ธุระของข้าไม่ถึงคราให้พวกท่านต้องมายุ่งเกี่ยว
เช้าตรู่วันต่อมา
ยามรุ่งอรุณ
ศิษย์ฝ่ายในกว่าห้าร้อยชีวิตมุ่งหน้าไปที่จตุรัสฝ่ายในที่เชิงเขาด้วยความตื่นเต้น
วันนี้เป็นวันอันยิ่งใหญ่แห่งการจัดอันดับรายชื่อสวรรค์และเป็นวันที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดวันหนึ่งของนิกายพันธมิตรสวรรค์
รายชื่อขั้นสวรรค์มีเพียงสามสิบที่นั่ง
และผู้มีส่วนร่วมต่างก็เป็นศิษย์ฝ่ายในที่แข็งแกร่งกว่าร้อยคน
มีเพียงสามสิบอันดับแรกเท่านั้นที่สามารถปีนป่ายขึ้นมาอยู่ในการจัดอันดับนี้
สามสิบชีวิตบนรายชื่อนี้คือศิษย์สาวอัจฉริยะที่ดีที่สุดของนิกายพันธมิตรสวรรค์และยังรวมถึงศิษย์ฝ่ายในหัวกะทิอีกหลายคน
การจัดอันดับขั้นสวรรค์นี้มีความสำคัญยิ่ง
มันเกี่ยวพันถึงอนาคต การผงาดหรือร่วงหล่นภายในนิกายพันธมิตรสวรรค์
ศิษย์ฝ่ายในทั้งหมดละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างและรีบไปที่จัตุรัสเพื่อชมดูเหตุการณ์ใหญ่ครั้งนี้
แม้กระทั่งผู้ดูแลและผู้อาวุโส
เช่นเดียวกับประมุขนิกายฉู่เทียนเซิง ทั้งหมดล้วนปรากฏตัวในพิธีนี้
ยิ่งไปกว่านั้นการจัดอันดับครั้งนี้ยิ่งใหญ่กว่าทุกครั้งที่เคย
มันมิได้เป็นเพียงแค่วันแห่งการท้าทายของเหล่าศิษย์ฝ่ายใน
แต่ยังเป็นวันประลองของจี้เทียนซิงและไป๋หวู่เชินอีกด้วย
ตลอดเดือนที่ผ่านมาศิษย์สาวกนับไม่ถ้วนต่างก็พูดถึงเรื่องนี้โดยให้ความสนใจกับเหตุการณ์นี้มากที่สุด
วันนี้พวกเขาก็สามารถได้เป็นประจักษ์พยานต่อผลลัพธ์ในที่สุด
!
ศิษย์สายตรงคนใหม่ของประมุขนิกาย
จี้เทียนซิงจะเป็นฝ่ายแพ้และต้องอดทนต่อความอัปยศอดสูตลอดหนึ่งปีเพื่อเป็นศิษย์รับใช้หรือไม่
?
หรือจะเป็นอัจฉริยะชั้นยอด
ไป๋หวู่เชินที่เป็นผู้ปราชัย ต้องละทิ้งความรุ่งโรจน์ เกียรติยศชื่อเสียงและสถานภาพในอดีตเพื่อมาเป็นคนใช้
?
ทุกคนต่างก็พูดคุยกันอย่างคึกคักและเบิกตารอดูชม
เมื่อดวงอาทิตย์ลอยขึ้น
ศิษย์สาวกของนิกายฝ่ายในมากกว่า 500 คนก็มาเข้าร่วมโดยพร้อมเพรียง
ในเวลานี้เองอัจฉริยะระดับสูงหลายคนก็มาถึงแล้วเช่นกัน
เฉินซู่และถังอี้ลั่วยืนเคียงข้างกัน
พวกเขาพูดคุยกันด้วยเสียงต่ำและมีรอยยิ้ม
“ศิษย์น้องถัง
เจ้าคิดว่าระหว่างจี้เทียนซิงกับไป๋หวู่เชิน
ใครจะเป็นฝ่ายต้องถอดเสื้อคลุมขาวเพื่อไปทำงานเป็นคนรับใช้ ?”
“เหอะๆ ศิษย์พี่เฉิน เรื่องนี้ยังต้องคิดอีกหรือ ? ย่อมเป็นจี้เทียนซิงแน่นอน !”
