ร่วงหล่นสู่สุญญตาแห่งดวงดารา
จี้เทียนซิงเดินวนเวียนรอบหินแกะสลักลู่อู๋อยู่หลายรอบพลางสังเกตมันอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ไม่เห็นร่องรอยใดๆ
ดังนั้นเขาจึงปีนขึ้นไปเหนือร่างของรูปสลักหินลู่อู๋เพื่อสังเกตมันในระยะใกล้
หินแกะสลักนี้เต็มไปด้วยลวดลายลึกลับในบางส่วน
แต่ส่วนใหญ่ได้ถูกกัดกร่อนอย่างรุนแรงจากกาลเวลา พื้นผิวของมันถูกปกคลุมไปด้วยรอยแตกและรอยขรุขระ
จี้เทียนซิงสัมผัสได้เลือนรางว่าหินแกะสลักนี้จะต้องมีความลึกลับใดๆซ่อนอยู่
มันดูเหมือนจะมีกลิ่นอายของข่ายอาคม
แต่นี่เป็นเพียงการคาดเดาของเขาและมันก็ไม่แน่ว่าจะถูกต้องในขณะนี้
ในเวลานี้เองเขาปีนขึ้นไปด้านบนของหินแกะสลักลู่อู๋และยืนอยู่ที่จุดสูงสุดเพื่อมองดูรอบๆ
ทันใดนั้นเขาก็พบว่ามีเงาร่างดำๆตั้งอยู่ในทะเลทรายห่างออกไปหลายสิบไมล์
เขาจดจ่ออยู่กับการเฝ้ามองครู่หนึ่งและได้เห็นว่าร่างสีดำนั้นดูเหมือนจะเป็นรูปแกะสลักหินโบราณอีกหนึ่งตัว
“ที่นี่มีรูปปั้นแกะสลักหินมากกว่าหนึ่งตัว ?”
ชายหนุ่มส่งเสียงกระซิบในใจ
ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ต่อมาจี้เทียนซิงก็ผละจากรูปปั้นแกะสลักลู่อู๋และวิ่งไปกว่าไมล์บนทะเลทรายสีเหลือง
ในที่สุดก็มาถึงประติมากรรมหินสีดำอีกหนึ่งก้อน
รูปสลักหินสีดำนี้ก็ถูกฝังจมอยู่ในกองทรายสีเหลือง
ส่วนที่โผล่มามีเพียงครึ่งหนึ่งซึ่งมีความสูงประมาณ 50 เมตร
พื้นผิวของหินแกะสลักเป็นรอยด่างและรอยแตกจากอิทธิพลของลมและน้ำค้างแข็ง
มันทำให้รูปแบบอาคมที่ซับซ้อนและสัญลักษณ์ดูเลือนลาง
ยิ่งไปกว่านั้น
รูปปั้นหินนี้ก็เป็นสัตว์อสูรบรรพกาลเช่นเดียวกัน, มันคือนกยักษ์ตัวหนึ่งที่มีท่าทางดุร้ายและสยายปีกราวกับทะยานสู่สวรรค์
จี้เทียนซิงจดจำจากตำราได้ว่า
สัตว์อสูรตัวนี้สมควรเรียกว่าอสูรมังกรอินทรี [兽龙鹰 โซ่วหลงหยิง]
เป็นเรื่องน่าเสียดายที่หินแกะสลักนั้นหักโค่นไปและชิ้นส่วนขนาดใหญ่ก็พังลง
ทำให้ส่วนหัวของมันหายไป
เขาลองเดินหาเบาะแสรอบๆรูปปั้นมังกรอินทรีอยู่พักใหญ่และยังไม่ได้ข้อสรุปอะไรคืบหน้า
รูปปั้นแกะสลักเหล่านี้เก่าแก่เกินจะจินตนาการ
อีกทั้งยังผ่านมรสุมของกาลเวลาและดินฟ้าอากาศ
ถึงแม้จะมีร่องรอยของข่ายปราณและข่ายอาคมอย่างเลือนลางก็ยังไม่สามารถมองออกว่าเป็นอาคมชนิดใด
จี้เทียนซิงลอบสันนิษฐานว่ารูปปั้นมังกรอินทรีตัวนี้กับรูปปั้นลู่อู๋ที่อยู่ห่างกันกว่าสิบไมล์นั้น
มิได้มีการเชื่อมโยงใดๆต่อกัน
เขาขมวดคิ้วครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นมองดูทะเลทรายรอบไปๆอย่างพินิจพิเคราะห์
ในไม่ช้า
เขาก็เห็นบางอย่างในทะเลทรายทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ มันมีรูปปั้นหินสีดำอยู่ห่างออกไปประมาณสิบไมล์อีกหนึ่งแห่ง
“ยังมีประติมากรรมหินก้อนที่สามอยู่อีกหรือนี่ ?”
