ตอนที่ 57

ความสงสัยของหยุนเหยา

เมื่อคนของตระกูลหลิงล่าถอยแพ้พ่ายกลับไป

ทหารยามตระกูลจี้จึงเริ่มเก็บกวาดลานกว้างที่นองไปด้วยเลือดและซากศพ  ส่วนจี้เทียนซิงก็กำลังยุ่งอยู่กับการดูแลอาการบาดเจ็บของบิดาโดยมิได้ปรากฏตัวขึ้นอีก

การต่อสู้นองเลือดระหว่างสองตระกูลได้จบลงชั่วคราว

ไป๋หวู่เชินรั้งสายตาอันไม่แยแสกลับมาและเพ่งมองหยุนเหยาที่อยู่ข้างกาย

เมื่อเห็นว่านางยังคงจับจ้องมองเหตุการณ์ในตระกูลจี้อย่างตั้งใจ

เขาจึงเอ่ยถามว่า “ศิษย์พี่หญิง

เจ้าหนุ่มน้อยผู้นั้นตกอยู่ในสถานการณ์คับขันเป็นตายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด

ทำไมท่านไม่ไปช่วยมันเล่า ?”

ห่าวเมิ่งก็มีคำถามเดียวกันและพยักหน้าเสริมพลางกล่าวว่า

“นั่นสิ หากศิษย์พี่หญิงลงมือ ตระกูลหลิงคงพินาศสิ้นแล้ว”

หยุนเหยารั้งสติกลับมาด้วยสีหน้าสงบราบเรียบ

นางเอ่ยว่า “นี่เป็นบุญคุณความแค้นส่วนตัวระหว่างตระกูลจี้กับตระกูลหลิง เหตุใดข้าต้องลงไปเกลือกกลั้วด้วย ?”

ห่าวเมิ่งยิ้มกรุ่มกริ่มและไม่พูดอะไรออกไป

ไป๋หวู่เชินรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

หัวใจที่เต็มไปด้วยความสงสัยเริ่มลดทอนลง

ตั้งแต่มาถึงเมืองจักรวรรดิ

เขารู้สึกว่าหยุนเหยามีอาการแปลกไปเล็กน้อย นางดูเหมือนจะกังวลมากเกี่ยวกับเจ้าหนุ่มผู้นั้น

อีกทั้งยังยื่นมือเข้าช่วยหลายต่อหลายครั้ง

ในหัวใจของเขา

เขาชื่นชมหยุนเหยามาโดยตลอดและใฝ่ฝันว่าสักวันหนึ่งจะได้รับการเหลียวแลจากนาง

แต่หยุนเหยาเหมือนไม่รับรู้ความในใจของมัน

และทัศนคติที่ดูไม่แยแสสิ่งใดของนางทำให้มันไม่กล้าเปิดเผยความรู้สึกในใจออกมา

มันรู้ว่าตนเองเป็นถึง

1 ใน 10

อัจฉริยะของนิกายหนุนสวรรค์

แต่นางกลับไม่แยแสเหลือบแลมันเท่ากับเจ้าหนุ่มไร้ชื่อผู้หนึ่ง

เรื่องนี้ทำให้มันรู้สึกคับข้องใจไม่น้อย

แต่เมื่อตอนนี้ได้ยินคำตอบจากปากของนาง

ความหึงหวงในใจของมันพลันหายไปสิ้น

ในเวลานี้หยุนเหยาก็เอ่ยถามว่า

“ศิษย์น้องทั้งสอง บุคลที่ข้ามอบหมายให้พวกเจ้าตามหาให้ท่านอาจารย์ได้เรื่องอย่างไรบ้าง

?”

ไป๋หวู่เชินยิ้มบางและตอบอย่างรวดเร็วว่า

“ศิษย์พี่หญิง นี่นับเป็นเรื่องเล็กจ้อย”

“หลังจากการพวกข้าตรวจสอบอย่างละเอียด

พบบุคลผู้หนึ่งที่มีศักยภาพเหมาะสมตามที่ท่านอาจารย์มองหา”

“ใคร ?”