"อืม ข้าก็คิดเหมือนเจ้า
ระดับความแข็งแกร่งของจี้เทียนซิงนั้นยังห่างไกลจากไป๋หวู่เชินอยู่มาก
อย่าว่าแต่มันหายหัวไปหนึ่งเดือนเลย
ต่อให้มันปิดด่านบ่มเพาะสองสามปีก็ใช่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของไป๋หวู่เชินได้”
“วันนี้ทั้งท่านประมุขและผู้อาวุโสหลายคนต่างก็มาเป็นสักขีพยาน
ข้าอยากจะเห็นนักว่าจี้เทียนซิงจะมีสีหน้าอย่างไรหลังจากพ่ายแพ้หมดรูป ท่านประมุขจะเป็นอย่างไร”
“ฮ่ะๆ ใครกล้าทำให้ท่านประมุขขายหน้าเล่า ? เมื่อถึงตอนนั้นทั้งจี้เทียนซิงและไป๋หวู่เชินล้วนจะต้องทนทุกข์ทรมาน!”
ข้างๆศิษย์หัวกะทิทั้งสองคนนั้นยังมีชายหนุ่มร่างสูงกำยำอีกคน
เขาก็คือฮ่าวเมิ่งนั่นเอง
เขาได้ยินเสียงเยาะเย้ยถากถางอย่างสนุกปากของเฉินซู่และถังอี้ลั่ว
คนขมวดคิ้วโดยสัญชาตญาณ
นอกจากนี้เขายังมีความเห็นเป็นอื่นและไม่เห็นพ้องกับความคิดของถังอี้ลั่วและเฉินซู่แม้แต่น้อย
เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อหนึ่งเดือนก่อนตอนที่เขากับจี้เทียนซิงร่วมมือกันต่อสู้กับนังมารผู้นั้น
เพลงกระบี่ที่จี้เทียนซิงสำแดงออกมาทำให้ฮ่าวเมิ่งตัดสินได้โดยสัญชาตญาณว่าชายหนุ่มผู้นี้มิได้รวบรัดอย่างที่ใครๆเห็น
นอกจากนี้ลางสังหรณ์บางอย่างได้ก่อตัวขึ้นในใจของเขาว่า
รายการจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์ในวันนี้อาจมีบางสิ่งที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น !
เพลานี้เองไป๋หวู่เชินในชุดขาวพิสุทธิ์ก็ได้เดินผ่านฝูงชนและมาที่จัตุรัส
เขายืนเคียงข้างฮ่าวเมิ่งด้วยรอยยิ้มมั่นอกมั่นใจ
ดวงตาหลายร้อยคู่ของเหล่าศิษย์ล้วนไปตกอยู่ที่ร่างของเขา
ศิษย์หลายๆยิ้มและให้กำลังใจ
มีแม้แต่ผู้คนที่ส่งเสียงตะโกนเชียร์
ไป๋หวู่เชินเพิกเฉยต่อปฏิกิริยาของทุกคน
เขายืนกอดอกหลับตาอยู่ข้างสนามด้วยสีหน้ามั่นใจ
ฮ่าวเมิ่งเหลือบตามองอีกฝ่ายและเห็นปฏิกิริยาเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะทำหน้านิ่ว
หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่ใหญ่
เขาได้เอ่ยปากเตือนไป๋หวู่เชินด้วยความหวังดีผ่านการส่งเสียงทางสัมผัสญาณ “ศิษย์พี่ไป๋ ท่านอย่าได้ประมาทจี้เทียนซิงเด็ดขาดเชียวนา ข้ามีลางสังหรณ์ว่ามันอาจจะบรรลุไพ่ตายอะไรบางอย่างที่ช่วยพลิกสถานการณ์…”
รอให้ฮ่าวเมิ่งพูดจบ
ไป๋หวู่เชินพลันลืมตาและเผยรอยยิ้มเย้ยที่มุมปากขึ้น
“เฮอะ ศิษย์น้องฮ่าว เจ้ามันคิดมากไปแล้ว
จะไปจริงจังอะไรนักหนากับเจ้าเด็กเหลือขอไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงนั่น ? หากมันมีไพ่ตายแล้วเจ้าไม่คิดเหรอว่าข้าก็มี ?”
