

ระหว่างเดินทางจี้เทียนซิงก็อธิบายความเป็นมาและสถานการณ์คร่าวๆของเมืองวิญญาณเพลิง

หลังจากฟังจบ

เฉียนเยวี่ยก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและโหยหา มันอยากจะเข้าไปในเมืองนั้นให้เร็วที่สุด

......

ณ เทือกเขาที่ทอดยาวแห่งหนึ่งห่างจากถ้ำปีศาจไป

500 ไมล์มียอดเขาลูกหนึ่งที่สูงดั่งหอคอย

ภายใต้รัตติกาลอันมืดมิด

เงาร่างสูงโปร่งสองร่างกำลังยืนอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ในเชิงเขา ดวงตาทอดมองไปยังทิศทางที่ตั้งของถ้ำปีศาจ

บุคลผู้นี้มีความสูงกว่าสองเมตรและสวมเสื้อคลุมสีดำ

เขาเป็นชายชราที่เปลือยเท้าเปล่า,  มหาปุโรหิตนั่นเอง

อีกร่างหนึ่งก็คือสตรีในชุดเกราะหนังสีดำและมีรอยคราบเลือด

นางก็คือเสวี่ยเยวี่ยจวินจู้

ทั้งคู่มีสีหน้ามืดมนอำมหิต

รอบกายแผ่ซ่านกลิ่นอายอันเยือกเย็น

ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยของโทสะและความโกรธแค้น

“บัดซบ ! เจ้าพวกนิกายพันธมิตรสวรรค์

!  พวกมันสังหารนักรบของตระกูลข้าไปมากมายและทำลายถ้ำปีศาจที่พวกเราอาศัยอยู่มาเป็นเวลาหลายปี

!”

เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้สบถออกมาด้วยความโกรธแค้น

น้ำเสียงของนางแข็งกร้าวดุร้ายจนทำให้อากาศโดยรอบสั่นสะเทือนและเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าฟัน

มหาปุโรหิตยังคงสงบเยือกเย็นและกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า

“มิได้มีเพียงแค่นิกายพันธมิตรสวรรค์เท่านั้น ยังมีพวกเด็กน้อยจากนิกายฤทัยจันทรา

สำนักหลิวเหอและนิกายตันติงอีกด้วย ! ไม่ช้าก็เร็วหนี้เลือดครั้งนี้ข้าจะให้พวกมันชดใช้นับสิบเท่า

!”

เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้ลอบกำหมัดและกระซิบกล่าวว่า

“มหาปุโรหิต ด้วยสถานการณ์ตอนนั้นทำให้พวกเราต้องรีบร้อนหนีออกมา

สิ่งของสำคัญมากมายอยู่ในถ้ำปีศาจที่พวกเราไม่ได้หยิบติดมือมา.......”

ก่อนที่นางจะพูดจบ

มหาปุโรหิตก็ส่ายหัวและกล่าวว่า “ไม่มีประโยชน์ ถ้ำถูกทำลายไปแล้ว

ต่อให้พวกเราย้อนกลับไปก็หาของไม่เจอ”

เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้ขมวดคิ้วอย่างไม่เต็มใจและกล่าวว่า

“ถ้ำปีศาจถูกทำลาย

ตอนนี้เหลือพวกเราสองคนที่หนีรอดออกมาได้ พวกเราไม่มีที่หลบซ่อนตัวเสียแล้ว…”

“พวกเราควรออกจากดินแดนดาราบรรพกาล

และกลับไปตั้งหลักที่เผ่าก่อนดีหรือไม่ ?”

มหาปุโรหิตส่ายหัวอีกครั้งและกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแสว่า

“พวกเราประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่และจบลงด้วยสภาพน่าอับอายเยี่ยงนี้ หากกลับไปที่เผ่าพวกเราจะอธิบายต่อท่านอาวุโสราชันปีศาจได้อย่างไร

?” (คนละคนกับจักรพรรดิปีศาจที่ถูกผนึก)

"แล้วจะให้ทำอย่างไรเล่า ? พวกเราจะไปไหนได้ ?”

เสวี่ยเยวี่ยจวินจู้หันไปมองหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายพลางกระซิบถาม

มหาปุโรหิตครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

จากนั้นก็นึกหาหนทางได้ “ข้ารู้จักสถานที่ดีๆในการซ่อนตัวและจะไม่ถูกพวกนิกายพันธมิตรสวรรค์หาพบ

!”

......

ผ่านไปสามชั่วยามโดยไม่รู้ตัว

มันเป็นตอนเช้าตรู่ที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมอกยามเช้าสีขาวโพลน

เฉียนเยวี่ยและจี้เทียนซิงมาถึงเมืองวิญญาณเพลิงและลงจอดบนที่ราบกว้างใหญ่ที่มีพื้นที่ร่วมร้อยไมล์

เมื่อมองไปรอบๆเราจะเห็นทุ่งหญ้าและป่าอันไร้ขอบเขตเท่านั้น

เฉียนเยวี่ยหันซ้ายแลขวาอยู่หลายรอบ

จากนั้นก็ถามจี้เทียนชิงว่า “สหายจี้ ไหนเจ้าบอกว่าพวกเรามาถึงแล้ว ?  เช่นนั้นเมืองวิญญาณเพลิงอยู่ตรงไหนเล่า ?”

จี้เทียนซิงชี้ไปที่หญ้าใต้ฝ่าเท้าของเขาด้วยรอยยิ้มและกล่าวว่า

“นี่ไงเมืองวิญญาณเพลิง   มันเป็นเมืองที่ได้รับการปกปักษ์จากมหาข่ายปราณและทำให้คนทั่วไปไม่สามารถมองเห็น”

เฉียนเยวี่ยตระหนักได้ในทันทีและยิ้มแห้งๆ

“อ้อ ? ….. แหะๆ  มิน่าเล่าทำไมข้าถึงได้รู้สึกแปลกๆว่าที่ราบกว้างใหญ่แห่งนี้มีกลิ่นอายของข่ายปราณ”

จี้เทียนซิงเดินไปที่ส่วนลึกของทุ่งหญ้าและกวาดมองด้วยตาที่แหลมคม

เมื่อเขาเดินออกไปอีกหนึ่งร้อยก้าวก็เห็นพงหญ้าสูงทึบจุดหนึ่งที่มีแผ่นหินสีดำสูงครึ่งตัวมนุษย์

บนแผ่นหินมีตัวอักษรสามตัวอ่านได้ความว่า

[เมืองวิญญาณเพลิง] นอกจากนี้มันยังจารึกไว้ด้วยเส้นสายสัญลักษณ์ของข่ายอาคมอีกด้วย

เขาจ้องที่แผ่นหินอยู่ครู่หนึ่ง

ดวงตาเผยให้เห็นรอยยิ้มพล่างกล่าวว่า

“เฉียนเยวี่ย ถ้าเจ้าอยากไปเดินจ่ายตลาดกับข้า

ทางที่ดีย่อขนาดตัวลงหน่อยจะดีกว่า”

“จัดไป” เฉียนเยวี่ยพยักหน้าและหดขนาดร่างกายลงอย่างรวดเร็ว

ภายในพริบตามันเปลี่ยนเป็นมีขนาดเท่าลูกแมวตัวหนึ่งและกระโดดไปที่ไหล่ของจี้เทียนซิง

จี้เทียนซิงหยิบป้ายคำสั่งสวรรค์ออกมาและทาบทับลงบนแผ่นหินสีดำโดยบีบอัดพลังปราณลงไปอย่างเงียบงัน

แผ่นหินสีดำส่องสว่างขึ้นด้วยแสงสีเงินและเปล่งพลังอาคมที่แข็งกร้าวออกมา

ข่ายปราณอัคคีของเมืองวิญญาณเพลิงถูกเปิดขึ้น

ภาพเบื้องหน้าที่ปรากฏต่อสายตาของจี้เทียนซิงก็เปลี่ยนไป

เดิมทีเบื้องหน้าพวกเขาไม่มีสิ่งใดเลยราวกับว่ามันล่องหนด้วยน้ำมือของม่านพลังไร้สภาพ

“วูบ !”

ทว่า

หลังจากข่ายปราณถูกกระตุ้น สิ่งที่พวกเขามองไม่เห็นก็จางหายไปทันทีและปรากฏภาพจริงขึ้นต่อหน้า

ที่แท้ทุ่งหญ้าและป่าไม้อันกว้างใหญ่ก็คือภาพมายาที่ถูกสร้างขึ้นโดยมหาข่ายปราณของเมืองวิญญาณเพลิงนั่นเอง

!

หลังจากภาพลวงตาหายไป

ความผันผวนในเมืองโบราณก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าจี้เทียนซิงและเฉียนเยวี่ย

นี่คือกำแพงเมืองโบราณทรงสี่เหลี่ยม กำแพงเมืองนั้นทำจากหินสีดำซึ่งมีความสูงประมาณสิบเมตรและเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศอันหนักอึ้ง

ก้อนหินสีดำที่ก่อเป็นกำแพงเมืองเหล่านั้นไม่ทราบว่าถูกกัดเซาะด้วยวันเวลาและสภาพอากาศมากี่พันปี

พวกมันทิ้งรอยด่างและรอยขรุขระอันโบราณคร่ำครึไว้เป็นจำนวนมาก

ประตูเมืองที่สูงและกว้างปิดไว้อยู่  บนประตูสลักไว้ด้วยอักษรสามตัว [เมืองวิญญาณเพลิง] ทว่าตัวอักษรได้เบลอไปหมดแล้ว

จี้เทียนซิงยังคงยืนอยู่ข้างๆอนุสาวรีย์หิน

แต่พื้นที่เท้าของเขากลายเป็นถนนหินสีดำที่กว้างและทอดยาวไปด้านหน้าและเชื่อมต่อกับประตูสูง

เฉียนเยวี่ยก็ใช้ศีรษะน้อยๆของมันมองไปที่เมืองวิญญาณเพลิงเช่นกัน

จากนั้นจี้เทียนซิงก็ก้าวไปที่ประตู

ใต้ประตูเมืองว่างเปล่าไร้ซึ่งเงาร่างของยามรักษาการณ์หรือผู้คน

แต่ทันทีที่จี้เทียนซิงเดินมาถึงหน้าประตูเมือง ผู้ฝึกยุทธ์ในชุดเกราะสองคนก็เดินออกมาจากกำแพงเมืองด้านบน

สองคนนี้เป็นผู้พิทักษ์ประตูเมือง

พวกเขามีพลังในขอบเขตปราณจิตขั้นที่สอง

ทั้งสองยืนมองจี้เทียนซิงจากที่สูงด้วยสีหน้าเคร่งขรึมพลางตะโกนด้วยเสียงดังกังวานว่า

“หากมิใช่คนของอาณาจักรเทียนเฉินก็มิอาจเข้าเมืองวิญญาณเพลิงได้  จงสำแดงป้ายยืนยันสถานะของเจ้าออกมาเสียก่อน !”

จี้เทียนซิงรู้กฎของเมืองวิญญาณเพลิงดี

มีเพียงศิษย์ของแปดนิกายใหญ่และประชากรที่อาศัยในเมืองเท่านั้นจึงจะสามารถเข้านอกออกในได้

ศิษย์ของทั้งแปดนิกายต่างก็มีป้ายประจำตัว

ส่วนประชาชนในเมืองวิญญาณเพลิงก็มีเครื่องยืนยันสถานเช่นกัน

สรุปแล้วมีเพียงคนที่ถือป้ายยืนยันตัวตนเท่านั้นจึงจะสามารถเปิดมหาข่ายปราณของเมืองวิญญาณเพลิง

และมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเหยียบย่างเข้าไปในตัวเมือง