ตอนที่ 296

ธุระของข้าไม่ถึงคราให้พวกท่านต้องมายุ่งเกี่ยว

เช้าตรู่วันต่อมา

ยามรุ่งอรุณ

ศิษย์ฝ่ายในกว่าห้าร้อยชีวิตมุ่งหน้าไปที่จตุรัสฝ่ายในที่เชิงเขาด้วยความตื่นเต้น

วันนี้เป็นวันอันยิ่งใหญ่แห่งการจัดอันดับรายชื่อสวรรค์และเป็นวันที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดวันหนึ่งของนิกายพันธมิตรสวรรค์

รายชื่อขั้นสวรรค์มีเพียงสามสิบที่นั่ง

และผู้มีส่วนร่วมต่างก็เป็นศิษย์ฝ่ายในที่แข็งแกร่งกว่าร้อยคน

มีเพียงสามสิบอันดับแรกเท่านั้นที่สามารถปีนป่ายขึ้นมาอยู่ในการจัดอันดับนี้

สามสิบชีวิตบนรายชื่อนี้คือศิษย์สาวอัจฉริยะที่ดีที่สุดของนิกายพันธมิตรสวรรค์และยังรวมถึงศิษย์ฝ่ายในหัวกะทิอีกหลายคน

การจัดอันดับขั้นสวรรค์นี้มีความสำคัญยิ่ง

มันเกี่ยวพันถึงอนาคต การผงาดหรือร่วงหล่นภายในนิกายพันธมิตรสวรรค์

ศิษย์ฝ่ายในทั้งหมดละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างและรีบไปที่จัตุรัสเพื่อชมดูเหตุการณ์ใหญ่ครั้งนี้

แม้กระทั่งผู้ดูแลและผู้อาวุโส

เช่นเดียวกับประมุขนิกายฉู่เทียนเซิง ทั้งหมดล้วนปรากฏตัวในพิธีนี้

ยิ่งไปกว่านั้นการจัดอันดับครั้งนี้ยิ่งใหญ่กว่าทุกครั้งที่เคย

มันมิได้เป็นเพียงแค่วันแห่งการท้าทายของเหล่าศิษย์ฝ่ายใน

แต่ยังเป็นวันประลองของจี้เทียนซิงและไป๋หวู่เชินอีกด้วย

ตลอดเดือนที่ผ่านมาศิษย์สาวกนับไม่ถ้วนต่างก็พูดถึงเรื่องนี้โดยให้ความสนใจกับเหตุการณ์นี้มากที่สุด

วันนี้พวกเขาก็สามารถได้เป็นประจักษ์พยานต่อผลลัพธ์ในที่สุด

!

ศิษย์สายตรงคนใหม่ของประมุขนิกาย

จี้เทียนซิงจะเป็นฝ่ายแพ้และต้องอดทนต่อความอัปยศอดสูตลอดหนึ่งปีเพื่อเป็นศิษย์รับใช้หรือไม่

?

หรือจะเป็นอัจฉริยะชั้นยอด

ไป๋หวู่เชินที่เป็นผู้ปราชัย ต้องละทิ้งความรุ่งโรจน์ เกียรติยศชื่อเสียงและสถานภาพในอดีตเพื่อมาเป็นคนใช้

?

ทุกคนต่างก็พูดคุยกันอย่างคึกคักและเบิกตารอดูชม

เมื่อดวงอาทิตย์ลอยขึ้น

ศิษย์สาวกของนิกายฝ่ายในมากกว่า 500 คนก็มาเข้าร่วมโดยพร้อมเพรียง

ในเวลานี้เองอัจฉริยะระดับสูงหลายคนก็มาถึงแล้วเช่นกัน

เฉินซู่และถังอี้ลั่วยืนเคียงข้างกัน

พวกเขาพูดคุยกันด้วยเสียงต่ำและมีรอยยิ้ม

“ศิษย์น้องถัง

เจ้าคิดว่าระหว่างจี้เทียนซิงกับไป๋หวู่เชิน

ใครจะเป็นฝ่ายต้องถอดเสื้อคลุมขาวเพื่อไปทำงานเป็นคนรับใช้ ?”

“เหอะๆ ศิษย์พี่เฉิน เรื่องนี้ยังต้องคิดอีกหรือ ? ย่อมเป็นจี้เทียนซิงแน่นอน !”

"อืม ข้าก็คิดเหมือนเจ้า

ระดับความแข็งแกร่งของจี้เทียนซิงนั้นยังห่างไกลจากไป๋หวู่เชินอยู่มาก

อย่าว่าแต่มันหายหัวไปหนึ่งเดือนเลย

ต่อให้มันปิดด่านบ่มเพาะสองสามปีก็ใช่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของไป๋หวู่เชินได้”

“วันนี้ทั้งท่านประมุขและผู้อาวุโสหลายคนต่างก็มาเป็นสักขีพยาน

ข้าอยากจะเห็นนักว่าจี้เทียนซิงจะมีสีหน้าอย่างไรหลังจากพ่ายแพ้หมดรูป  ท่านประมุขจะเป็นอย่างไร”

“ฮ่ะๆ ใครกล้าทำให้ท่านประมุขขายหน้าเล่า ? เมื่อถึงตอนนั้นทั้งจี้เทียนซิงและไป๋หวู่เชินล้วนจะต้องทนทุกข์ทรมาน!”

ข้างๆศิษย์หัวกะทิทั้งสองคนนั้นยังมีชายหนุ่มร่างสูงกำยำอีกคน

เขาก็คือฮ่าวเมิ่งนั่นเอง

เขาได้ยินเสียงเยาะเย้ยถากถางอย่างสนุกปากของเฉินซู่และถังอี้ลั่ว

คนขมวดคิ้วโดยสัญชาตญาณ

นอกจากนี้เขายังมีความเห็นเป็นอื่นและไม่เห็นพ้องกับความคิดของถังอี้ลั่วและเฉินซู่แม้แต่น้อย

เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อหนึ่งเดือนก่อนตอนที่เขากับจี้เทียนซิงร่วมมือกันต่อสู้กับนังมารผู้นั้น

เพลงกระบี่ที่จี้เทียนซิงสำแดงออกมาทำให้ฮ่าวเมิ่งตัดสินได้โดยสัญชาตญาณว่าชายหนุ่มผู้นี้มิได้รวบรัดอย่างที่ใครๆเห็น

นอกจากนี้ลางสังหรณ์บางอย่างได้ก่อตัวขึ้นในใจของเขาว่า

รายการจัดอันดับรายชื่อขั้นสวรรค์ในวันนี้อาจมีบางสิ่งที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น !

เพลานี้เองไป๋หวู่เชินในชุดขาวพิสุทธิ์ก็ได้เดินผ่านฝูงชนและมาที่จัตุรัส

เขายืนเคียงข้างฮ่าวเมิ่งด้วยรอยยิ้มมั่นอกมั่นใจ

ดวงตาหลายร้อยคู่ของเหล่าศิษย์ล้วนไปตกอยู่ที่ร่างของเขา

ศิษย์หลายๆยิ้มและให้กำลังใจ

มีแม้แต่ผู้คนที่ส่งเสียงตะโกนเชียร์

ไป๋หวู่เชินเพิกเฉยต่อปฏิกิริยาของทุกคน

เขายืนกอดอกหลับตาอยู่ข้างสนามด้วยสีหน้ามั่นใจ

ฮ่าวเมิ่งเหลือบตามองอีกฝ่ายและเห็นปฏิกิริยาเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะทำหน้านิ่ว

หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่ใหญ่

เขาได้เอ่ยปากเตือนไป๋หวู่เชินด้วยความหวังดีผ่านการส่งเสียงทางสัมผัสญาณ “ศิษย์พี่ไป๋ ท่านอย่าได้ประมาทจี้เทียนซิงเด็ดขาดเชียวนา ข้ามีลางสังหรณ์ว่ามันอาจจะบรรลุไพ่ตายอะไรบางอย่างที่ช่วยพลิกสถานการณ์…”

รอให้ฮ่าวเมิ่งพูดจบ

ไป๋หวู่เชินพลันลืมตาและเผยรอยยิ้มเย้ยที่มุมปากขึ้น

“เฮอะ ศิษย์น้องฮ่าว เจ้ามันคิดมากไปแล้ว

จะไปจริงจังอะไรนักหนากับเจ้าเด็กเหลือขอไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงนั่น ? หากมันมีไพ่ตายแล้วเจ้าไม่คิดเหรอว่าข้าก็มี ?”

“เด็กน้อยที่เพิ่งออกจากป่าเขา

มันคิดว่าจะโชคดีต่อไปได้งั้นหรือ ? วันนี้ข้าจะเหยียบมันไว้ใต้ฝ่าเท้า

ประกาศให้มันได้ซึมเข้าไปในกะลาหัวว่าผู้ใดคืออัจฉริยะที่เป็นความภาคภูมิใจของนิกาย

!”

ประโยคในช่วงครึ่งหลังที่ฮ่าวเมิ่งคิดจะบอกต่ออีกฝ่ายพลันชะงักในทันที

ดวงตากลมโตดุจกระดิ่งของเขาทอประกายเอือมระอา

ในเวลานี้เองชายหนุ่มเสื้อคลุมสีขาวผู้หนึ่งเดินมาใต้ดวงอาทิตย์ที่กำลังทอแสงบนขอบฟ้า

เขาก้าวเท้าเดินไปที่จัตุรัสอย่างหนักแน่นมั่นคง

ศิษย์ทั้งหลายหยุดการพูดคุยและหันไปมองในทิศทางนั้นเป็นจุดเดียว

ฮ่าวเมิ่ง

ไป๋หวู่เชิน เฉินซู่และถังอี้ลั่ว ดวงตาของทุกคนจับจ้องไปที่เดียวกันด้วยลักษณะที่แตกต่างกันออกไป

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ที่กำลังเดินมานั้นก็คือจี้เทียนซิง

ชายหนุ่มเพิกเฉยต่อสายตาจับจ้องของทุกคนและเดินไปที่จัตุรัส

ยืนอยู่ข้างๆศิษย์หัวกะทิทั้งหลาย

ไม่ว่าจะมีศิษย์ฝ่ายในนับร้อยๆคนที่กำลังหัวเราะเยาะเย้ยหยันหรือก้นด่าสาบแช่งเพียงใด

ชายหนุ่มก็ยังคงแสดงสีหน้าไร้อารมณ์ ไร้ทุกข์ ไร้โศก

มีเพียงกลิ่นอายมั่นคงหนักแน่นที่แผ่ซ่านออกมา

ราวกับว่าในสายตาของชายหนุ่มผู้นี้

ศิษย์ฝ่ายในที่แข็งแกร่งนับร้อยๆคนเป็นเพียงวัชพืชริมถนน

เป็นมดปลวกที่เดินเดินอย่างไม่สลักสำคัญใดๆ !

ใบหน้าของไป๋หวู่เชินกลายเป็นมืดมน

ดวงตาที่จับจ้องมองอีกฝ่ายนั้นเต็มไปด้วยจิตอาฆาต

บรรยากาศรอบตัวแผ่ซ่านไอเย็นเยือกออกมา

เฉินซู่และถังอี้ลั่วจ้องมองจี้เทียนซิงหัวจรดเท้าอย่างเงียบๆอยู่ครู่

จากนั้นก็หอบรอยยิ้มน้อยๆเดินไปหาพลางเอ่ยปากทักทาย “ศิษย์น้องจี้สบายดีกระมัง ? ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเมื่อกลับมาเมื่อวานนี้

เป็นอย่างไรบ้าง ? มีอะไรผิดปกติหรือไม่ บาดเจ็บหรือเปล่า  มิได้มีบาดแผลร้ายแรงส่งผลต่อการประลองใช่ไหม ?”

เฉินซู่เผยรอยยิ้มบนใบหน้าและกล่าวด้วยความเป็นห่วงว่า

“ศิษย์น้องจี้ อย่างไรเสียเจ้าก็ยังเยาว์วัยนัก

ส่วนศิษย์น้องไป๋นั้นไม่เหมือนเจ้า เขาบ่มเพาะอยู่ในนิกายมาได้หลายปีแล้ว  หลังจากการประลองเริ่มขึ้นก็อย่าได้ดื้อดึงเกินไปนัก

หากเห็นว่าสถานการณ์ดูไม่ดีก็จงประกาศยอมแพ้เสียโดยพลัน  เจ้ายังมีอนาคต”

ถังอี้ลั่วพยักหน้าเห็นด้วยและกล่าวด้วยน้ำเสียงชอบธรรมว่า

“ก็แค่เป็นศิษย์รับใช้ปีเดียวมิใช่หรือ ? ลูกผู้ชายอกสามศอกอย่างพวกเรายืดได้หดได้

แต่อาการบาดเจ็บนับเป็นเรื่องใหญ่กว่า เกิดพิกลพิการขึ้นมาเจ้าจะทำอย่างไร”