“เด็กน้อยที่เพิ่งออกจากป่าเขา
มันคิดว่าจะโชคดีต่อไปได้งั้นหรือ ? วันนี้ข้าจะเหยียบมันไว้ใต้ฝ่าเท้า
ประกาศให้มันได้ซึมเข้าไปในกะลาหัวว่าผู้ใดคืออัจฉริยะที่เป็นความภาคภูมิใจของนิกาย
!”
ประโยคในช่วงครึ่งหลังที่ฮ่าวเมิ่งคิดจะบอกต่ออีกฝ่ายพลันชะงักในทันที
ดวงตากลมโตดุจกระดิ่งของเขาทอประกายเอือมระอา
ในเวลานี้เองชายหนุ่มเสื้อคลุมสีขาวผู้หนึ่งเดินมาใต้ดวงอาทิตย์ที่กำลังทอแสงบนขอบฟ้า
เขาก้าวเท้าเดินไปที่จัตุรัสอย่างหนักแน่นมั่นคง
ศิษย์ทั้งหลายหยุดการพูดคุยและหันไปมองในทิศทางนั้นเป็นจุดเดียว
ฮ่าวเมิ่ง
ไป๋หวู่เชิน เฉินซู่และถังอี้ลั่ว ดวงตาของทุกคนจับจ้องไปที่เดียวกันด้วยลักษณะที่แตกต่างกันออกไป
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ที่กำลังเดินมานั้นก็คือจี้เทียนซิง
ชายหนุ่มเพิกเฉยต่อสายตาจับจ้องของทุกคนและเดินไปที่จัตุรัส
ยืนอยู่ข้างๆศิษย์หัวกะทิทั้งหลาย
ไม่ว่าจะมีศิษย์ฝ่ายในนับร้อยๆคนที่กำลังหัวเราะเยาะเย้ยหยันหรือก้นด่าสาบแช่งเพียงใด
ชายหนุ่มก็ยังคงแสดงสีหน้าไร้อารมณ์ ไร้ทุกข์ ไร้โศก
มีเพียงกลิ่นอายมั่นคงหนักแน่นที่แผ่ซ่านออกมา
ราวกับว่าในสายตาของชายหนุ่มผู้นี้
ศิษย์ฝ่ายในที่แข็งแกร่งนับร้อยๆคนเป็นเพียงวัชพืชริมถนน
เป็นมดปลวกที่เดินเดินอย่างไม่สลักสำคัญใดๆ !
ใบหน้าของไป๋หวู่เชินกลายเป็นมืดมน
ดวงตาที่จับจ้องมองอีกฝ่ายนั้นเต็มไปด้วยจิตอาฆาต
บรรยากาศรอบตัวแผ่ซ่านไอเย็นเยือกออกมา
เฉินซู่และถังอี้ลั่วจ้องมองจี้เทียนซิงหัวจรดเท้าอย่างเงียบๆอยู่ครู่
จากนั้นก็หอบรอยยิ้มน้อยๆเดินไปหาพลางเอ่ยปากทักทาย “ศิษย์น้องจี้สบายดีกระมัง ? ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเมื่อกลับมาเมื่อวานนี้
เป็นอย่างไรบ้าง ? มีอะไรผิดปกติหรือไม่ บาดเจ็บหรือเปล่า มิได้มีบาดแผลร้ายแรงส่งผลต่อการประลองใช่ไหม ?”
เฉินซู่เผยรอยยิ้มบนใบหน้าและกล่าวด้วยความเป็นห่วงว่า
“ศิษย์น้องจี้ อย่างไรเสียเจ้าก็ยังเยาว์วัยนัก
ส่วนศิษย์น้องไป๋นั้นไม่เหมือนเจ้า เขาบ่มเพาะอยู่ในนิกายมาได้หลายปีแล้ว หลังจากการประลองเริ่มขึ้นก็อย่าได้ดื้อดึงเกินไปนัก
หากเห็นว่าสถานการณ์ดูไม่ดีก็จงประกาศยอมแพ้เสียโดยพลัน เจ้ายังมีอนาคต”
ถังอี้ลั่วพยักหน้าเห็นด้วยและกล่าวด้วยน้ำเสียงชอบธรรมว่า
“ก็แค่เป็นศิษย์รับใช้ปีเดียวมิใช่หรือ ? ลูกผู้ชายอกสามศอกอย่างพวกเรายืดได้หดได้
แต่อาการบาดเจ็บนับเป็นเรื่องใหญ่กว่า เกิดพิกลพิการขึ้นมาเจ้าจะทำอย่างไร”
“จะอย่างไรก็แค่เป็นศิษย์รับใช้ให้ศิษย์น้องไป๋แค่ปีเดียว
หากนับตามลำดับอาวุโสก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ ทุกคนย่อมเข้าใจเจ้า
ข้าเชื่อว่าท่านประมุขจะไม่ตำหนิเรื่องนี้”
จี้เทียนซิงเหลือบตามองพวกเขาด้วยสีหน้าเฉยเมย
ดวงตาเปล่งประกายแปลกๆพิสดารด้วยความคิดบางอย่าง
เขาไม่คุ้นเคยกับศิษย์พี่ทั้งสองคนนี้
หากนับคำพูดทั้งหมดที่เคยคุยกันก็ไม่เกินสามประโยค
แต่ยามนี้พวกเขาทั้งสองกลับเอ่ยวาจายืดยาวเพื่อหยอกเย้าและดูถูกเขา
ภายใต้รอยยิ้มของคนทั้งสองแฝงไว้ด้วยใบหน้าดูถูกเหยียดหยามผู้คนและความเย้ยหยันที่ซ่อนลึกอยู่ในแววตา จี้เทียนซิงจะมองไม่เห็นได้อย่างไร ?
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนยังพล่ามไม่หยุด
ชายหนุ่มจึงตัดบทด้วยเสียงเย็นว่า “ธุระของข้าไม่จำเป็นต้องให้ศิษย์พี่ทั้งสองเข้ามายุ่ง”
รอยยิ้มของเฉินซู่และถังอี้ลั่วชะงักค้าง
หลังจากเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก พวกเขาก็กลับไปยืนที่ตำแหน่งเดิม แต่ใจของพวกเขาทั้งสองล้วนมองว่าจี้เทียนซิงเป็นคนตายไปแล้ว
.............
ในช่วงเวลาสั้นๆต่อมา
ผู้อาวุโส ผู้ดูแลหลายสิบคนก็มาถึงจัตุรัส
ทางด้านทิศตะวันออกของจัตุรัสมีการจัดที่นั่งสำหรับชมดูเป็นแถวหลายแถว
หลังจากผู้อาวุโสและผู้ดูแลนั่งลงเสร็จ
พวกเขาก็ทักทายกันตามอัธยาศัยอยู่หลายประโยค
ต่อมาไม่นานนัก
ฉู่เทียนเซิงและหยุนเหยาก็มาถึงจตุรัสพร้อมกัน
ทุกคนมีท่าทีสำรวมและโค้งคำนับเพื่อคารวะประมุขนิกาย
ฉู่เทียนเซิงผงกศีรษะเล็กน้อยและโบกมือให้ทุกคนไม่ต้องมากพิธี
จากนั้นเขาก็เดินไปทางทิศเหนือของจัตุรัสและนั่งลงบนบัลลังก์หยก
หยุนเหยาในอาภรณ์สีขาวที่โบกสะบัดราวกับนางฟ้านางสวรรค์
นางยืนอยู่ข้างบัลลังก์ที่นั่งของฉู่เทียนซิงอย่างเงียบงัน
สายตานับร้อยคู่ของศิษย์ทุกคนจ้องมองนางอย่างลับๆ
แววตาเหล่านั้นบ้างก็แสดงความกริ่นเกรง บ้างก็แสดงความชื่นชมหลงใหล
อย่างไรก็ตาม
ในสายตาของหยุนเหยานั้นไม่มีใครอื่น นางกวาดตาคู่งามมองหาจี้เทียนซิงในฝูงชน
เมื่อนางเห็นจี้เทียนซิง จี้เทียนซิงก็จ้องมองนางเช่นกัน
เมื่อดวงตาทั้งสี่ประสานกัน
นางพยักหน้าให้อีกฝ่ายอย่างมีนัยสำคัญและเผยแววตาที่แสดงออกถึงการให้กำลังใจจี้เทียนซิง
ชายหนุ่มที่วางสีหน้าเฉยเมยมาโดยตลอดได้รู้สึกเหมือนปลดเปลื้องทุกมวลอารมณ์
ดวงตาและแววตาของเขากลายเป็นอ่อนโยน
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved