ตอนที่ 200

สมควรต่อการยกย่อง

ผู้คนบนเวทีมังกรจันทร์ระเบิดเสียงสนทนากันอยู่อีกนาน

นิกายกระบี่ฟ้าเต็มไปด้วยความเศร้าสลดและความอัปยศอดสูจนผู้อาวุโสต่งไม่มีหน้าที่จะกล้าประกาศผลอีกต่อไป

สุดท้ายชูไฮว่ซานที่เป็นหนึ่งในประธานจึงได้เหินร่างมาถึงเวทีและประกาศผลการประลองสุดท้ายแทน

“การประลองรอบที่สาม

นิกายพันธมิตรสวรรค์เป็นฝ่ายชนะ !”

จากนั้นเขาก็เผยยิ้มพลางหันไปมองที่สองอาวุโสของนิกายกระบี่ฟ้าและกล่าวเสียงดังว่า

“ข้าขอประกาศว่าการประลองหลงซานในปีนี้นิกายพันธมิตรสวรรค์คว้าชัยชนะสองในสามรอบ

จึงถือเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด !”

“นับจากบัดนี้ไปภูเขามังกรจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนิกายพันธมิตรสวรรค์

!”

“ตามกฎข้อตกลงของสองนิกาย

ผู้คนทั้งหมดและข้าวของของนิกายกระบี่ฟ้าที่อยู่บนภูเขามังกรต้องโยกย้ายออกไปให้หมดภายในสองวัน

!”

เมื่อสิ้นเสียงของชูไฮว่ซาน

สมาชิกทั้งหมดของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นก็โห่ร้องส่งเสียงเชียร์ดังกึกก้องออกมาอีกครั้ง

ทุกคนต่างรู้กันดีว่าชัยชนะครั้งใหญ่นี้ยากที่จะเกิดขึ้นได้จริงๆ

และมันก็เกินความคาดหมายของทุกคนไปไกลโข

จี้เทียนซิงขึ้นทำเนียบเป็นยอดยุทธ์อันดับหนึ่งของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นและฝ่ายนอกอย่างไร้ข้อกังขา

เขาได้สร้างประวัติศาสตร์การประลองยุทธ์เขาหลงซานที่ดุเดือดที่สุดและนำมาซึ่งเกียรติยศใหญ่หลวงสู่นิกายพันธมิตรสวรรค์

!

ถึงแม้สมาชิกทุกคนจะไม่ได้ขึ้นเวทีไปมีส่วนร่วมในการต่อสู้

แต่จี้เทียนซิงเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องของพวกเขาก็เหมือนเป็นตัวแทนของทุกคน

ดังนั้นทุกคนจึงพลอยได้หน้าไปด้วย

วันนี้จี้เทียนซิงคว้าชัยชนะได้อย่างไม่มีผู้ใดปักใจเชื่อได้ลง

ศิษย์ทุกคนทั้งชื่นชมและภาคภูมิใจเช่นเดียวกัน

สีหน้าของชาวนิกายกระบี่ฟ้าเต็มไปด้วยความมืดมนหดหู่และไร้ซึ่งวาจาใดๆ

ก่อนหน้านี้ไม่นานพวกมันยังเย่อหยิ่งทะนงตน

แต่บัดนี้พวกมันทำหน้าเหมือนจะร่ำไห้ราวกับบุพการีเสีย

อาวุโสถังและอาวุโสคุมกฎต่างก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธ

แต่สุดท้ายพวกเขาก็ทำได้เพียงต้องข่มความรู้สึกไว้ในใจเท่านั้น

แม้หลังจากได้ยินการประกาศผลโดยชูไฮว่ซาน

พวกเขาทั้งสองก็ยังคงโค้งคำนับและกล่าวด้วยเสียงต่ำว่า “ขอแสดงความยินดีต่อชัยชนะของนิกายพันธมิตรสวรรค์ !”

“ในเมื่อแพ้ พวกเราก็จะทำตามกฎที่ตกลงกันไว้

ชาวนิกายกระบี่ฟ้าจะอพยพออกไปโดยเร็วที่สุด”

นิกายกระบี่ฟ้าสูญเสียมามากแล้ว

อาวุโสทั้งสองของนิกายจึงไม่คิดจะต่อปากต่อคำใดๆให้ขายหน้าอีก

พวกเขาเพียงต้องการออกจากเวทีมังกรจันทร์โดยเร็วที่สุดเพื่อที่จะไม่ต้องอยู่ฟังการเยาะเย้ยถากถางของนิกายพันธมิตรสวรรค์

สรุปได้ว่า

ณ จุดๆนี้การประลองหลงซานก็จบลงแล้ว

จี้เทียนซิงผ่อนคลายลงและเดินกลับเข้าไปในฝูงชนด้วยสีหน้าเรียบเฉย

เขาถูกห้อมล้อมไปด้วยเหล่าสมาชิกของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นราวกับดาวล้อมเดือน

พ่อบ้านแห่งนิกายกระบี่ฟ้าก็รีบทะยานไปยังที่เกิดเหตุและนำร่างของฮั่งเชินที่หมดสติและหายใจรวยรินกลับนิกายกระบี่ฟ้า

จากสภาพที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ของฮั่งเชิน

หากมิได้รับการรักษาอย่างถูกต้องทนเวลาก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

หลังจากนั้นครู่หนึ่งคนของนิกายกระบี่ฟ้าก็ทยอยออกจากเวทีมังกรจันทร์

ในระหว่างที่อาวุโสทั้งสองและพ่อบ้านเดินผ่าน

พวกเขาไม่ได้ทักทายใดๆกับคนของนิกายพันธมิตรสวรรค์อีกเลย

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาโกรธและผิดหวังเป็นอย่างมาก

ส่วนนิกายพันธมิตรสวรรค์ก็ยังไม่รีบร้อนจากไป

พวกมันพูดคุยกันรอบเวทีมังกรจันทร์ที่มีสภาพเละเทะกันอยู่นาน

ฮั่นเฉียวเซิงเดินไปหาจี้เทียนซิงด้วยสีหน้าพึงพอใจยิ่ง

เขากล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยว่า “จี้เทียนซิง

เจ้าทำได้ยอดเยี่ยมมาก !”

“วันนี้เจ้าได้สร้างปาฏิหาริย์และเอาชนะฮั่งเชินมาได้

เจ้าทำให้หอยุทธ์ฟงอวิ๋นของเรารู้สึกเชิดหน้าชูตาเป็นอย่างยิ่ง !”

“การต่อสู้ระหว่างเจ้ากับฮั่งเชินย่อมแพร่กระจายไปทั่วทั้งดินแดนดาราบรรพกาลและจะเป็นที่กล่าวขานในหมู่นิกายใหญ่ไปอีกนานแสนนาน

!”

กล่าวจบฮั่วเฉียวเซิงก็หันไปมองศิษย์อีกเหลือของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นและให้โอวาทว่า

“พวกเจ้าคงจะอิจฉาจี้เทียนซิงกันนักใช่ไหม ? งั้นจงหลับตาจินตนาการดูว่าสักวันหนึ่งพวกเจ้าจะต้องเป็นอย่างเขาได้

จงพยายามฝึกฝนให้มากและสร้างคุณงามความดีสู่นิกายให้ชื่อเสียงขจรไกลทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเฉิน”

ศิษย์ทุกคนพยักหน้า

แววตาเปล่งประกายไปด้วยความหวังและความมุ่งมั่น

ฮั่นเฉียวเซิงยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า

“ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าทุกคนคงได้เห็นการประลองกับตาแล้ว  ด้วยระดับบ่มเพาะของจี้เทียนซิง

ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ไม่มีทางเอาชนะฮั่งเชินที่มีพลังเหนือกว่าถึง 4-5

ขั้นย่อยได้  เช่นนั้นเพราะอะไรมันถึงทำได้รู้ไหม

?”

