หนอนบ่อนไส้
จี้เทียนซิงเริ่มบอกเล่ารายละเอียดทั้งหมดของมหาข่ายปราณระดับสวรรค์ในสุสานพันปีต่อจิตวิญญาณกระบี่จางเทียน
หลังจากฟังจบจิตวิญญาณกระบี่จางเทียนก็จมอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่งและกล่าวด้วยเสียงต่ำว่า
“ไอ้หนู
ข้าขอกลับไปคิดเกี่ยวกับมหาข่ายปราณนี้ก่อน”
หลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงใดๆตาม
จี้เทียนซิงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้วหรือว่ากำลังหมกมุ่นอยู่กับการไตร่ตรองกันแน่
เขารออยู่ประมาณครึ่งชั่วยามแต่จิตกระบี่จางเทียนก็ยังไม่ส่งเสียงตอบกลับ
ดังนั้นเขาจึงออกจากสุสานเทพกระบี่ก่อน
หลังจากสติกลับสู่กายหยาบ
จี้เทียนซิงก็เข้าไปในห้องลับและเริ่มฝึกฝนอย่างหนัก ตอนนี้เขามีทรัพยากรบ่มเพาะมากมายไม่ว่าจะเป็นโอสถล้ำค่าหรือผลไม้วิญญาณ
ซึ่งเหล่านี้มีส่วนช่วยให้เขาบรรเทาจุดฝังเข็มและบ่มเพาะได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
หนึ่งคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นจี้เทียนซิงก็ออกจากหอยุทธ์ฟงอวิ๋นและมุ่งหน้าไปยังตำหนักเมฆขาวเพื่อไปพบหยุนเหยา
ทันทีที่มาถึงเขาก็เห็นหยุนเหยากำลังนั่งไขว้ห้างอยู่บนหลังคาของตำหนักเมฆขาว
บนแท่นหินที่สูงที่สุด
แท่นหินนั่นคือหยกพันปีซึ่งมีส่วนช่วยให้ผู้ฝึกยุทธ์สามารถรวบรวมรัศมีพลังฟ้าดินมาเร่งความเร็วในการบ่มเพาะได้ มันนับเป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง
หยุนเหยายังคงอยู่ในอาภรณ์ขาวบริสุทธิ์
นางนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่บนแท่นหินหยกอย่างเงียบงัน
ดวงหน้างดงามที่อาบไล้ไปด้วยแสงอาทิตย์ยามเช้านั้นทำให้นางดูเปล่งปลั่งราวกับนางฟ้าในสวรรค์ชั้นเก้า
จี้เทียนซิงเดินจากทางเดินชั้นสามแล้วกระโดดขึ้นไปบนหลังคาและหยุดยืนอยู่ด้านหลังของหยุนเหยา
นางไม่จำเป็นต้องหันหลังกลับไปมองก็ทราบว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
นางหยุดการบ่มเพาะและถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ศิษย์น้องเทียนซิง
เจ้ามาหาข้าแต่เช้า มีเรื่องด่วนอันใดหรือ ?”
จี้เทียนซิงกำหมัดคารวะด้วยรอยยิ้มและกล่าวว่า
“รบกวนเวลาศิษย์พี่เสียแล้ว
ที่ข้ามาหาท่านวันนี้ก็เพราะต้องการถามเกี่ยวกับเรื่องสุสานโบราณ”
หยุนเหยายังคงนั่งอยู่บนแท่นหินหยก
นางเบือนหน้าหนีอีกฝ่ายด้วยการหันไปมองทะเลหมอกและดวงอาทิตย์ที่ทอแสง
จากนั้นก็ตอบว่า “ข้าเพิ่งรายงานข่าวนี้ต่อท่านประมุขเมื่อคืน
ท่านอาจารย์ได้มอบหมายให้ห้าผู้อาวุโสมุ่งหน้าไปยังภูเขามังกรทันทีเพื่อตรวจสอบเกี่ยวกับมหาข่ายปราณระดับสวรรค์และหลุมฝังศพนั่น”
“ผู้อาวุโสหลายคนล้วนไปประจำการที่ภูเขามังกรเพื่อทำการค้นคว้าทั้งวันทั้งคืนเกี่ยวกับมหาข่ายปราณ
ข้าเชื่อว่าในไม่ช้าย่อมมีผลลัพธ์ที่ดีเกิดขึ้น เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้มากนัก”
จี้เทียนซิงพยักหน้าพลางกล่าวว่า
“วิเศษ เมื่อมีผู้อาวุโสหลายคนไปประจำการที่ภูเขามังกร
ต่อให้นิกายกระบี่ฟ้ามีแผนชั่วช้าใดๆก็ยากที่จะลงมือ”
“ว่าแต่ว่าศิษย์พี่ เมื่อคืนนี้ข้าครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่นานและรู้สึกว่ามันแปลกๆเล็กน้อย
ตลอดทั้งกระบวนการที่ทำให้พวกเราพบเจอสุสานพันปี ข้าคิดว่าเผ่าปีศาจมีแผนการอย่างจงใจที่ล่อลวงพวกเราให้พบสุสานแห่งนั้น....”
หยุนเหยาผงกศีรษะเล็กน้อยและกล่าวว่า
“ใช่
ข้าก็คิดเช่นนั้น”
“อย่างไรก็ตาม ตอนที่พวกเราอยู่ใต้หน้าผาและเข้าใกล้กับสุสานโบราณ
ข้าตรวจจับกลิ่นอายตกค้างของเผ่าพันธุ์ปีศาจไม่ได้แม้แต่น้อย”
“ดังนั้นแสดงว่าคนของเผ่าปีศาจไม่ได้ลงมาที่ก้นหน้าผาและยังไม่ได้พบสุสานโบราณแห่งนั้น
ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมเผ่าพันธุ์ปีศาจถึงได้จับตัวศิษย์รับใช้กับอาวุโสสองคนไปและลอบทำร้ายพวกเรา...
ท่านประมุขได้ส่งอีกทีมหนึ่งไปสอบสวนเรื่องนี้แล้ว ข้อเท็จจริงอาจจะเปิดเผยในไม่ช้า”
หลังจากฟังจบแล้วจี้เทียนซิงก็ยิ้มและพยักหน้า
“ก็ดี เช่นนั้นข้าไม่รบกวนศิษย์พี่ใหญ่แล้ว”
จากนั้นชายหนุ่มก็คารวะหยุนเหยาและหันหลังเดินจากไป
เดินไปได้ไม่กี่ก้าวเขาก็กล่าวย้ำเตือนกับหยุนเหยาว่า
“ศิษย์พี่ หากมีความคืบหน้าใดๆเพิ่มเติมจากสุสานพันปี
หวังว่าท่านจะรีบส่งข่าวบอกข้า”
“ย่อมได้” หยุนเหยาพยักหน้าและตอบรับ
จี้เทียนซิงจึงรู้สึกโล่งใจและเดินออกจากตำหนักเมฆขาว
............
ภายในนิกายกระบี่ฟ้า
ยอดเขาสูงสุดของนิกายนี้เรียกว่ายอดเขากระบี่ศักดิ์สิทธิ์
ที่นี่มีลักษณะที่น่าประทับใจและมีตำหนักอันโอ่อ่างดงามเรียกว่าตำหนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์
มันเป็นทั้งบ้านของประมุขนิกายกระบี่ฟ้าและสถานที่เรียกประชุมของเหล่าผู้อาวุโสและบุคลสำคัญของนิกาย
กฎของนิกายกระบี่ฟ้ามีอยู่ว่า
ในทุกๆวันที่ห้าของแต่ละเดือน ประมุขจะเรียกประชุมเหล่าผู้อาวุโสเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องต่างๆภายในตำหนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์
ซึ่งวันนี้ก็คือวันดังกล่าว
ดังนั้นภายในห้องโถงจึงเต็มไปด้วยเหล่าผู้อาวุโสที่มารวมตัวกันก่อนเวลาเพื่อรอคอยประมุขของพวกเขาด้วยความอดทน
ผู้อาวุโสเก้าคนที่สวมเสื้อคลุมสีม่วงยืนเรียงรายกันเป็นสองแถวที่ด้านข้างของห้องโถงใหญ่
เสียงกระซิบกระซาบที่ดังเล็ดลอดออกมาของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมและดูโกรธกริ้วเล็กน้อย
หลังจากนั้นไม่นาน
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งสวมเสื้อคลุมสีฟ้าและมีรูปร่างผอมบางเหมือนต้นไผ่, กลิ่นอายแข็งกร้าวราวกับกระบี่ได้เดินเข้ามาในห้องโถง
บุคคลนี้แม้จะมีรูปลักษณ์ไม่พึงประสงค์ต่อสายตาของคนทั่วไป
แต่ทว่ากลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมานั้นเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งและหยิ่งผยองของยอดฝีมือระดับปราณฟ้า
!
อาวุโสทั้งเก้าที่เห็นชายผู้นี้ก็หยุดสนทนาในทันทีและกล่าวว่า
“คารวะท่านประมุข !”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบุคคลนี้ก็คือผู้นำของนิกายกระบี่ฟ้า
หนึ่งในสามสุดยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนดาราบรรพกาล
ด้านหลังของประมุขนิกายตามมาด้วยชายชราเคราแพะคิ้วขาวที่สวมเสื้อคลุมสีเหลือง
บุคคลนี้แม้ว่าผิวหนังจะดำคล้ำ
ร่างกายสั้นเตี้ยและมีพุงใหญ่ แต่ทว่าหากมองให้ดีจะพบว่าเขาแสร้งทำเป็นตัวงองุ้ม
แท้จริงแล้วอาจจะเป็นชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง
อาวุโสทั้งเก้าต่างก็มีความเห็นที่แตกต่างกันออกไปต่อคนผู้นี้
แต่พวกเขาก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากดูหมิ่น
“คารวะอาคันตุกะหวงฟู่ !”
บุคคลนี้เป็นแซ่หวงฟู่
ชื่อจริงไม่มีผู้ใดทราบ เขาคือผู้อาวุโสที่เป็นอาคันตุกะชั่วคราวของนิกายกระบี่ฟ้า
ถึงแม้เขาจะมีตำแหน่งระดับเดียวกับผู้อาวุโสทั้งเก้า
แต่เขาก็ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจอย่างสูงจากประมุขนิกายกระบี่ฟ้า ศักดิ์ฐานะของเขาสูงส่งเป็นรองเพียงประมุขนิกายเท่านั้น
จากนั้นประมุขนิกายกระบี่ฟ้าก็นั่งลงที่นั่งประธาน
ตามมาด้วยหวงฟู่ที่นั่งอยู่เคียงข้าง
“อาวุโสทุกท่าน วันนี้ข้าจะถกสถานการณ์สำคัญกับพวกท่านทุกคน”
ประมุขนิกายกระบี่ฟ้ากวาดสายตามองทุกคนด้วยท่าทางสง่างาม
เสียงต่ำของเขายิ่งเคร่งขรึมจริงจัง “ข้าเชื่อว่าพวกท่านทุกคนย่อมได้ทราบข่าวมาบ้าง
เมื่อวานนี้นิกายพันธมิตรสวรรค์พบสุสานโบราณในภูเขามังกรแล้ว”
“แน่นอนว่านี่ย่อมเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับเวลา นับจากวันที่พวกเราสูญเสียภูเขามังกรไปให้นิกายพันธมิตรสวรรค์
ไม่ช้าก็เร็วพวกมันต้องค้นพบสุสานโบราณแห่งนั้น”
เมื่อพูดถึงความล้มเหลวในการประลองหลงซาน
ผู้อาวุโสถังของฝ่ายนอกก็รู้สึกอึดอับไม่สบายใจ
โชคดีที่ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าไม่ได้เจาะลึกถึงรายละเอียดหรือกล่าวโทษ เขาเพียงพูดต่อไปว่า “นิกายพันธมิตรสวรรค์เคยครอบครองภูเขามังกรก่อนหน้าพวกเรามาหลายปี
แต่จนแล้วจนรอดพวกมันก็ไม่เคยขุดพบสุสานแห่งนั้น
แต่ทว่านิกายกระบี่ฟ้าของเราใช้เวลาเพียงสามปีก็สามารถขุดเจอ สิ่งนี้หมายความว่ากระไร
?"
“นั่นก็เป็นเพราะว่าโชคชะตาหนุนเสริมให้นิกายกระบี่ฟ้าของเราเกี่ยวโยงกับสุสานพันปีและสมบัติในนั้นทั้งหมดไงเล่า
มันควรจะเป็นของพวกเราถึงจะถูก !”
เมื่อได้ยินประโยคนี้อาวุโสทั้งหลายคนก็พยักหน้าและเห็นด้วย
ประมุขนิกายกระบี่ฟ้ากล่าวต่อไปว่า
“นิกายพันธมิตรสวรรค์ได้ส่งคนไปตรวจสอบสุสานโบราณแล้ว ดังนั้นพวกเราไม่จำเป็นต้องไปต่อสู้แย่งชิงกับพวกมัน”
“ซึ่งที่ผ่านมา ข้าและหวงฟู่ได้พยายามอย่างหนักมาหลายเดือนก็ยังไม่อาจปลดผนึกมหาข่ายปราณที่สุสานโบราณแห่งนั้นได้
บางทีทั่วทั้งดินแดนนี้อาจมีเพียงนิกายพันธมิตรสวรรค์เท่านั้นที่ทำได้”
“ด้วยเหตุนี้
ข้าขอแต่งตั้งอาวุโสสามคนให้คอยจับตามองการเคลื่อนไหวของสุสานนั่นอย่างใกล้ชิด เมื่อใดที่นิกายพันธมิตรสวรรค์สามารถปลดมหาข่ายปราณของสุสานได้
เมื่อนั้นพวกเราจะฉวยโอกาสบุกเข้าไปยึดครองสุสานทันที !”
จากนั้นผู้อาวุโสคุมกฎก็ขมวดคิ้วพลางถามขึ้นว่า
“เรียนท่านประมุข ข้าน้อยมีข้อสงสัย
สุสานโบราณแห่งนั้นทั้งอยู่ลึกและลึกลับอย่างมาก
มันรั้งอยู่ใต้ดินของหน้าผาสูงชันอีกทีซึ่งนิกายพันธมิตรสวรรค์ได้ครอบครองภูเขามังกรเพียงแค่สองวัน
ไฉนพวกมันถึงได้พบสุสานโบราณรวดเร็วนัก ? ท่านไม่คิดว่ามันแปลกๆไปหน่อยหรือขอรับ
?”
ประมุขนิกายกระบี่ฟ้าหรี่ตาลง
แววตาคมกริบดุจมีดและเผยสีหน้าเคร่งขรึม “มิผิด
! ข้าก็สงสัยเรื่องนั้นเช่นกันและคิดว่าข่าวได้รั่วไหลออกไปจากหนอนบ่อนไส้หรือผู้มีใจคิดทรยศ
!”
หลังจากได้ยินประโยคนี้ผู้อาวุโสหลายคนก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปและหันไปกระซิบกระซาบกัน
ภายในนิกายใหญ่
การทรยศคือเรื่องต้องห้ามที่สุด หากพบว่าทำผิดจริงมีโทษสถานเดียวคือตาย !
ผู้อาวุโสถังของฝ่ายนอกลังเลอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็กำหมัดคารวะรายงานว่า
“เรียนท่านประมุข พูดถึงเรื่องนี้แล้ว...
ศิษย์ฝ่ายนอกของเรา หยานตงไหลได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยหลังจากจบการประลองหลงซานได้สองวัน
ศิษย์ผู้นี้เป็นหนึ่งในสามคนที่มีส่วนร่วมในการประลองหลงซานและรู้ความลับของภูเขามังกร
ข้าน้อยสงสัยว่ามันอาจเป็นผู้ที่ทำให้ข่าวรั่วไหล”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved