ตอนที่ 86

การชักนำของจิตกระบี่ปิดสวรรค์

เมื่อเห็นเฉียนเยวี่ยอ้าปากเตรียมตะเบ็งเสียงโต้แย้ง

จี้เทียนซิงก็ส่ายหัวและโบกมือพลางกล่าวว่า  “ก็ได้ๆ

เจ้าไม่ต้องพูดมากแล้ว

อยากกินเท่าไหร่กินไปเลย หากยังไม่หนำใจข้าจะบอกให้พ่อบ้านนำมาเพิ่มให้อีก”

“ข้าจะเก็บตัวสักสองสามวัน

ช่วงนี้คงไม่มีเรื่องราวอะไรแล้ว จากนั้นอีก 5

วันพวกเราจะเดินทางไปนิกายหนุนสวรรค์กัน”

หลังจากเฉียนเยวี่ยและเสี่ยวเฮยหลงยัดอาหารเสร็จ

จี้เทียนซิงก็ลุกขึ้นเตรียมจะเข้าห้องลับเพื่อบ่มเพาะ

แต่ในเวลานี้เอง

เสียงของฮวนเอ๋อก็ดังออกมาจากนอกประตู

“คุณชายใหญ่คะ องค์หญิงน้อยจี้เค่อมาขอพบท่าน....

เอ่อ ท่านออกมาดูนางสิ !”

น้ำเสียงของฮวนเอ๋อดูแปลกๆเล็กน้อยจนทำให้จี้เทียนซิงต้องขมวดคิ้วและรู้สึกงุนงงอยู่ภายในใจ

เขาบอกให้เฉียนเยวี่ยกลับเข้าถุงมิติและผลักประตูเดินออกไปยังลานเล็ก

ฮวนเอ๋อยืนอยู่ที่ประตูลานเล็กเพื่อรอต้อนรับการมาถึงขององค์หญิงน้อย

วันนี้นางสวมชุดขนห่านสีเหลืองสะดุดตาส่งผลให้เรือนร่างอันงดงามน่ารักสะท้อนในดวงตาของจี้เทียนซิง

“พี่ใหญ่เทียนซิง ข้าหามาท่านแล้ว !”

จี้เค่อกล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมกับสาวเท้าเข้าไปในลานเล็กหน้าบ้านของชายหนุ่ม

นางดูอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด

จี้เทียนซิงยิ้มและพยักหน้าพร้อมกับเดินเข้าไปรับหน้านาง

อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาได้เห็นบรรดาทหารยามกลุ่มใหญ่ที่แบกหีบหลายใบอยู่เบื้องหลังของนาง

รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็เลือนหายเกิดเป็นเครื่องหมายคำถามขึ้นภายในใจทันที

“เค่อเค่อ เจ้าคิดจะเล่นพิเรนทร์อันใดอีก ?”

จี้เค่อโผเข้ามาใกล้ด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขและคล้องแขนชายหนุ่มเอาไว้

จากนั้นก็บอกให้บรรดาทหารยกหีบทั้งหลายเข้าไปไว้ในห้อง

“พี่ใหญ่เทียนซิง ท่านอย่าเข้าใจผิด คราวนี้ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อมอบของขวัญให้ท่าน

หีบห่อเหล่านั้นล้วนเป็นสัมภาระเดินทางของข้าเอง

ข้าคิดจะพักอยู่ที่นี่สักสองสามวัน !”

“ห๊า ?”

ใบหน้าของจี้เทียนซิงดูประหลาดพิกล

เขากล่าวต่อไปว่า

“เค่อเค่อ เรื่องนี้ไม่เหมาะมั้ง.... ”

“เจ้ามีศักดิ์ฐานะเป็นถึงองค์หญิง

แถมยังมิได้ออกเรือนแต่กลับมาพักค้างแรมในจวนของข้าเช่นนี้

หากข่าวแพร่ออกไปเกรงว่าจะถูกผู้คนครหา.... ”

จี้เค่อเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเห็นได้ชัดว่านางไม่ได้สนใจผลเสียใดๆแม้แต่น้อย

หลังจากที่บรรดาทหารวางสัมภาระของนางไว้ในห้อง

นางก็บอกให้พวกมันกลับไป

นางฉุดลากจี้เทียนซิงเข้ามาในห้องและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“พี่ใหญ่เทียนซิง อีกไม่กี่วันพวกเราก็ต้องเดินทางไปยังนิกายหนุนสวรรค์พร้อมกันอยู่ดี  อยู่ในวังหลายวันน่าเบื่อออกจะตาย

ดังนั้นข้าเลยคิดจะพักอยู่ที่นี่แล้วพวกเราจะได้เดินทางไปพร้อมกันไง

ประหยัดเวลาไปได้อีกโข !”

“เอ๋ ?  พี่ใหญ่เทียนซิงทำไมทำหน้าเช่นนี้เล่า ?  ท่านไม่ต้อนรับข้าหรือว่าข้ามารบกวนท่านเกินไป

?”

“หากท่านรำคาญ งั้นข้ากลับไปก็ได้.....”

ในขณะที่นางตัดพ้อก็บุ้ยปากเล็กๆ

ใบหน้าที่สดใสน่ารักแสดงออกถึงความเศร้าใจและหดหู่

จี้เทียนซิงเผยยิ้มอย่างรวดเร็วและเอื้อมมือออกไปและหยิกแก้มเนียนนุ่มของนางพลางกล่าวว่า

“เค่อเค่อ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว

ข้าจะรำคาญเจ้าได้อย่างไรกัน”

“เจ้าพูดถูกแล้ว อยู่ใกล้กันก็สะดวกดีเพราะอีกไม่กี่วันพวกเราก็จะเดินทางพร้อมกันอยู่แล้ว”

ความหม่นหมองบนใบหน้าเล็กๆของนางเลือนหายไป

เผยให้เห็นรอยยิ้มอันอ่อนหวาน “เย้

ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่ใหญ่เทียนซิงดีกับข้าที่สุด !”

จี้เทียนซิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

จากนั้นเขาก็บอกให้ฮวนเอ๋อทำความสะอาดห้องหับและเตรียมห้องดีๆให้นาง

ขณะนี้เหลือเพียงพวกเขาอยู่ตามลำพัง

จี้เค่อโน้มตัวไปใกล้ๆชายหนุ่มและกระซิบข้างหูว่า “พี่ใหญ่เทียนซิง

ที่จริงข้ามีเรื่องต้องบอกท่าน”

“เมื่อเช้านี้

ศิษย์ทั้งสามของนิกายหนุนสวรรค์ได้ออกจากเมืองจักรวรรดิพร้อมกับองค์ราชาและออกเดินทางไปยังนิกายหนุนสวรรค์”

เมื่อได้ยินข่าวนี้จี้เทียนซิงก็ขมวดคิ้วทันที

“เจ้าหมายถึงองค์ชายน้อยจี้หลิง ? เขาออกเดินทางไปยังนิกายหนุนสวรรค์พร้อมกับศิษย์ทั้งสาม

?”

จี้เค่อพยักหน้า

ดวงตาที่สดใสเต็มไปด้วยความรู้สึกคลางแคลงใจ “ถูกต้อง

! ข้าก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องพาองค์ราชาเดินทางไปพร้อมกัน

หากว่ากันตามเหตุผล อันดับหนึ่งอย่างพี่ใหญ่เทียนซิงควรจะได้รับเกียรตินี้มากกว่า  พวกเขาควรจะพาท่านเดินทางไปยังนิกายด้วยตัวเอง !”

จี้เทียนซิงเงียบไป

ในใจพยายามครุ่นคิดและสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

หลังจากเงียบกันไปชั่วครู่

จี้เค่อก็นึกบางอย่างได้และกระซิบบอกกับชายหนุ่มต่อไปว่า “ใช่แล้ว พี่ใหญ่เทียนซิง ข้าจำเรื่องหนึ่งได้พอดี”

“ข้าได้ยินมาโดยบังเอิญว่าศิษย์หลักทั้งสามของนิกายหนุนสวรรค์มาที่รัฐนภากระจ่างครั้งนี้ไม่เพียงแค่เพื่อเป็นสักขีพยานในการคัดเลือกศิษย์ใหม่เท่านั้น  แต่พวกเขามีภารกิจลับอีกอย่างหนึ่งด้วย”

“ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังตามหาใครบางคนอยู่และเผอิญว่าองค์ราชาเป็นผู้ที่พวกเขาตามหาอยู่พอดิบพอดี”

“พี่ใหญ่เทียนซิง

ท่านคิดว่าเป็นเพราะเหตุผลนี้หรือเปล่า ?”

จี้เทียนซิงพยักหน้าและกล่าวว่า

“ควรเป็นเช่นนั้น

แต่ทำไมองค์ชายจี้หลิงถึงได้เป็นบุคลที่พวกเขาต้องการตัวกันนะ ?”

จี้เค่อยกคิ้วขึ้นแล้วส่ายหัว “ข้าก็ไม่เข้าใจว่าทำไม

บางทีเมื่อพวกเราสองคนไปถึงนิกายหนุนสวรรค์แล้วอาจจะรู้เรื่องทั้งหมดก็เป็นได้....”

หลังจากนั้นจี้เค่อก็พูดคุยกับจี้เทียนซิงอีกเล็กน้อยและเตรียมตัวจะออกจากห้อง

จี้เทียนซิงกล่าวตามหลังนางว่า

“เค่อเค่อ ข้าจะเก็บตัวบ่มเพาะสักสองสามวัน

หลังจากนั้นอีก 5 วันพวกเราค่อยออกเดินทาง จากรัฐนภากระจ่างไปยังนิกายหนุนสวรรค์ใช้เวลาอย่างน้อยก็ครึ่งเดือน

มันเป็นการเดินทางที่ยาวไกลและลำบากไม่น้อย  เจ้าพักฟื้นจนอาการบาดเจ็บหายดีโดยเร็วก็แล้วกัน”

จี้เค่อพยักหน้าอย่างมีเลศนัยและโบกมือลาชายหนุ่ม

จากนั้นก็เข้าไปในห้องของนาง

จี้เทียนซิงกลับเข้าไปในห้องลับและหยิบเม็ดโอสถจำนวนมากออกมาเริ่มบ่มเพาะ

เมื่อสองวันก่อนเขาได้แวะเวียนไปยังหอฝึกยุทธ์เพื่อทดสอบระดับพลัง

ตอนนี้เขามีพลังในเขตแดนต้นกำเนิดแท้จริงขั้นที่ห้า

และด้วยการที่ตัวอ่อนกระบี่ในร่างกายเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องก็ทำให้ความแข็งแกร่งโดยรวมของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นเงาตามตัว

จี้เทียนซิงกำลังพิจารณาอยู่ว่า

เขาควรจะฝึกฝนวิถีดวงใจกระบี่ขั้นที่สามหรือยัง

ซึ่งในขั้นตอนนี้เป็นการบรรเทาเส้นเลือดหลักทั้งเก้าเส้นให้ผันแปรไปสู่เส้นเลือดกระบี่

ถึงแม้ว่าเส้นชีพจรลมปราณเดิมของเขาจะถูกเปลี่ยนแปลงไปเป็นเส้นชีพจรลมปราณที่หนาแน่นและแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมด้วยพลังของดอกไม้ดาราแดงแล้วก็จริง   แต่มันยังไม่เพียงพอ

มันยากที่ทานรับและหนุนเนืองปราณกระบี่อันแข็งแกร่งและพลังลมปราณที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต

มีเพียงการบรรเทาเส้นเลือดหลักทั้งเก้าให้ผันแปรเป็นเส้นเลือดกระบี่เท่านั้นถึงจะช่วยให้เขาสามารถเรียกใช้พลังลมปราณและควบคุมปราณกระบี่ได้อย่างคล่องแคล้วอิสระมากขึ้น

ภายในห้องลับ

จี้เทียนซิงนั่งคุกเข่าอยู่ในข่ายอาคมและเริ่มฝึกฝนศาสตร์ลับอวี้เจี้ยน เม็ดโอสถที่เพิ่งกินเข้าไปถูกเร่งปฏิกิริยาโดยพลังลมปราณในร่าง

มันปั่นป่วนบ้าคลั่งอยู่ภายในเส้นชีพจรลมปราณ

แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่รุนแรงของมัน

ชายหนุ่มบ่มเพาะจนกระทั่งเวลาผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน

ผลของการฝึกฝนอย่างหนักทำให้ทักษะของเขาพัฒนาขึ้นไม่น้อยและตัวอ่อนกระบี่ก็เติบโตขึ้นอย่างมากเช่นกัน

ในขณะที่เขาลืมตาขึ้นและเตรียมจะหยิบเม็ดโอสถเพื่อบ่มเพาะต่อเนื่อง  ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็แข็งค้าง

จิตสำนึกถูกชักนำเข้าไปในหลุมดำลึกลับที่จุดตันเถียนและเข้าสู่สุสานเทพกระบี่อีกครั้ง

“วูบ !”

จิตสำนึกของจี้เทียนซิงเข้าสู่พื้นที่เย็นจัดและมืดมิด

เขาเหลียวซ้ายแลขวาอยู่หลายครั้งจนพบว่าตนเองไม่ได้อยู่ในพื้นที่รกร้างว่างเปล่าเหมือนครั้งก่อนๆ

ครั้งนี้เขามาโผล่ใต้กระบี่ทมิฬที่อยู่สูงเสียดฟ้า

กระบี่โบราณสูงนับพันฟุตแผ่ซ่านบรรยากาศกดทับอันน่าเกรงขามที่ข่มทั้งสวรรค์และปฐพีเอาไว้

อักขระจารึกสีแดงเลือดบนอนุสาวรีย์กระบี่

ปลดปล่อยกลิ่นอายอันเกรี้ยวกราดดุร้ายที่ราวกับจะฉีกสะบั้นชั้นฟ้าออกมา

การที่มาปรากฏตัว

ณ สถานที่แห่งนี้ จี้เทียนซิงเข้าใจได้ในทันทีว่าต้องเป็นฝีมือของจิตกระบี่จางเทียนเป็นแน่ที่ดึงจิตสำนึกของเขาเข้าสู่สุสานเทพกระบี่