หยุนเหยายกคิ้วเรียวงามขึ้น

ไป๋หวู่เชินกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย

“องค์ชายน้อยจี้หลิง !”

“เขา ?”

หยุนเหยาแสดงสีหน้าสงสัย  “ทำไมถึงเป็นเขา ?”

ห่าวเมิ่งอธิบายอย่างรวดเร็วว่า

“ศิษย์พี่หญิง ท่านมอบหมายงานให้พวกเรามองหาบุคลที่มีจังหวะชีวิตเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหันต์ใช่ไหมเล่า

ซึ่งมันประจวบเหมาะกับชีวิตขององค์ชายน้อยจี้หลิงพอดิบพอดี  เดิมทีตันเถียนของเขาพิการแต่กำเนิด

ทำได้เพียงรั้งอยู่ในระดับปรับแต่งกายาไปชั่วชีวิต  แต่ว่าเขาได้รับดอกไม้ดาราแดงเมื่อหลายวันก่อน

หลังจากเก็บตัวอยู่สองวันเขาก็ฟื้นฟูตันเถียนได้สำเร็จจนตัดผ่านมาถึงเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริง”

“พวกข้าได้ตรวจสอบพลังฝีมือของเขาแล้ว  เขาอยู่ในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่ 7  ในช่วงเวลาสั้นๆ  เขาเปลี่ยนไปอย่างพลิกฟ้าคว่ำดิน

นี่นับว่าตรงตามคุณสมบัติที่ท่านกล่าวถึงมิใช่หรือ ?"

“ดังนั้นข้ากับศิษย์พี่ไป๋จึงเห็นพ้องต้องกันว่า

เขาคือคนที่ท่านกำลังตามหา”

หลังจากฟังคำอธิบายของห่าวเมิ่งแล้ว

หยุนเหยาก็ยกคิ้วเรียวงามขึ้น ดวงตาของนางเปล่งประกายซับซ้อนออกมา

นางมองไปที่ห่าวเมิ่งและถามว่า

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาได้ดอกดอกไม้ดาราแดงมารักษาตันเถียนจนตัดผ่านไปยังเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริง

?”

ไป๋หวู่เชินยกยิ้มและอธิบายว่า

“ศิษย์พี่หญิง ท่านลุ่มหลงแต่การฝึกวรยุทธ์จนมิได้รับรู้ข่าวสารภายนอก

แน่นอนว่าท่านย่อมไม่รู้เรื่องนี้  ข่าวนี้ออกมาจากวังวิญญาณเพลิงและทุกคนในจักรวรรดิต่างก็รับรู้”

ห่าวเมิ่งกล่าวต่อไปว่า

“ศิษย์พี่หญิง ในความคิดของข้าด้วยความแข็งแกร่งขององค์ชายน้อยจี้หลิง  10

วันให้หลังที่เริ่มการแข่งขัน

เขาย่อมเป็นอันดับหนึ่งแน่นอน”

“หลังจากจบเรื่องนี้ก็พาเขากลับนิกาย

งานของพวกเราเป็นอันสิ้นสุด”

จากนั้นห่าวเมิ่งก็ยิ้มให้กับไป๋หวู่เชินและดูเหมือนจะพึงพอใจในความสามารถของพวกมันที่จัดการหน้าที่ได้สำเร็จ

แต่ทว่า

หยุนเหยากลับไม่ได้สนใจสีหน้าท่าทีอันพึงพอใจของศิษย์น้องทั้งสองเลย  แววตาของนางเต็มไปด้วยความครุ่นคิดพลางกล่าวว่า

"เป็นไปไม่ได้ องค์ชายน้อยจี้หลิงมีดอกไม้ดาราแดงในครอบครองได้อย่างไร

?”

ไป๋หวู่เชินยิ้มและกล่าวว่า

“ศิษย์พี่หญิง ทำไมท่านต้องตกใจด้วยเล่า ? เป็นไปไม่ได้ตรงไหน

ดอกไม้ดาราแดงปรากฏขึ้นในช่วงเวลานี้พอดีและเป็นไปได้สูงว่าองค์ชายจี้หลิงเป็นผู้ได้มัน”

“ด้วยคุณสมบัติอันล้ำเลิศของดอกไม้ดาราแดง

แม้จะเพียงแค่กลีบเดียวก็พอที่จะฟื้นฟูตันเถียนที่เสียหาย”

หยุนเหยาเงียบไปและเบนวงหน้าอันงดงามมองไปยังที่ตั้งของเคหะตระกูลจี้

นางคิดในใจลับๆว่า  “ดอกไม้ดาราแดงมีเพียงดอกเดียวทุกๆ

60 ปี ครั้งนี้ข้ากับ ‘เขา’ ได้มันมาแบ่งกันคนละส่วน

อีกทั้งยังเป็นของแท้

แต่เหตุใดองค์ชายจี้หลิงถึงอ้างตนว่าเป็นผู้ได้ดอกไม้ดาราแดงและฟื้นฟูตันเถียนจนมีวรยุทธ์ระดับต้นกำเนิดแท้จริง.....”

“ราชาลั่วหยาน.....   คนผู้นี้เป็นปัญหาอย่างแน่นอน ! ไม่รู้ว่าทำไมเขาจงใจปล่อยข่าวนี้ออกไป ? หรือจะมีเรื่องบางอย่างปิดบัง ?”

ในเวลานี้ไป๋หวู่เชินและห่าวเมิ่งเห็นนางเงียบๆไปดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่

พวกเขาจึงถามออกไปว่า “ศิษย์พี่หญิง ท่านเป็นอะไรไป ?”

หยุนเหยาส่ายหัวและรั้งสีหน้ากลับมาเป็นปกติ

“ไม่มีอะไร ข้าต้องการอยู่ลำพัง”

ไป๋หวู่เชินและห่าวเมิ่งหันไปมองหน้ากันด้วยความงุนงง

จากนั้นก็คำนับหยุนเหยาก่อนที่ลงจากยอดเจดีย์ไป

......

ภายในจวนหลังที่

3 ในเคหะตระกูลจี้  นี่เป็นที่พำนักของอดีตหัวหน้าตระกูลจี้ชางคง

มีทหารยามคอยดูแลทั้งด้านในและด้านนอกอย่างเข้มงวด

พวกเขาทุกคนแข็งแกร่งและเต็มไปด้วยบรรยากาศที่เย็นชา

สมาชิกตระกูลจี้ที่หวังจะมาเยี่ยมอาการบาดเจ็บของอดีตหัวหน้าตระกูลต่างก็ถูกทหารยามเหล่านี้ขัดขวางไว้

ทุกคนสามารถเห็นได้แค่เพียงเหล่าคนรับใช้ที่หอบอ่างน้ำและผ้าเช็ดตัววิ่งเข้าออกกันจ้าละหวั่น

ผ้าขนหนูและอ่างน้ำทั้งหมดที่ถูกหอบออกมาจากในห้องนั้นต่างก็ถูกย้อมเป็นสีแดงเลือด

พวกนางมีสีหน้าตกอกตกใจอย่างมาก

สมาชิกตระกูลจี้ทุกคนแม้จะไม่ได้เห็นจี้ชางคง

แต่พวกเขาย่อมสามารถคาดเดาอาการบาดเจ็บของเขาได้ด้วยผ้าขนหนูเปื้อนเลือดและถังน้ำอุ่นพวกนั้น

พวกเขาต่างก็เต็มไปด้วยความกังวลใจและหันไปซุบซิบสนทนากัน

ในขณะนี้มีเพียงสามคนในห้องนอนของจี้ชางคง

จี้ชางคงนอนอยู่บนเตียงไม่ได้สติ

จี้เทียนซิงนั่งอยู่ข้างเตียงด้วยสีหน้าหม่นหมอง

โดยมีหมอชราเคราขาวโพลนยืนอยู่ข้างๆ

ถึงแม้ว่าเสื้อคลุมและเสื้อชั้นในที่อาบเลือดของจี้ชางคงจะถูกผลัดเปลี่ยนเป็นชุดใหม่หมดแล้ว

แต่ในห้องก็ยังอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือด

เมื่อหมอชราเห็นสีหน้าจี้เทียนซิงเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและเคร่งขรึม  เขาจึงเอ่ยปลอบใจว่า “คุณชายใหญ่โปรดอย่าได้กังวลเกินไปนักเลยขอรับ สุขภาพจะแย่เอา”

“ตาแก่คนนี้เพียงช่วยจัดการกับอาการบาดเจ็บของนายท่านใหญ่ได้เท่านั้น

และด้วยเม็ดยาระงับพิษในร่างชั่วคราว  ตอนนี้นายท่านยังมิเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต”

“ต่อไปท่านต้องหมั่นให้คนมาดูแลนายท่านทุกวันไม่ขาดและทำตามที่บ่าวกำชับ  นำยาให้นายท่านทานตรงเวลาทุกวัน

จากนั้นก็พักผ่อนอย่าออกกำลังสักหลายเดือน”

“อีกหลายเดือนเลยงั้นหรือ.....” จี้เทียนซิงขมวดคิ้ว

ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มมากขึ้น

ตระกูลจี้กำลังประสบปัญหาทั้งภายในและภายนอก ทั้งลมและฝนตั้งเค้าอยู่รายรอบแล้ว

หากต้องถ่วงเวลายาวไปอีกหลายเดือน เกรงว่าสถานการณ์คงไม่สู้ดี

เขาถามด้วยเสียงเบาๆว่า

“ท่านหมอ เมื่อไหร่ท่านพ่อจะฟื้น ?”

“เรื่องนี้…”

หมอชราเงียบไปและลังเลก่อนจะกล่าวว่า

“เรียนคุณชายใหญ่ ตาแก่ผู้นี้ก็ไม่แน่ใจนัก นายท่านอาจตื่นขึ้นมาคืนนี้หรืออาจจะอีก

2-3 วันให้หลัง”

“พิษในร่างกายของนายท่านเกิดจากการผสมผสานของผงพิษสองชนิด ชนิดแรกสมควรเป็นพิษลับของตระกูลหลิง

นอกจากยาถอนพิษของตระกูลหลิงแล้ว มันยังสามารถขจัดได้อย่างช้าๆด้วยพลังฝีมือภายในร่างของผู้ถูกพิษเอง”

“แต่โชคไม่ดีที่นายท่านได้รับบาดเจ็บสาหัสและพลังฝีมืออ่อนล้าอย่างรุนแรง

มันยากมากที่จะขจัดพิษด้วยการใช้พลังของท่านเอง  นอกจากนี้แล้ว

ต่อให้ผ่านไปหลายเดือนจนนายท่านสามารถขจัดพิษเองได้

ข้าก็เกรงว่าพื้นฐานวรยุทธ์ของท่านจะพังทลาย และเขตแดนพลังถดถอยลงอย่างแน่นอน”

หลังจากฟังคำอธิบายของหมอชรา  อารมณ์ของจี้เทียนซิงก็ยิ่งหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ

จิตสังหารแผ่ซ่านมากขึ้นและมากขึ้น

“ตระกูลหลิงสารเลว !  แล้วก็....คนทรยศของตระกูลจี้ !”

“สักวันหนึ่ง ข้า

จี้เทียนซิงจะให้พวกเจ้าต้องชดใช้ด้วยเลือด ตายโดยไร้ที่กลบฝัง !”