“จะอย่างไรก็แค่เป็นศิษย์รับใช้ให้ศิษย์น้องไป๋แค่ปีเดียว

หากนับตามลำดับอาวุโสก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ ทุกคนย่อมเข้าใจเจ้า

ข้าเชื่อว่าท่านประมุขจะไม่ตำหนิเรื่องนี้”

จี้เทียนซิงเหลือบตามองพวกเขาด้วยสีหน้าเฉยเมย

ดวงตาเปล่งประกายแปลกๆพิสดารด้วยความคิดบางอย่าง

เขาไม่คุ้นเคยกับศิษย์พี่ทั้งสองคนนี้

หากนับคำพูดทั้งหมดที่เคยคุยกันก็ไม่เกินสามประโยค

แต่ยามนี้พวกเขาทั้งสองกลับเอ่ยวาจายืดยาวเพื่อหยอกเย้าและดูถูกเขา

ภายใต้รอยยิ้มของคนทั้งสองแฝงไว้ด้วยใบหน้าดูถูกเหยียดหยามผู้คนและความเย้ยหยันที่ซ่อนลึกอยู่ในแววตา  จี้เทียนซิงจะมองไม่เห็นได้อย่างไร ?

เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนยังพล่ามไม่หยุด

ชายหนุ่มจึงตัดบทด้วยเสียงเย็นว่า “ธุระของข้าไม่จำเป็นต้องให้ศิษย์พี่ทั้งสองเข้ามายุ่ง”

รอยยิ้มของเฉินซู่และถังอี้ลั่วชะงักค้าง

หลังจากเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก พวกเขาก็กลับไปยืนที่ตำแหน่งเดิม แต่ใจของพวกเขาทั้งสองล้วนมองว่าจี้เทียนซิงเป็นคนตายไปแล้ว

.............

ในช่วงเวลาสั้นๆต่อมา

ผู้อาวุโส ผู้ดูแลหลายสิบคนก็มาถึงจัตุรัส

ทางด้านทิศตะวันออกของจัตุรัสมีการจัดที่นั่งสำหรับชมดูเป็นแถวหลายแถว

หลังจากผู้อาวุโสและผู้ดูแลนั่งลงเสร็จ

พวกเขาก็ทักทายกันตามอัธยาศัยอยู่หลายประโยค

ต่อมาไม่นานนัก

ฉู่เทียนเซิงและหยุนเหยาก็มาถึงจตุรัสพร้อมกัน

ทุกคนมีท่าทีสำรวมและโค้งคำนับเพื่อคารวะประมุขนิกาย

ฉู่เทียนเซิงผงกศีรษะเล็กน้อยและโบกมือให้ทุกคนไม่ต้องมากพิธี

จากนั้นเขาก็เดินไปทางทิศเหนือของจัตุรัสและนั่งลงบนบัลลังก์หยก

หยุนเหยาในอาภรณ์สีขาวที่โบกสะบัดราวกับนางฟ้านางสวรรค์

นางยืนอยู่ข้างบัลลังก์ที่นั่งของฉู่เทียนซิงอย่างเงียบงัน

สายตานับร้อยคู่ของศิษย์ทุกคนจ้องมองนางอย่างลับๆ

แววตาเหล่านั้นบ้างก็แสดงความกริ่นเกรง บ้างก็แสดงความชื่นชมหลงใหล

อย่างไรก็ตาม

ในสายตาของหยุนเหยานั้นไม่มีใครอื่น นางกวาดตาคู่งามมองหาจี้เทียนซิงในฝูงชน

เมื่อนางเห็นจี้เทียนซิง  จี้เทียนซิงก็จ้องมองนางเช่นกัน

เมื่อดวงตาทั้งสี่ประสานกัน

นางพยักหน้าให้อีกฝ่ายอย่างมีนัยสำคัญและเผยแววตาที่แสดงออกถึงการให้กำลังใจจี้เทียนซิง

ชายหนุ่มที่วางสีหน้าเฉยเมยมาโดยตลอดได้รู้สึกเหมือนปลดเปลื้องทุกมวลอารมณ์

ดวงตาและแววตาของเขากลายเป็นอ่อนโยน