ตอนที่ 212

หนอนบ่อนไส้

จี้เทียนซิงเริ่มบอกเล่ารายละเอียดทั้งหมดของมหาข่ายปราณระดับสวรรค์ในสุสานพันปีต่อจิตวิญญาณกระบี่จางเทียน

หลังจากฟังจบจิตวิญญาณกระบี่จางเทียนก็จมอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่งและกล่าวด้วยเสียงต่ำว่า

“ไอ้หนู

ข้าขอกลับไปคิดเกี่ยวกับมหาข่ายปราณนี้ก่อน”

หลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงใดๆตาม

จี้เทียนซิงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้วหรือว่ากำลังหมกมุ่นอยู่กับการไตร่ตรองกันแน่

เขารออยู่ประมาณครึ่งชั่วยามแต่จิตกระบี่จางเทียนก็ยังไม่ส่งเสียงตอบกลับ

ดังนั้นเขาจึงออกจากสุสานเทพกระบี่ก่อน

หลังจากสติกลับสู่กายหยาบ

จี้เทียนซิงก็เข้าไปในห้องลับและเริ่มฝึกฝนอย่างหนัก ตอนนี้เขามีทรัพยากรบ่มเพาะมากมายไม่ว่าจะเป็นโอสถล้ำค่าหรือผลไม้วิญญาณ

ซึ่งเหล่านี้มีส่วนช่วยให้เขาบรรเทาจุดฝังเข็มและบ่มเพาะได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

หนึ่งคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นจี้เทียนซิงก็ออกจากหอยุทธ์ฟงอวิ๋นและมุ่งหน้าไปยังตำหนักเมฆขาวเพื่อไปพบหยุนเหยา

ทันทีที่มาถึงเขาก็เห็นหยุนเหยากำลังนั่งไขว้ห้างอยู่บนหลังคาของตำหนักเมฆขาว

บนแท่นหินที่สูงที่สุด

แท่นหินนั่นคือหยกพันปีซึ่งมีส่วนช่วยให้ผู้ฝึกยุทธ์สามารถรวบรวมรัศมีพลังฟ้าดินมาเร่งความเร็วในการบ่มเพาะได้  มันนับเป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง

หยุนเหยายังคงอยู่ในอาภรณ์ขาวบริสุทธิ์

นางนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่บนแท่นหินหยกอย่างเงียบงัน

ดวงหน้างดงามที่อาบไล้ไปด้วยแสงอาทิตย์ยามเช้านั้นทำให้นางดูเปล่งปลั่งราวกับนางฟ้าในสวรรค์ชั้นเก้า

จี้เทียนซิงเดินจากทางเดินชั้นสามแล้วกระโดดขึ้นไปบนหลังคาและหยุดยืนอยู่ด้านหลังของหยุนเหยา

นางไม่จำเป็นต้องหันหลังกลับไปมองก็ทราบว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

นางหยุดการบ่มเพาะและถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ศิษย์น้องเทียนซิง

เจ้ามาหาข้าแต่เช้า มีเรื่องด่วนอันใดหรือ ?”

จี้เทียนซิงกำหมัดคารวะด้วยรอยยิ้มและกล่าวว่า

“รบกวนเวลาศิษย์พี่เสียแล้ว

ที่ข้ามาหาท่านวันนี้ก็เพราะต้องการถามเกี่ยวกับเรื่องสุสานโบราณ”

หยุนเหยายังคงนั่งอยู่บนแท่นหินหยก

นางเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายด้วยการหันไปมองทะเลหมอกและดวงอาทิตย์ที่ทอแสง

จากนั้นก็ตอบว่า “ข้าเพิ่งรายงานข่าวนี้ต่อท่านประมุขเมื่อคืน

ท่านอาจารย์ได้มอบหมายให้ห้าผู้อาวุโสมุ่งหน้าไปยังภูเขามังกรทันทีเพื่อตรวจสอบเกี่ยวกับมหาข่ายปราณระดับสวรรค์และหลุมฝังศพนั่น”

“ผู้อาวุโสหลายคนล้วนไปประจำการที่ภูเขามังกรเพื่อทำการค้นคว้าทั้งวันทั้งคืนเกี่ยวกับมหาข่ายปราณ

ข้าเชื่อว่าในไม่ช้าย่อมมีผลลัพธ์ที่ดีเกิดขึ้น เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้มากนัก”

จี้เทียนซิงพยักหน้าพลางกล่าวว่า

“วิเศษ เมื่อมีผู้อาวุโสหลายคนไปประจำการที่ภูเขามังกร

ต่อให้นิกายกระบี่ฟ้ามีแผนชั่วช้าใดๆก็ยากที่จะลงมือ”

“ว่าแต่ว่าศิษย์พี่ เมื่อคืนนี้ข้าครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่นานและรู้สึกว่ามันแปลกๆเล็กน้อย

ตลอดทั้งกระบวนการที่ทำให้พวกเราพบเจอสุสานพันปี ข้าคิดว่าเผ่าปีศาจมีแผนการอย่างจงใจที่ล่อลวงพวกเราให้พบสุสานแห่งนั้น....”

หยุนเหยาผงกศีรษะเล็กน้อยและกล่าวว่า

“ใช่

ข้าก็คิดเช่นนั้น”

“อย่างไรก็ตาม ตอนที่พวกเราอยู่ใต้หน้าผาและเข้าใกล้กับสุสานโบราณ

ข้าตรวจจับกลิ่นอายตกค้างของเผ่าพันธุ์ปีศาจไม่ได้แม้แต่น้อย”

“ดังนั้นแสดงว่าคนของเผ่าปีศาจไม่ได้ลงมาที่ก้นหน้าผาและยังไม่ได้พบสุสานโบราณแห่งนั้น

ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมเผ่าพันธุ์ปีศาจถึงได้จับตัวศิษย์รับใช้กับอาวุโสสองคนไปและลอบทำร้ายพวกเรา...

ท่านประมุขได้ส่งอีกทีมหนึ่งไปสอบสวนเรื่องนี้แล้ว  ข้อเท็จจริงอาจจะเปิดเผยในไม่ช้า”

หลังจากฟังจบแล้วจี้เทียนซิงก็ยิ้มและพยักหน้า

“ก็ดี เช่นนั้นข้าไม่รบกวนศิษย์พี่ใหญ่แล้ว”

จากนั้นชายหนุ่มก็คารวะหยุนเหยาและหันหลังเดินจากไป

เดินไปได้ไม่กี่ก้าวเขาก็กล่าวย้ำเตือนกับหยุนเหยาว่า

“ศิษย์พี่ หากมีความคืบหน้าใดๆเพิ่มเติมจากสุสานพันปี

หวังว่าท่านจะรีบส่งข่าวบอกข้า”

“ย่อมได้” หยุนเหยาพยักหน้าและตอบรับ

จี้เทียนซิงจึงรู้สึกโล่งใจและเดินออกจากตำหนักเมฆขาว

............

ภายในนิกายกระบี่ฟ้า

ยอดเขาสูงสุดของนิกายนี้เรียกว่ายอดเขากระบี่ศักดิ์สิทธิ์

ที่นี่มีลักษณะที่น่าประทับใจและมีตำหนักอันโอ่อ่างดงามเรียกว่าตำหนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์

มันเป็นทั้งบ้านของประมุขนิกายกระบี่ฟ้าและสถานที่เรียกประชุมของเหล่าผู้อาวุโสและบุคลสำคัญของนิกาย

กฎของนิกายกระบี่ฟ้ามีอยู่ว่า

ในทุกๆวันที่ห้าของแต่ละเดือน ประมุขจะเรียกประชุมเหล่าผู้อาวุโสเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องต่างๆภายในตำหนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์

ซึ่งวันนี้ก็คือวันดังกล่าว

ดังนั้นภายในห้องโถงจึงเต็มไปด้วยเหล่าผู้อาวุโสที่มารวมตัวกันก่อนเวลาเพื่อรอคอยประมุขของพวกเขาด้วยความอดทน

