ตอนที่ 189

อ่านมาก

รู้มาก มันก็เท่านั้น

จี้เทียนซิงพูดออกมาท่ามกลางสายตาของทุกคนด้วยสีหน้าสงบและน้ำเสียงราบเรียบว่า

“ร่างกายมนุษย์เป็นดั่งขุมทรัพย์และการบ่มเพาะพลังผู้ฝึกยุทธ์ก็คือการชักนำพลังฟ้าดินเพื่อค้นหาความลึกลับของขุมทรัพย์นี้”

“ในใต้หล้าต่างรับรู้กันดีว่าจะใช้ตันเถียนในการกักเก็บพลังลมปราณได้อย่างไร

แต่พวกเราไม่เคยรู้เลยว่าผู้ที่ไร้ซึ่งตันเถียนนั้นสามารถใช้การควบแน่นพลังปราณเพาะสร้างครรภ์ที่ใช้ทดแทนตันเถียนได้”

“นอกจากนี้

เส้นชีพจรลมปราณและจุดฝังเข็มยังสามารถเก็บพลังลมปราณได้ด้วย

อีกทั้งยามที่ใช้มันแทนตันเถียนแล้วก็ยิ่งรวดเร็วและสะดวกในการโคจรพลัง หนำซ้ำยังทรงพลังยิ่งกว่า

!”

“ตันเถียนมีเพียงหนึ่งเดียวและร่างกายมนุษย์ก็มีจุดฝังเข็มถึง

72 จุด หากเราสามารถกักเก็บพลังปราณไว้ในจุดฝังเข็ม

เราก็จะสามารถรองรับพลังปราณที่หนาแน่นและลึกล้ำยิ่งกว่าได้”

“นอกจากนี้ หลังจากการทำให้จุดฝังเข็มแข็งแกร่งขึ้นด้วยการบรรเทาโดยการโคจรพลังปราณ

เส้นชีพจรก็จะได้รับการปรับแต่งให้ดียิ่งขึ้น ความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธ์ผู้นั้นก็จะพัฒนาไปอย่างมากและพลังรบก็จะพุ่งทะยานเหนือล้ำกว่าผู้ฝึกยุทธ์ในระนาบเดียวกัน

!”

เมื่อได้ยินคำอธิบายของจี้เทียนซิง

ไม่ว่าจะเป็นนิกายกระบี่ฟ้าหรือนิกายพันธมิตรสวรรค์ต่างก็มีสีหน้าประหลาดใจ ดวงตาเบิกกว้างเผยให้เห็นถึงการแสดงออกอันเหลือเชื่อ

แม้แต่ศิษย์ฝ่ายนอกนับร้อยคนที่อยู่ในลานกว้างก็ส่งยังส่งเสียงอุทานอย่างเหลือเชื่อ

พวกมันเริ่มส่งเสียงพูดคุยกันดังสนั่น

“นิ... นี่เป็นเรื่องจริงหรือ

? ทำไมข้าไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน ?”

“ใช้พลังปราณควบแน่นเพาะสร้างเป็นครรภ์แทนตันเถียน

? กักเก็บพลังปราณด้วยเส้นชีพจรและจุดฝังเข็ม ?  นี่มันไม่น่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อยหรือ

?!”

“นั่นสิ ถึงแม้คำพูดของจี้เทียนซิงจะน่าทึ่งมาก

แต่ข้ากลับคิดว่ามันพอจะมีมูลความจริงบางประการ

บางที....อาจจะสำเร็จจริงๆก็เป็นได้”

“ถูกต้อง

ฟังน้ำเสียงของเขาแล้วดูเหมือนจะไม่ได้เสียสติ อาจจะเป็นเช่นนั้นจริง”

“ตะ.. แต่เรื่องนี้มันขัดสามัญสำนึกเกินไป

หากมีวิธีการบ่มเพาะเช่นนี้บนโลกจริง ทำไมพวกเราถึงไม่ทราบมาก่อนเลยเล่า ?”

ภายในห้องโถงใหญ่

ฮั่งเชินและหยินเฟยหยางต่างก็กอดอกและยิ้มเยาะเย้ย คำพูดของจี้เทียนซิงเมื่อครู่นั้นพวกมันต่างขบคิดอย่างจริงจังดูแล้ว

แต่นิทานหลอกเด็กเช่นนี้ใครก็แต่งขึ้นมาได้จริงหรือไม่ ?

ครู่ต่อมาหยินเฟยหยางก็เริ่มพูดขึ้นว่า

“ศิษย์น้องจี้ เจ้าเป็นคนซื่อและมีคุณธรรม

แม้นคำพูดเจ้าจะสมเหตุสมผลและดูน่าฟัง แต่เรื่องนี้เป็นการละเมิดและขัดต่อสามัญสำนึกของผู้ฝึกยุทธ์ทั่วหล้า  โปรดยกโทษให้พวกข้าด้วยที่ไม่อาจเชื่อคำพูดของเจ้าได้

เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะแสดงหลักฐานให้เป็นที่ประจักษ์ !”

หยานตงไหลก็พยักหน้าและกล่าวเสริมว่า

“หากไม่มีหลักฐาน ต่อให้เจ้าอธิบายจนฟ้าถล่มดินทลายก็ไม่มีประโยชน์!”

ศิษย์ของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นต่างมองไปยังจี้เทียนซิงด้วยสีหน้าคาดหวังและพยายามดูว่าเขาจะพิสูจน์คำพูดของตนเองอย่างไร

จี้เทียนซิงกล่าวอย่างกระตือรือร้นว่า

“หลักฐาน ? ข้ามีแน่นอน วิธีการบ่มเพาะที่ข้าเพิ่งพูดไปนั้นสร้างขึ้นโดยสุดยอดฝีมือแห่งสหัสวรรษ”

“สุดยอดฝีมือท่านนั้นได้กลายเป็นบุคลที่ทรงพลังด้วยวิธีบ่มเพาะนี้

ครั้งหนึ่งเขาได้เคยก้าวเท้าเข้าสู่อาณาจักรเทียนเฉินและทิ้งตำนานการต่อสู้อันลือลั่นเอาไว้ที่นี่”

“เพียงแค่ตำนานเมื่อหนึ่งพันปีก่อนพวกเจ้าอาจจะไม่เคยได้ยิน

อีกทั้งพวกเจ้าทุกคนก็เป็นคนปกติที่มีตันเถียนสมบูรณ์พร้อมในการฝึกยุทธ์

ดังนั้นพวกเจ้าจึงไม่มีใครใส่ใจค้นคว้าตำนานนี้”

“นอกจากนี้ศิษย์พี่หยินและพรรคพวกต่างก็มาจากอาณาจักรหยงอัน

เป็นไปได้ว่าพวกเจ้าไม่เคยได้ยินตำนานที่เล่าขานในอาณาจักรเทียนเฉิน  เรื่องมันก็เท่านี้"

เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดเหล่านี้

มีหลายคนที่ขมวดคิ้วและสงสัยว่าจี้เทียนซิงหมายถึงเทพเซียนท่านใด

น่าเสียดายที่แทบทุกคนในที่นี้ไม่มีใครเคยได้ยินตำนานพันปีของยอดฝีมือท่านนั้นและไม่รู้ว่าผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้นเป็นใคร

ฮั่งเชินและหยินเฟยหยางก็มีสีหน้าสันสนเช่นกัน

พวกมันแยกแยะไม่ได้และเป็นการยากที่จะบอกว่าจี้เทียนซิงพูดจริงหรือแต่งเรื่องขึ้นมา

แม้แต่ซื่อจิงเฉิงและลู่หมิงหยางผู้เย่อหยิ่งก็ยังอดไม่ได้ที่จะกระซิบกระซาบไปถามกัน

ทั้งสองฝ่ายในห้องโถงหลักและศิษย์สายนอกที่อยู่ในลานกว้างต่างก็สงสัยเรื่องเล่าของจี้เทียนซิง

ไม่มีใครเอ่ยปากแย้ง แต่ก็ไม่มีใครเชื่อด้วยเช่นกัน

หยินเฟยหยางขมวดคิ้วครู่ใหญ่

จากนั้นก็ส่ายหัวแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า

"ศิษย์น้องจี้

ถึงแม้นิทานของเจ้าจะดูเข้าท่าจนเหมือนเป็นเรื่องจริง

แต่เจ้าไม่สามารถบอกพวกเราได้ว่ายอดฝีมือท่านนั้นคือใคร

อีกทั้งไม่มีใครสักคนในที่นี้ที่เคยได้ยินตำนานนี้มาก่อน ดังนั้นคำพูดของเจ้ายังไม่ดีพอที่จะใช้เป็นหลักฐานยืนยัน

!”

จี้เทียนซิงมองหน้าอีกฝ่ายอย่างเฉยชา

มุมปากเชิดขึ้นอย่างถือดี เขาก็ไม่คิดที่จะแพร่งพรายอะไรไปมากกว่านี้

แน่นอนเขารู้ว่าใครคือยอดฝีมือผู้นั้นและยังสามารถแสดงหลักฐานที่เด่นชัดให้พวกมันได้เต็มจะๆด้วยซ้ำ

เพราะท้ายที่สุดแล้วผู้ที่ไร้ซึ่งตันเถียนก็คือตัวเขาเอง !

ทว่า

เขาไม่ต้องการเอ่ยชื่อเซียนกระบี่ออกไปและไม่คิดจะป่าวประกาศว่าตันเถียนของตนเองถูกทำลายไปตั้งนานแล้ว

บรรยากาศโดยรอบกลายเป็นอึดอัด

ศิษย์ทั้งสองฝ่ายต่างก็ตกอยู่ในภวังค์

ในเวลานี้เองร่างผอมเบาในชุดคลุมดำก็เดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่พร้อมกับเสียงตามมาว่า

“หยินเฟยหยาง

สิ่งที่เจ้าหนุ่มนั่นพูดมาคือเรื่องจริง

ไม่ผิดเพี้ยนและไม่ได้แต่งเติมขึ้นแม้แต่น้อย”

“มันก็แค่ความรู้ของเจ้าตื้นเขินมากจนไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับตำนานโบราณนี้

มันคือตำนานเก่าแก่ซึ่งเป็นที่กล่าวขานและรับรู้กันโดยยอดฝีมือไม่กี่คนเท่านั้น”

บุคคลที่มาก็คือพ่อบ้านเคราแพะแห่งนิกายกระบี่ฟ้านั่นเอง

ฮั่งเชินและอีกสองคนได้เห็นเขาเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ก็ลุกขึ้นทักทายทันที

พ่อบ้านเคราะแพะจับจองไปที่จี้เทียนซิงและเอ่ยปากชื่นชมอย่างจริงใจ

“เป็นการถกเรื่อวิทยายุทธ์ที่ยอดเยี่ยมนัก

อายุยังน้อยแต่มีความรู้กว้างขวาง น่าชื่นชม !”

“เจ้าหนุ่ม เจ้าไม่เพียงเข้าใจตำนานแห่งสหัสวรรษ

แต่เจ้ายังสามารถพูดประโยคที่ทำให้ยุทธภพต้องตกตะลึงได้ วิเศษมาก !”

“การพบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเชิงยุทธ์ในครั้งนี้

นิกายกระบี่ฟ้าของเราขอยอมรับความพ่ายแพ้  ประสบการณ์และภูมิความรู้ของศิษย์ข้ายังไม่อาจเทียบอัจฉริยะอย่างเจ้าได้”

พ่อบ้านพยักหน้าให้จี้เทียนซิงเล็กน้อยและเผยรอยยิ้มให้กำลังใจพลางกล่าวอย่างชอบธรรมว่า

“ด้วยภูมิความรู้และคุณสมบัติที่โดดเด่นของเจ้า

ภายภาคหน้า บนรายชื่อสุดยอดดวงดาราย่อมมีชื่อของเจ้าอยู่ที่นั่นแน่ !”

จากนั้นพ่อบ้านก็หันไปมองพวกฮั่งเชินอีกครั้งและกล่าวว่า

“การชี้แนะแลกเปลี่ยนจบลงเพียงเท่านี้ ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะขยายขอบเขตความรู้และซึมซับอะไรบางอย่างกลับไปได้”

“ฮั่งเชิน เฟยหยาง ตงไหล กลับ !”

หลังจากนั้นพ่อบ้านเคราแพะก็เดินนำศิษย์ทั้งสามคนของนิกายกระบี่ฟ้าออกจากหอยุทธ์ฟงอวิ๋น

ศิษย์ฝ่ายนอกของนิกายพันธมิตรสวรรค์แข็งค้างด้วยความตกใจ แม้กระทั่งสมาชิกของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นก็ยังเผยสีหน้าแปลกใจ

ไม่มีใครคิดว่าผลของการชี้แนะเชิงยุทธ์ครั้งนี้จะจบลงเช่นนี้

ในตอนแรกศิษย์ทั้งสามของนิกายกระบี่ฟ้าแสดงอานุภาพเพลงกระบี่และภูมิความรู้ในศาสตร์ปรุงยาจนทำให้ศิษย์ของหอยุทธ์ฟงอวิ๋นเงยหน้าไม่ขึ้นและต้องทนรับความอับอายถึงสองครั้งสองครา

แต่สุดท้ายจี้เทียนซิงก็กู้หน้ากลับคืนมาได้ด้วยความรู้ในวิถียุทธ์ที่ไม่มีผู้ใดในที่นี้เคยได้ยินมาก่อน

ไม่เพียงแค่ทำให้พวกฮั่งเชินต้องหงายเงิบ

แต่ยังได้รับคำชื่นชมอย่างสูงจากพ่อบ้านของนิกายกระบี่ฟ้าอีกด้วย

สิ่งนี้ทำให้ศิษย์หลายคนตกตะลึงและมองจี้เทียนซิงด้วยสีหน้าซับซ้อนยิ่ง

พวกมันทั้งหลายเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดีต่อจี้เทียนซิงที่อย่างน้อยๆก็ยังกู้หน้าให้ฝ่ายนอกได้บ้าง

หลังจากนั้นไม่นานฝูงชนก็กระจัดกระจายและทยอยกลับไป

ในขณะที่เดินออกจากหอยุทธ์ฟงอวิ๋น พวกมันก็ยังคงจับกลุ่มพูดคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

เมื่อหอยุทธ์เงียบสงบลง

ศิษย์ทั้งหลายก็เริ่มถามจี้เทียนซิงให้หายแคลงใจว่า “จี้เทียนซิง เจ้ารุ้เรื่องตำนานพันปีก่อนและวิธีการบ่มเพาะที่ผิดแผกพิสดารเช่นนั้นได้อย่างไร

?”

จี้เทียนซิงมองไปที่สีหน้าสงสัยของทุกคนอย่างช่วยไม่ได้  เขาเผยรอยยิ้มและกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “ข้าอ่านเจอในตำราประวัติศาสตร์ ทำไมพวกเจ้าไม่หัดอ่านหนังสือบ้างเล่า

?”

“อ่านมากก็รู้มาก เรื่องมันก็มีเท่านี้ !”