ตอนที่ 345 ตกตายแท้จริง ?

ในโลกแมกมาภายในเทือกเขาหมอกเร้นลับ

จี้เทียนซิงเคยทดลองใช้พลังเต็มพิกัดของอัคคีสีชาดที่แขนซ้ายมาก่อน

จางเทียนเคยเตือนเขาไว้เมื่อตอนนั้น ถึงแม้กระบวนท่าหัตถ์ปราณผลาญฟ้าจะมีอำนาจสยบฟ้าดิน

แต่มันก็จะเผาผลาญเพลิงแท้จริงของเขาไปอย่างมหาศาล

ในระยะสั้น เขาสามารถใช้หัตถ์ปราณผลาญฟ้าในระดับนี้ได้แค่สามครั้งเท่านั้น

หลังจากนั้นเพลิงแท้จริงของอัคคีสีชาดก็จะหมดลง

และต้องฝึกฝนอีกเป็นเวลานานกว่าจะฟื้นฟู

ตอนนี้ก็คือการใช้หัตถ์ปราณผลาญฟ้าครั้งที่สองของจี้เทียนซิงแล้ว

ถึงแม้เขาจะสร้างปาฏิหาริย์

ตบฟาดเทียนเจี้ยนจงจนกระเด็นด้วยฝ่ามือเดียว

แต่อย่างไรก็ตาม

เพลิงแท้จริงของเขาก็ถูกใช้ไปมากมายนักและสามารถใช้กระบวนท่านี้ได้อีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

จากนั้นพลังของมันก็จะถูกเผาผลาญจนหมดไป

แม้ว่าพลังทำลายของมันจะยังไม่เพียงพอในการทำร้ายหรือสังหารเทียนเจี้ยนจง

แต่การที่มันสามารถซัดอีกฝ่ายจนปลิวออกไปได้ก็ทำให้จี้เทียนซิงพึงพอใจมากแล้ว

"ไป !"

หยุนเหยาฉุดลากชายหนุ่มทะยานออกจากห้องโถง

สาวเท้าเข้าสู่รัตติกาลอันมืดมิด

หลังจากหนีออกมา พวกเขาได้พบยอดฝีมือจำนวนมากที่ซุ่มอยู่ตามจตุรัสด้านนอกห้องโถง

ผู้พิทักษ์ในชุดขาวกว่ายี่สิบคนและผู้ดูแลในชุดดำห้าคนถือกระบี่คมกริบที่สะท้อนแสงวูบวาบบาดลูกตา

"ฆ่ามัน !"

"ท่านประมุขมีคำสั่ง

จับเป็นไม่ได้ก็ฆ่าไม่ให้เหลือ !"

"ฆ่าพวกเขาให้ได้ !"

เสียงร่ำร้องโหวกเหวกมากมายของนิกายกระบี่ฟ้าดังระงมไปทั่ว

สีหน้าของจี้เทียนซิงและหยุนเหยากลายเป็นเคร่งเครียด

ทางด้านหลังคือห้องโถงที่มีผู้เฒ่าและผู้พิทักษ์เกราะดำหลายคนกำลังไล่ล่าพวกเขาอย่างอุกอาจ

ส่วนด้านหน้ามีหน่วยซุ่มและผู้ดูแลอีกหลายคน

ทั้งสองตกอยู่ในสถานนะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้นก็คือเทียนเจี้ยนจงได้พุ่งออกมาจากซากปรักหักพังของตำหนักแล้วอีกด้วย

!

ท้ายที่สุดมันก็เป็นหนึ่งในสุดยอดฝีมือของดินแดนนี้

ผู้มีพลังยุทธ์ในขอบเขตปราณฟ้า ถึงแม้มันจะประมาทและถูกทำร้ายโดยหัตถ์ปราณผลาญฟ้าของจี้เทียนซิง

แต่อย่างไรเสียมันก็มีพลังคุ้มกายที่แข็งแกร่งทรงพลังจนสามารถลดทอนพลังฝ่ามือของอีกฝ่ายได้โดยไม่เกิดอันตรายใดๆ

พลังฝ่ามือของจี้เทียนซิงได้กระตุ้นต่อมโทสะ ทำให้มันรู้สึกเสียหน้าจนกลายเป็นเกรี้ยวกราดเดือดดาล

"จี้เทียนซิง ข้าประมุขจะถลกหนังเจ้า !"

เทียนเจี้ยนจงคำรามกึกก้อง คนเปลี่ยนเป็นลำแสงสีแดงเพลิงทะยานออกมาจากซากปรักหักพัง

พุ่งเป็นริ้วลำแสงตรงเข้าหาจี้เทียนซิงและหยุนเหยา

สถานการณ์ของทั้งสองตกอยู่ในขั้นวิกฤติสุดขั้ว

หากพวกเขาไม่รีบหนีก็จะถูกกรุ้มรุมโจมตีจากเหล่ายอดฝีมือที่แข็งแกร่ง

เมื่อถึงตอนนั้นต่อให้มีปีกบินก็ยากที่จะหนีและต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย !

ในช่วงเวลานี้เองจี้เทียนซิงก็หยิบยันต์คาถาชิ้นที่สองที่ฉู่เทียนเซิงมอบให้ออกมาจากแหวนมิติ

พลังลมปราณมหาศาลถูกถ่ายเทลงบนฝ่ามือของเขา

ส่งผ่านไปยังยันต์คาถา คนกระซิบแผ่วเบาว่า “คาถาว่างเปล่า!"

ยันต์คาถาเกิดการเผาไหม้กลายเป็นสีดำในทันที  มันส่องแสงเปล่งประกายแสงสีขาวและควบแน่นเป็นประตูแสงรูปไข่

เมื่อประตูแสงสีขาวก่อตัวขึ้น

จี้เทียนซิงก็ฉุดลากหยุนเหยามาที่ประตูแสง

"วูบ !"

เมื่อแสงสีขาวส่องประกาย

ทั้งสองก็หายวับไปกับตา

ประตูแสงสีขาวรูปไข่ทรุดตัวลงและสลายตัวกระจายออกไปทันที

กลายเป็นริ้วลำแสงสีขาวเบาบางที่กระจัดกระจายในยามราตรี

ในเวลาต่อมาผู้พิทักษ์และผู้ดูแลหลายต่อหลายคนที่จับดาบควงกระบี่

ตัดผ่าท้องฟ้าจู่โจมเข้าหาทั้งสองจนเกิดเสียงระเบิดและทำให้พื้นดินเกิดหลุมขนาดใหญ่

ตูม

!! ตูม

! ตูม

!!

เสียงกัมปนาทดังกึกก้องไปทั่วฟ้า

ฝุ่นละอองพัดพลิ้วกระจายไปทั่วบริเวณ

เมื่อฝุ่นควันบนท้องฟ้าหายไป

เทียนเจี้ยนจงและผู้เฒ่าหลายคนก็มุ่งหน้ามาถึงจุดที่ทั้งสองคน ‘เคย’ อยู่

ใต้ระเบียงด้านนอกประตู พื้นดินถูกปกคลุมไปด้วยรอยปริแตก

หลงเหลือเพียงหลุมลึกขนาดใหญ่ แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของจี้เทียนซิงและหยุนเหยา ?

เมื่อเห็นภาพนี้ดวงตาของเทียนเจี้ยนจงก็เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย

คนคำรามด้วยโทสะ “ตามจับพวกมันให้ได้ !”

"ต่อให้พวกมันหนีไปสุดขอบโลก

พวกเจ้าก็ต้องฆ่ามันให้ได้ !!”

ทุกคนรอบๆสัมผัสได้ถึงความโกรธกริ้วของเทียนเจี้ยนจงและไม่กล้าเอ่ยปาก

ผู้ดูแลและผู้พิทักษ์เกราะดำจำนวนมากแยกย้ายกันออกตามหาร่องรอยของจี้เทียนซิงและหยุนเหยาเป็นพัลวัน

เดิมทีแผนการของเทียนเจี้ยนจงนับว่าสมบูรณ์แบบ

ทุกขั้นตอนล้วนดำเนินไปอย่างสะดวกราบรื่น

หากไม่มีเหตุสุดวิสัยอื่นใด

ป่านนี้มันคงได้หัวของทั้งสองคนไว้ประดับนิกายแล้ว

แต่มันคาดไม่ถึงว่าผลลัพธ์สุดท้ายกลับเป็นเช่นนี้

!

ตำหนักสองแห่งของเทียนเจี้ยนจงถูกทำลายยับ

ผู้พิทักษ์มากกว่าสิบและผู้ดูแลถูกทำร้ายสาหัสบางส่วนก็ตกตาย

แต่จี้เทียนซิงและหยุนเหยากลับหนีไปได้ !

สิ่งนี้จะไม่ทำให้เทียนเจี้ยนจงโกรธจนคลั่งได้อย่างไร

?

ในเวลาเดียวกัน, ผู้เฒ่าชุดม่วงคนหนึ่งก็เดินมากระซิบๆข้างมันพลางกล่าวว่า

“ท่านประมุขอย่าได้มีโทสะจนเสียกิริยา

แขกเหรื่อมากมายยังอยู่ที่นี่ ท่านจะทำอย่างไรต่อขอรับ ?”

เทียนเจี้ยนจงสูดหายใจเข้าลึกหลายครั้งก่อนที่จะค่อยๆข่มความโกรธลงได้

มันหันไปมองในห้องโถงและได้เห็นสีหน้าท่าทางที่ซับซ้อนของผู้คน

มันก้าวยาวๆเดินตรงเข้าไปพลางกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ว่า

“สหายทุกท่าน

เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นที่น่าโมโหขึ้นในวันเกิดของข้า

ข้าโกรธแค้นและทุกข์ใจยิ่งนัก”

"ความหยิ่งผยองและความโหดร้ายทารุณของนิกายพันธมิตรสวรรค์เมื่อครู่นี้

ข้าเชื่อว่าพวกท่านทุกคนคงได้ประจักษ์ต่อสายตาแล้ว”

“ข้ามีเรื่องที่ยังต้องทำจึงมิอาจสร้างความบันเทิงให้กับทุกท่านได้

ข้าหวังว่าทุกท่านจะเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ"

ด้วยอารมณ์ของเทียนเจี้ยนจงในตอนนี้

คำพูดมากมารยาทเหล่านี้นับว่าให้ความเกรงใจแขกเหรื่อมากพอแล้ว

ซึ่งก็แน่นอน ทุกคนจากต่างสถานที่ล้วนเป็นผู้เจนโลก

พวกมันเข้าใจคำหมายความในวาจาของเทียนเจี้ยนจงเป็นอย่างดีว่าเจ้าภาพกำลังส่งแขกแล้ว

ดังนั้นทุกคนจึงค่อยๆทยอยเดินลงจากเขาไปตามๆกัน

เทียนเจี้ยนจงขี้คร้านเกินกว่าจะเสียเวลาส่งแขก

มันไม่สนใจผู้มาร่วมงานอีกต่อไป หลังจากพูดจบก็หันหลังเดินจากไปพร้อมกับอาวุโสหลายคน

.............

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ทุกคนก็กลับเข้าไปในห้องโถงและเริ่มสนทนากัน

ผู้เฒ่าชุดม่วงคนหนึ่งที่คร่ากุมร่างไร้สติของเอี๋ยนเอ๋อร์ไว้พลันเอ่ยปากถามเทียนเจี้ยนจงว่า

“ท่านประมุข

จะเอาอย่างไรกับเจ้าเด็กน้อยนี่ดีขอรับ ? ฆ่ามันทิ้งเลยหรือไม่ ?"

เทียนเจี้ยนจงเหลือบมองไปที่เอี๋ยนเอ๋อร์ในมือของผู้เฒ่าชุดม่วงพลางตะโกนออกคำสั่งว่า

“เอามันไปขังไว้ในห้องลับและจับตาดูอย่างเข้มงวด

ห้ามให้หนีและอย่าให้ตายเด็ดขาด !”

"เจ้าเด็กคนนี้เป็นรัชทายาทแห่งเผ่าอัคคีแดนทักษิณ

หากมันเกิดตายในอาณาเขตเราขึ้นมา พวกเจ้าจะต้องถูกฝังไปพร้อมกับมัน !”

ผู้เฒ่าชุดม่วงผงกหัวลนลานรับคำสั่งในทันที

จากนั้นหันหลังเดินออกจากห้องโถงพร้อมกับเอี๋ยนเอ๋อร์ที่หมดสติ

เทียนเจี้ยนจงออกคำสั่งต่อไปกับผู้เฒ่าและผู้อาวุโสอีกหลายคน

“พวกเจ้าที่เหลือพาคนออกไปค้นหารอบๆ

หาตัวจี้เทียนซิงและหยุนเหยาให้ได้ !”

"พบเมื่อไหร่ให้ฆ่าได้ทันที !"

“ขอรับท่านประมุข

!”

ผู้เฒ่าหลายคนกำหมัดรับคำสั่งในทันที จากนั้นก็แยกย้ายกันออกจากห้องโถงอย่างรวดเร็วเพื่อไปปฏิบัติตามคำสั่ง

หลังจากทั้งหมดออกไปแล้ว

เทียนเจี้ยนจงก็พยักหน้าให้เทียนจี้เจิ้นเหรินพลางเดินตามกันเข้าไปในห้องลับที่เต็มไปด้วยความลึกลับห้องหนึ่ง

ภายในห้องลับอันมืดมิดนั้นมีคนอยู่สองคน

หนึ่งในนั้นคือซื่อเหวินหยูที่นอนอยู่บนเตียงหยกน้ำแข็ง

ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือหวงฟู่

หลังจากเทียนเจี้ยนจงนำเทียนจี้เจิ้นเหรินเข้ามาในห้องลับ

มันก็ไม่อาจอดใจรอได้อีกและกล่าวว่า “เจิ้นเหริน เร็วเข้าเถอะ

รีบช่วยเหวินหยูให้ฟื้นขึ้นมาเร็ว

ขืนชักช้าไปกว่านี้อาการบาดเจ็บของมันจะยิ่งกำเริบ"

เทียนจี้เจิ้นเหรินพยักหน้าพลางโบกมือร่ายเคล็ดวิชา

จี้สกัดจุดตามร่างกายของซื่อเหวินหยู

ต่อจากนั้นมันก็หยิบโอสถจากแหวนมิติและยัดเข้าไปในปากของอีกฝ่าย

ทั้งหมดรอคอยอย่างอดทนอยู่พักหนึ่ง

แต่ทว่า... ซื่อเหวินหยูก็ยังคงนิ่งเฉยและไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนอง

เมื่อได้เห็นสถานการณ์นี้

เทียนเจี้ยนจงพลันคิ้วกระตุกด้วยความสงสัย

มันเดินไปข้างๆซื่อเหวินหยูพลางเหยียดมือออกไปแตะหน้าผากของอีกฝ่ายและพบว่าอุณหภูมิร่างกายของมันเย็นเฉียบอย่างน่าประหลาด

คนหันควับไปมองเทียนจี้เจิ้นเหรินและถามว่า “เจิ้นเหริน นี่มันเรื่องอะไรกัน ? ทำไมเหวินหยูถึงยังไม่ฟื้น ?"

“ฟุ่บ !”

เทียนจี้เจิ้นเหรินถลาไปข้างหน้าและรีบตรวจดูชีพจรและการเต้นของหัวใจซื่อเหวินหยูอย่างถี่ถ้วน

จากนั้นคนกลายเป็นคิ้วขมวดมุ่น

สีหน้าหดหู่และกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักอึ้งว่า “ท่านประมุข  เหวินหยู... เขา   ไฮ้ !  เราช่วยเขาไม่ทันการเสียแล้ว"

"ว่าอะไร ?    อะไรคือช่วยไม่ทันการ ??!”

เมื่อได้ยินคำพูดของเทียนจี้เจิ้นเหริน  เทียนเจี้ยนจงก็หน้าถอดสีจนซีดเผือด ดวงตาของมันเบิกกว้างและเผยสีหน้าไม่อยากเชื่อออกมา