“นั่นก็เพราะมันมีความสงบเยือกเย็นและใช้สติปัญญาไงล่ะ

มันรู้จุดแข็งของตัวเองและวิเคราะห์จุดอ่อนของศัตรู  มันอาศัยข้อได้เปรียบเรื่องข่ายปราณของมันและผสมผสานข่ายปราณเข้ากับวิชากระบี่

จากนั้นก็คอยรักษาระยะห่างอย่างเยือกเย็นเพื่อบั่นทอนพลังของฮั่งเชินอย่างต่อเนื่อง

จนสุดท้ายก็สบโอกาสและเอาชนะฮั่งเชินได้ในที่สุด !”

“ตลอดสองเดือนที่ผ่านมาข้ามักจะสอนให้พวกเจ้าเรียนรู้และศึกษาในศาสตร์อื่นๆ

ไม่ว่าจะเป็นการหลอมโอสถและข่ายปราณ

จุดประสงค์ก็เพื่อใช้ประโยชน์จากศาสตร์เหล่านั้นมาประยุกต์ใช้กับสไตล์การต่อสู้ของพวกเจ้า”

“นั่นก็คือสิ่งที่พวกเจ้าได้เห็นในวันนี้

จี้เทียนซิงคือผู้ฝึกยุทธ์ในแบบที่ข้าคิดจะบ่มเพาะปลูกฝังพวกเจ้าทุกคน

สุดท้ายมันก็สามารถเอาชนะคนที่ไม่น่าจะเอาชนะได้ !”

“หากพวกเจ้าลดทิฐิลงแล้วเอาจี้เทียนซิงเป็นตัวอย่าง

ด้วยศักยภาพของพวกเจ้า ข้า ฮั่นเฉียวเซิงมั่นใจว่าสักวันหนึ่งพวกเจ้าจะสามารถเป็นอัจฉริยะที่แท้จริงและสร้างชื่อเสียงให้กับตนเองและนิกายได้เช่นกัน

!”

คำพูดปลุกปลอบของฮั่นเฉียวเซิงได้ผลเป็นอย่างมาก

มันทำให้โลหิตในกายของศิษย์ทุกคนเดือดพล่านและปรบมือ

ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา

ครั้งแรกที่ฮั่นเฉียวเซิงพูดประโยคเหล่านี้พวกมันต่างก็หน้าชาและไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร

จนกระทั่งวันนี้เอง

การประลองของจี้เทียนซิงเป็นการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนี้ให้เหล่าศิษย์ทุกคนได้เห็นและเข้าถึงเจตนาแท้จริงของฮั่วเฉียวเซิง

วิทยายุทธ์ในทุกแขนงก็คือรากฐานของชีวิตและทุกศาสตร์ก็ล้วนแต่มีความสำคัญสูงสุดในแบบฉบับของมัน

ถึงแม้ว่าการหลอมโอสถและข่ายปราณจะเป็นวิทยายุทธ์เพิ่มเติม

แต่หากลงลึกถึงรายละเอียดของมันก็จะเห็นข้อดีในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ฝึกยุทธ์ได้

การต่อสู้ของจี้เทียนซิงและฮั่งเชินในวันนี้ได้เป็นตัวจุดประกายที่ทำให้การฝึกฝนในหอยุทธ์ฟงอวิ๋นนับจากนี้ไปเต็มไปด้วยชีวิตชีวาและกระตือรือร้นมากขึ้น

!

สายตาของทุกคนรวมกันที่ตัวของจี้เทียนซิง

พวกมันมอบความรู้สึกและปฏิบัติต่ออีกฝ่ายในฐานะวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่และมีความสามารถมากที่สุดที่น่าภาคภูมิใจของหอยุทธ์ฟงอวิ๋น

ลู่หมิงหยางยืนคอตกอยู่ท่ามกลางฝูงชนและถูกทุกคนลืมไปหมดสิ้น.....

ไม่มีใครใส่ใจมัน

ไม่มีใครตำหนิมันแล้วก็ไม่มีใครสนใจมันเช่นกัน...

มันจ้องมองจี้เทียนซิงอย่างเงียบงัน

ในใจเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมและความละอาย ใบหน้าของมันบิดเบี้ยวน่าเกลียดมาก

แต่ทว่ามันก็เห็นเต็มสองตาว่าจี้เทียนซิงคว่ำฮั่งเชินได้อย่างไร

ซึ่งมันก็ประทับใจและชื่นชมในความแข็งแกร่งของจี้เทียนซิงเป็นอย่างมาก

มันต้องยอมรับว่าจี้เทียนซิงเป็นผู้ฝึกยุทธ์มากความสามารถและมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้รับการยกย่องเชิดชู

ไม่ว่าจะเป็นความกล้าหาญ

ความหนักแน่นมั่นคง ตลอดจนพลังยุทธ์ อีกฝ่ายสามารถบดขยี้มันได้ในพริบตา

แล้วตัวมันเองมีคุณสมบัติอะไรที่จะไม่พอใจและวางตัวเป็นศัตรูกับเขาได้อีก ?

หลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนาน

ทุกคนก็เริ่มสงบลง

ฮั่นเฉียวเซิงและตู้หวู่พาศิษย์ทั้งเก้าลงจากภูเขาเพื่อมุ่งหน้ากลับนิกายพันธมิตรสวรรค์

ส่วนจี้เทียนซิงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษราวกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่

ชูไฮว่ซานพาเขาโดยสารนกยักษ์ที่เป็นสัตว์อสูรวิญญาณบินกลับนิกายพันธมิตรสวรรค์เป็นการส่วนตัว

......

ขณะเดียวกัน

ภายในนิกายพันธมิตรสวรรค์

ณ ตำหนักส่วนตัวของฉู่เทียนเซิงประมุขนิกาย

เขานั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้ากระดานหมากรุกโบราณสีบรอนซ์ในห้องลับ

กระดานนี้มีเส้นสายที่ตัดลากไขว้กันไปมา

มันราวกับเป็นอาคมชนิดหนึ่ง

วู้ม

!

กระดานส่องสว่างด้วยแสงสีขาวและควบแน่นเป็นม่านแสงสีขาวจางๆเหมือนกระจกบานหนึ่ง

ภาพที่ปรากฏในม่านกระจกก็คือ

ณ เวทีประลองมังกรจันทร์บนภูเขามังกรนั่นเอง

กระดานสีบรอนซ์ชิ้นนี้เรียกว่ากระดานเยว่เทียน

มันมีความสามารถคล้ายคลึงกับแผนที่ดวงดาวและเป็นอุปกรณ์ระดับสวรรค์อันล้ำค่า

หนึ่งในความลับมากมายของนิกายพันธมิตรสวรรค์

ด้วยสิ่งนี้ถึงแม้ฉู่เทียนเซิงจะนั่งอยู่ในห้องลับก็ยังสามารถชมดูการประลองบนเวทีมังกรจันทร์ที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยไมล์ได้

วันนี้

การประลองหลงซานจบลงแล้ว ทั้งสองนิกายเริ่มแยกย้ายกันกลับ

ฉู่เทียนเซิงขมวดคิ้วครู่หนึ่งก่อนที่จะเผยรอยยิ้มและวาดมือฝ่ามือเก็บกระดานเยว่เทียนกลับไปในแหวนมิติ

“หึๆ จี้เทียนซิงเอ๋ยจี้เทียนซิง ข้ามองเจ้าไม่ผิดจริงๆ

เจ้าสมแล้วที่เป็นบุรุษในคำทำนายของแผนที่ดวงดาว !”

“ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติ ความเฉลียวฉลาดและพรสวรรค์โดยกำเนิดของเจ้านั้นยอดเยี่ยมไม่ต่างจากหยุนเหยาแม้แต่น้อย  ตราบใดที่เจ้ายังมั่นฝึกฝนต่อไป

ในไม่ช้าเจ้าจะกลายเป็นอัจฉริยะในระดับเดียวกับหยุนเหยา !”

“นิกายเรารุ่นนี้ที่มีอัจฉริยะอย่างหยุนเหยาก็นับว่าเป็นพรอันประเสริฐจากสวรรค์มากพอแล้ว  บัดนี้มีจี้เทียนซิงปรากฏตัวขึ้นอีกคน  สวรรค์อวยพรนิกายพันธมิตรสวรรค์ของเรายิ่งนัก !”