ผู้อาวุโสเก้าคนที่สวมเสื้อคลุมสีม่วงยืนเรียงรายกันเป็นสองแถวที่ด้านข้างของห้องโถงใหญ่

เสียงกระซิบกระซาบที่ดังเล็ดลอดออกมาของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมและดูโกรธกริ้วเล็กน้อย

หลังจากนั้นไม่นาน

ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งสวมเสื้อคลุมสีฟ้าและมีรูปร่างผอมบางเหมือนต้นไผ่, กลิ่นอายแข็งกร้าวราวกับกระบี่ได้เดินเข้ามาในห้องโถง

บุคคลนี้แม้จะมีรูปลักษณ์ไม่พึงประสงค์ต่อสายตาของคนทั่วไป

แต่ทว่ากลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมานั้นเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งและหยิ่งผยองของยอดฝีมือระดับปราณฟ้า

!

อาวุโสทั้งเก้าที่เห็นชายผู้นี้ก็หยุดสนทนาในทันทีและกล่าวว่า

“คารวะท่านประมุข !”

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบุคคลนี้ก็คือผู้นำของนิกายกระบี่ฟ้า

หนึ่งในสามสุดยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนดาราบรรพกาล

ด้านหลังของประมุขนิกายตามมาด้วยชายชราเคราแพะคิ้วขาวที่สวมเสื้อคลุมสีเหลือง

บุคคลนี้แม้ว่าผิวหนังจะดำคล้ำ

ร่างกายสั้นเตี้ยและมีพุงใหญ่ แต่ทว่าหากมองให้ดีจะพบว่าเขาแสร้งทำเป็นตัวงองุ้ม

แท้จริงแล้วอาจจะเป็นชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง

อาวุโสทั้งเก้าต่างก็มีความเห็นที่แตกต่างกันออกไปต่อคนผู้นี้

แต่พวกเขาก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากดูหมิ่น

“คารวะอาคันตุกะหวงฟู่ !”

บุคคลนี้เป็นแซ่หวงฟู่

ชื่อจริงไม่มีผู้ใดทราบ เขาคือผู้อาวุโสที่เป็นอาคันตุกะชั่วคราวของนิกายกระบี่ฟ้า

ถึงแม้เขาจะมีตำแหน่งระดับเดียวกับผู้อาวุโสทั้งเก้า

แต่เขาก็ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจอย่างสูงจากประมุขนิกายกระบี่ฟ้า ศักดิ์ฐานะของเขาสูงส่งเป็นรองเพียงประมุขนิกายเท่านั้น

จากนั้นประมุขนิกายกระบี่ฟ้าก็นั่งลงที่นั่งประธาน

ตามมาด้วยหวงฟู่ที่นั่งอยู่เคียงข้าง

“อาวุโสทุกท่าน วันนี้ข้าจะถกสถานการณ์สำคัญกับพวกท่านทุกคน”

ประมุขนิกายกระบี่ฟ้ากวาดสายตามองทุกคนด้วยท่าทางสง่างาม

เสียงต่ำของเขายิ่งเคร่งขรึมจริงจัง “ข้าเชื่อว่าพวกท่านทุกคนย่อมได้ทราบข่าวมาบ้าง

เมื่อวานนี้นิกายพันธมิตรสวรรค์พบสุสานโบราณในภูเขามังกรแล้ว”

“แน่นอนว่านี่ย่อมเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับเวลา นับจากวันที่พวกเราสูญเสียภูเขามังกรไปให้นิกายพันธมิตรสวรรค์

ไม่ช้าก็เร็วพวกมันต้องค้นพบสุสานโบราณแห่งนั้น”

เมื่อพูดถึงความล้มเหลวในการประลองหลงซาน

ผู้อาวุโสถังของฝ่ายนอกก็รู้สึกอึดอับไม่สบายใจ

โชคดีที่ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าไม่ได้เจาะลึกถึงรายละเอียดหรือกล่าวโทษ  เขาเพียงพูดต่อไปว่า “นิกายพันธมิตรสวรรค์เคยครอบครองภูเขามังกรก่อนหน้าพวกเรามาหลายปี

แต่จนแล้วจนรอดพวกมันก็ไม่เคยขุดพบสุสานแห่งนั้น

แต่ทว่านิกายกระบี่ฟ้าของเราใช้เวลาเพียงสามปีก็สามารถขุดเจอ สิ่งนี้หมายความว่ากระไร

?"

“นั่นก็เป็นเพราะว่าโชคชะตาหนุนเสริมให้นิกายกระบี่ฟ้าของเราเกี่ยวโยงกับสุสานพันปีและสมบัติในนั้นทั้งหมดไงเล่า

มันควรจะเป็นของพวกเราถึงจะถูก !”

เมื่อได้ยินประโยคนี้อาวุโสทั้งหลายคนก็พยักหน้าและเห็นด้วย

ประมุขนิกายกระบี่ฟ้ากล่าวต่อไปว่า

“นิกายพันธมิตรสวรรค์ได้ส่งคนไปตรวจสอบสุสานโบราณแล้ว  ดังนั้นพวกเราไม่จำเป็นต้องไปต่อสู้แย่งชิงกับพวกมัน”

“ซึ่งที่ผ่านมา ข้าและหวงฟู่ได้พยายามอย่างหนักมาหลายเดือนก็ยังไม่อาจปลดผนึกมหาข่ายปราณที่สุสานโบราณแห่งนั้นได้

บางทีทั่วทั้งดินแดนนี้อาจมีเพียงนิกายพันธมิตรสวรรค์เท่านั้นที่ทำได้”

“ด้วยเหตุนี้

ข้าขอแต่งตั้งอาวุโสสามคนให้คอยจับตามองการเคลื่อนไหวของสุสานนั่นอย่างใกล้ชิด เมื่อใดที่นิกายพันธมิตรสวรรค์สามารถปลดมหาข่ายปราณของสุสานได้

เมื่อนั้นพวกเราจะฉวยโอกาสบุกเข้าไปยึดครองสุสานทันที !”

จากนั้นผู้อาวุโสคุมกฎก็ขมวดคิ้วพลางถามขึ้นว่า

“เรียนท่านประมุข ข้าน้อยมีข้อสงสัย

สุสานโบราณแห่งนั้นทั้งอยู่ลึกและลึกลับอย่างมาก

มันรั้งอยู่ใต้ดินของหน้าผาสูงชันอีกทีซึ่งนิกายพันธมิตรสวรรค์ได้ครอบครองภูเขามังกรเพียงแค่สองวัน

ไฉนพวกมันถึงได้พบสุสานโบราณรวดเร็วนัก ? ท่านไม่คิดว่ามันแปลกๆไปหน่อยหรือขอรับ

?”

ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าหรี่ตาลง

แววตาคมกริบดุจมีดและเผยสีหน้าเคร่งขรึม “มิผิด

! ข้าก็สงสัยเรื่องนั้นเช่นกันและคิดว่าข่าวได้รั่วไหลออกไปจากหนอนบ่อนไส้หรือผู้มีใจคิดทรยศ

!”

หลังจากได้ยินประโยคนี้ผู้อาวุโสหลายคนก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปและหันไปกระซิบกระซาบกัน

ภายในนิกายใหญ่

การทรยศคือเรื่องต้องห้ามที่สุด หากพบว่าทำผิดจริงมีโทษสถานเดียวคือตาย !

ผู้อาวุโสถังของฝ่ายนอกลังเลอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็กำหมัดคารวะรายงานว่า

“เรียนท่านประมุข พูดถึงเรื่องนี้แล้ว...

ศิษย์ฝ่ายนอกของเรา หยานตงไหลได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยหลังจากจบการประลองหลงซานได้สองวัน

ศิษย์ผู้นี้เป็นหนึ่งในสามคนที่มีส่วนร่วมในการประลองหลงซานและรู้ความลับของภูเขามังกร

ข้าน้อยสงสัยว่ามันอาจเป็นผู้ที่ทำให้ข่าวรั่วไหล”