ตอนที่ 105

ศัตรูร่วมกัน

กลางดึกสงัด

ที่ตีนเขาของนิกายพันธมิตรสวรรค์มีตำหนักและบ้านเรือนมากมายเรียงรายกันอยู่

เหล่านี้คือที่พำนักของศิษย์สายใน, ผู้ดูแลและครูฝึก

บ้านบางหลังยังมีไฟติดอยู่

แต่ผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็เข้านอนแล้ว หรือไม่ก็บ่มเพาะอยู่ภายในห้องลับ

จี้หลิง

ผู้สวมเสื้อคลุมสีฟ้ายืนอยู่ที่ประตูห้องของบ้านหลังหนึ่งในขณะที่ในมือถือกล่องไม้จันทน์เอาไว้

เขาเอื้อมมือออกไปเคาะประตูห้องหลายครั้ง  ในที่สุดก็มีชายหนุ่มรูปงามที่สวมเสื้อคลุมสีขาว

เปิดประตูออกมาทักทาย

เมื่อพวกเขาเข้าไปในห้องด้วยรอยยิ้ม จี้หลิงก็มอบของขวัญให้กับชายหนุ่มชุดขาวพลางกล่าวว่า “พี่ลู่ ข้าเพิ่งเข้านิกายมาได้ไม่กี่วัน ค่อนข้างยุ่งกับการปรับตัวนิดหน่อยถึงได้มาคารวะช้า  ขอพี่ลู่อย่าได้ถือสา”

ในขณะที่พูดจี้หลิงก็ถือกล่องไม้จันทน์ไว้ในมือ

ส่งไปให้ชายหนุ่มรูปงามแล้วกล่าวต่อไปว่า “พี่ลู่ นี่คือหยกเพลิงพันปีจากรัฐนภากระจ่าง น้องชายผู้นี้ขอมอบให้ท่านเพื่อเป็นการแสดงความยินดีที่พี่ลู่ได้เลื่อนขั้นเป็นศิษย์สายใน

ข้าหวังว่าพี่ลู่จะรับไว้”

ชายหนุ่มรูปงามผู้นี้ก็คือองค์ชายคนโตของแคว้นชางเฟิง , ลู่หมิงหยาง ผู้ซึ่งได้เข้าเป็นศิษย์สายในเมื่อสองวันก่อน

เมื่อได้ยินคำว่า

'หยกเพลิงพันปี' ทันใดนั้นเอง

ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายเจิดจ้าและเปิดกล่องไม้จันทน์ออกมาดูจนได้เห็นหยกสีแดงเข้มที่วางอยู่ในนั้น

ลู่หมิงหยางรับของมาและกล่าวขอบคุณจี้หลิงอย่างรวดเร็ว

“จี้หลิง ข้ากับเจ้าก็รู้จักกันมาหลายปีแล้ว

พวกเรามีความสัมพันธ์ดั่งพี่น้องที่ลึกซึ้ง เจ้ามาเยี่ยมข้าก็ดีใจพอแล้ว

เหตุใดถึงต้องมอบของขวัญให้ด้วยเล่า ?”

จี้หลิงเผยรอยยิ้มอย่างรวดเร็วและพูดว่า

“ก็เป็นเพราะเรารู้จักกันมาหลายปีข้าถึงได้รู้ว่าท่านกำลังตามหาโอสถที่สามารถแก้พิษเยือกเย็น  ดังนั้นจึงได้จัดเตรียมหยกเพลิงพันปีมาให้เป็นพิเศษ”

ลู่หมิงหยางพยักหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ข้าซาบซึ้งต่อมิตรภาพที่น้องจี้หลิงมีให้ยิ่งนัก

!  ตกลง

หยกเพลิงพันปีนี้ขอจะรับไว้เอง”

จากนั้นทั้งสองคนก็สนทนากันเล็กน้อยและชวนกันไปนั่งดื่มชา

ลู่หมิงหยางจิบชาพลางกล่าวด้วยความเห็นใจ

“เฮ้อ... น้องจี้หลิง

เดิมทีข้ามั่นใจว่าเจ้าจะต้องเข้านิกายในฐานะอันดับหนึ่งได้อย่างแน่นอน

ข้าไม่คิดว่าจะเป็นเจ้าหนุ่มที่ชื่อจี้เทียนซิงนั่น”

เมื่อกล่าวถึงจี้เทียนซิง

ใบหน้าของจี้หลิงก็ดูหดหู่และกล่าวว่า “เป็นเพราะเจ้าหมอนั่นมันใช้กระบี่พิลึกพิลั่นเล่มนั้น

ข้าถึงได้พลาดท่าไปชั่วครู่ จนมันได้อันดับหนึ่งไปครอง”

“โชคดีที่ข้าได้รับโอกาสอีกครั้ง หลังจากพี่ลู่ได้เลื่อนขั้นเป็นศิษย์สายใน

ข้าเลยได้แทนที่ในตำแหน่งของท่านพอดี”

“แต่กระนั้น ข้าต้องทนต่อสายตาดูถูกเหยียดหยามของศิษย์คนอื่นๆมากมาย

เจ้าสารเลวจี้เทียนซิงผู้นั้น ข้าไม่มีวันปล่อยมันไปแน่

!”

ลู่หมิงหยางยกคิ้วขึ้นและถามด้วยความสนใจ

“จริงสิ จี้หลิง ข้าก็คิดจะถามเจ้าเรื่องนี้อยู่พอดี ‘โอกาส’ ที่เจ้าว่านั่นคืออะไร ? ทำไมนิกายถึงลัดคิวพาเข้าเข้าหอยุทธ์ฟงอวิ๋นทั้งๆที่ไม่ใช่อันดับหนึ่งจากการคัดเลือก  เจ้ามีค่าอะไรต่อนิกายงั้นหรือ ?”

จี้หลิงแสดงรอยยิ้มอย่างมั่นใจและกล่าวว่า

“ตอนที่มายังนิกาย ข้าเดินทางมาพร้อมกับศิษย์พี่อัจฉริยะทั้งสามและครูฝึกทั้งสอง  ระหว่างนั้นศิษย์พี่ห่าวเมิ่งบอกกับข้าว่า

ข้าอาจเป็นคนที่นิกายกำลังมองหา ดูเหมือนข้าจะมีประโยชน์อะไรบางอย่างต่อพวกเขา”

“แต่ว่า

ผ่านไปแล้วหลายวันข้าก็ยังไม่ทราบว่าพวกเขามีเหตุผลอะไร”

ลู่หมิงหยางพยักหน้าและยิ้มพลางกล่าวว่า “ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม

ข้าต้องขอแสดงความยินดีกับเจ้าล่วงหน้าแล้ว !”

“จี้หลิง เจ้ามีประโยชน์ต่อนิกาย นิกายจะอุ้มชูเจ้าอย่างดีและในไม่ช้าเจ้าจะมีอนาคตที่สดใส

!”

“อีกครึ่งปีข้างหน้า หลังจากที่เจ้าเข้าสู่นิกายฝ่ายใน

พวกเราจะได้ทำงานร่วมกันและเกื้อหนุนกันและกัน !”

จี้หลิงประสานมือและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“แน่นอน พี่ลู่ !”

ลู่หมิงหยางเงียบไปครู่หนึ่ง

จากนั้นก็กล่าวต่อไปว่า “ข้าได้เห็นเจ้าเด็กจี้เทียนซิงในงานพิธีศิษย์ใหม่แล้ว  เหอะ !

ศัตรูทางแคบนัก ข้ารู้จักมันมาก่อน มันเป็นเจ้าเด็กที่โอหังยิ่งคนหนึ่ง !”

จี้หลิงขมวดคิ้วและถามอีกฝ่ายด้วยความสับสน

“หืม ? พี่ลู่ ท่านก็รู้จักมัน ? ท่านกับมันมีเรื่องบาดหมางอันใด ลองเล่าให้ข้าฟังหน่อย”

ลู่หมิงหยางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและกล่าวว่า

“เรื่องมันเกิดขึ้นที่เมืองเฟิงหยาง

เจ้าหนุ่มนั่นออกหน้าช่วยสหายของมันแย่งชิงหยกหมื่นวิญญาณไปจากข้าในงานประมูล  มันทำลายแผนการของข้าหมดสิ้น !”

“ในเมื่อตอนนี้มันก็เข้ามาในนิกายพันธมิตรสวรรค์

นี่คือสิ่งที่โดนใจข้าพอดี ข้าจะจัดการกับมันซะ !”

จี้หลิงเผยรอยยิ้มแห่งความสนุกสนานและกล่าวว่า “ในเมื่อพี่ลู่ก็มีเรื่องบาดหมางกับมัน งั้นพวกเราก็นับว่ามีศัตรูร่วมกัน

!”

“อ่อ จริงสิ

, จี้เทียนซิงมันช่างขวัญกล้าบังอาจนัก  เพิ่งเข้าหอยุทธ์ฟงอวิ๋นได้ไม่กี่วันแต่กลับกล้าขโมยผลไม้วิญญาณจากสวนโอสถของนิกาย

มันถูกลงโทษให้ไปทำความสะอาดตำหนักไท่อันหนึ่งเดือน”

“หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน

เมื่อถึงเวลาทดสอบศิษย์สายใน ไม่ใช่ว่ามันต้องตกไปอยู่รั้งท้ายหรอกหรือ ?

ลู่หมิงหยางอึ้งไปครู่หนึ่ง

จากนั้นก็หัวเราะลั่น “ฮ่าๆ

อะไรกัน มีเรื่องเช่นนี้ด้วย ?  งั้นมันก็สมควรโดนลงโทษแล้ว !”

“ในช่วงสองสามวันมานี่ข้าเพิ่งย้ายมาอยู่ฝ่ายใน

มีเรื่องต้องจัดแจงมากหลาย ไว้ให้ข้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก่อนเถอะ

ข้าจะจัดการกับมันเอง !”

จี้หลิงเหลือบมองไปที่ลู่หมิงหยางด้วยรอยยิ้มลี้ลับใบหน้า

“เดิมทีข้าคิดว่าพี่ลู่เป็นคนจัดการกับมันเสียอีก

แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่  เอาเถอะ

งั้นพวกเราก็ไม่ต้องเปลืองแรงทำอะไรกับมันแล้ว

มีใครบางคนกำลังจัดการกับมันอย่างลับๆอยู่”

ลู่หมิงหยางพยักหน้าและกล่าวว่า

“นี่เป็นเพราะจี้เทียนซิงทำตัวของมันเอง  มันโอหังอวดดีเกินไปและเพาะสร้างศัตรูไว้มาก

มีคนอื่นในนิกายที่ต้องการกำจัดมัน   คอยดูเถอะอีกไม่นานมันถูกคงสังหารหรือไม่ก็ถูกขับไล่ออกจากสำนัก

!”

จี้หลิงหัวเราะด้วยความพึงพอใจ

“หากเป็นเช่นนั้นได้ก็นับว่าประเสริฐนัก

ฮ่าๆๆ....”

ต่อมาทั้งสองก็กระซิบกระซิบกันอีกหลายคำก่อนที่จี้หลิงจะอำลาจากไปด้วยความอิ่มเอมใจ

......

ในตอนเช้าของวันต่อมา

หลังจากจี้เทียนซิงทำกิจวัตรประจำวันเสร็จก็เดินออกจากห้อง

ศิษย์คนอื่นๆของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นต่างก็แยกย้ายกันทำกิจวัตรส่วนตัวไม่ว่าจะเป็นการอ่านตำราหรือฝึกซ้อมเพลงกระบี่ในลานกว้าง

ส่วนจี้เทียนซิงนั้นทำได้เพียงต้องกลับไปยังตำหนักไท่อันเพื่อทำความสะอาดต่อไป...

ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะต้องไปทำความสะอาดที่ตำหนักไท่อัน

แต่เขาก็ยังไม่ลืมภารกิจหลักที่ได้รับมอบหมาย

เขาหยิบตำราพันโอสถติดตัวไปด้วยเช่นกัน

เมื่อมาถึงจุดหมาย

เขาก็คารวะทักทายชายใบ้หน้าโหดที่หน้าประตู จากนั้นก็เข้าไปในตำหนักเพื่อกวาดพื้น  บนพื้นของสนามหญ้าของลานกว้างตลอดจนในสวนยังคงถูกปกคลุมไปด้วยวัชพืช

เศษใบไม้และกระเบื้องที่แตกหัก

จี้เทียนซิงถือไม้กวาดด้วยมือขวาเพื่อกวาดพื้น

ส่วนมือซ้ายถือตำราพันโอสถเพื่อเปิดอ่านและจดจำเนื้อหาภายในตำรา

เมื่อทำสองอย่างพร้อมกันก็เป็นผลทำให้เขากวาดพื้นได้อย่างเชื่องช้า

แล้วยังอ่านตำราไม่ค่อยรู้เรื่องอีกด้วย...

จนกระทั่งเวลาล่วงไปถึงช่วงสาย

เขาก็ยังทำความสะอาดลานกว้างไม่เสร็จ ส่วนการท่องตำราก็จดจำได้เพียงไม่กี่ร้อยชนิดเท่านั้น

แต่นี่ก็เป็นวิธีเดียวที่เขาสามารถทำได้

เขาไม่ต้องการอยู่อันดับรั้งท้ายในการประเมินภารกิจจนกลายเป็นที่หัวเราะเยาะของผู้คน

เมื่อถึงบ่าย

ดวงอาทิตย์ก็ลอยขึ้นสูงและทำให้อากาศร้อนอบอ้าว

จี้เทียนซิงนั่งพักอยู่บนม้าหินใต้ชายคาและเปิดอ่านตำราอย่างตั้งอกตั้งใจ ทันใดนั้นเอง เสียงแหลมที่กรีดผ่านอากาศก็ดังขึ้น

ชายชุดฟ้าผู้หนึ่งลงมือใส่เข้าอย่างรวดเร็ว

จี้เทียนซิงตื่นตัวในทันควัน

เขากระโดดหนีไปไกลถึงสามเมตรเพื่อหลบการโจมตีของชายชุดฟ้า

“ตูม !”

การโจมตีของชายชุดฟ้าพลาดเป้า

หมัดของมันกระแทกเข้าใส่เก้าอี้หินจนเจาะเป็นหลุมขนาดใหญ่

เศษหินมากมายกระเด็นกระดอนไปรอบๆ

จี้เทียนซิงหรี่ตาลงและจ้องมองคนผู้นั้นอย่างเยือกเย็น

เขาต้องการดูว่าใครกันที่คิดทำร้ายผู้คนกลางวันแสกๆ