จี้เทียนซิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขากระโดดจากด้านหลังของรูปปั้นมังกรอินทรีอย่างรวดเร็วและรีบมุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงใต้
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็มาถึงประติมากรรมหินก้อนที่สาม
หลังจากการสังเกตอย่างใกล้ชิดเขาก็จดจำได้ทันที รูปปั้นหินนี้ก็เป็นสัตว์อสูรโบราณในตำนานอีกตัวหนึ่ง
มันคืออีกาทองสามขา
สภาพของรูปปั้นอีกาทองสามขาก็เป็นเช่นเดียวกับอีกสองตัวก่อนหน้านี้
มีหลายส่วนที่หลุดหายและเสียหาย
จี้เทียนซิงยืนอยู่ด้านบนสุดของรูปปั้นและกวาดตามองดูรอบๆ
ในไม่ช้าเขาก็เห็นร่องรอยของรูปปั้นหินอีกสองชนิด
ตัวหนึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือและอีกอันหนึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งอยู่ห่างจากเขามากกว่าสิบไมล์
หลังจากการสังเกตเป็นเวลานานเขาได้ตระหนักถึงการรูปปั้นหินแกะสลักขนาดใหญ่อีกสองตัว
ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นสัตว์อสูรบรรพกาล
เขายังคงทอดสายตาสังเกตรอบๆอย่างถี่ถ้วน
ในไม่ช้าก็เห็นรูปปั้นโบราณของสัตว์อสูรชนิดต่างๆ
นอกจากลู่อู๋, มังกรอินทรี, อีกาทองสามขา
เขายังพบกิเลนวายุ [嘲风 เฉาเฟิง], กระทิงขาเดียวและสัตว์อื่นๆอีกมากมาย
ท้ายที่สุดเขาพบหินแกะสลักรูปปั้นสัตว์โบราณกว่าสิบสองชนิดในทะเลทรายรอบรัศมีห้าสิบไมล์
งานแกะสลักรูปปั้นหินสัตว์อสูรต่างๆเหล่านี้จัดเรียงตามกฏเกณฑ์และทิศทางพิเศษและมีการเชื่อมต่อกันเป็นวงกลม
เขาเดินไปที่ทะเลทรายและยืนอยู่ในเนินทรายที่ยกขึ้นสูงจากพื้นดิน
ที่สามารถมองเห็นรูปปั้นหินทั้งสิบสองรอบตัวเขาได้อย่างชัดเจน
ค่อนข้างแปลกคือเนินทรายใต้เท้าของเขาอยู่ห่างจากหินแต่ละก้อนออกไป
19 ไมล์พอดิบพอดี !
จี้เทียนซิงตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้ว
!
รูปปั้นแกะสลักสิบสองสัตว์อสูรบรรพกาลนั้นถูกจัดเรียงไว้ด้วยกลิ่นอายของข่ายปราณลึกลับ
!
“ประติมากรรมสัตว์อสูรโบราณพวกนี้ดูแปลกๆ
มันอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับทะเลสาบจันทร์เต็มดวงเป็นแน่ พวกมันไม่มีทางปรากฏที่นี่โดยไม่มีเหตุผล...”
“ข้าต้องศึกษามัน บางทีอาจจะสามารถแกะรอยทะเลสาบจันทร์เต็มดวงและลูกปัดแห่งดวงดาราได้จากรูปปั้นแกะสลักที่แตกต่างกันพวกนี้”
ชายหนุ่มลูบคางพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ครึ่ก....ครึ่ก
ครืนนนนน !!
ในเวลานี้เองท้องฟ้าที่แต่เดิมยังคงสว่างแจ่มใสกลับเกิดเหตุการณ์แปลกๆขึ้น
ก้อนเมฆเริ่มแตกตัวออก
ทันใดนั้นทะเลทรายที่สงบนิ่งก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงราวกับเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ !
เสียงอู้อี้ดัง
"แกร่ก เปรี๊ยะ" ดังขึ้น พื้นลำธารกว้างเกิดการปริแตกและทะเลทรายหลายสิบไมล์รอบๆเริ่มที่จะยุบตัวลง
น่าประหลาดที่มีเพียงสัตว์อสูรโบราณทั้งสิบที่ล้อมรอบอยู่นั้นเริ่มทรุดตัวและจมลง
นอกเหนือจากปรากฏการณ์นี้
นอกพื้นที่นี้พื้นดินยังดูสงบและท้องฟ้ายังคงแจ่มใสราวกับว่าเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นเพียงจุดที่เขายืนอยู่เพียงจุดเดียว
!
จี้เทียนซิงหน้าถอดสีทันทีและพยายามจะวิ่งหนีออกไป
เขารู้อย่างชัดเจนว่าการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงเช่นนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับรูปปั้นแกะสลักสิบสองสัตว์อสูรแน่นอน
อย่างไรก็ตาม
ทันทีที่เขารีบวิ่งลงจากเนินทราย ทะเลทรายที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาพลันทรุดตัวลง มีหลุมดำขนาดมหึมาไร้ก้นอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา
มันราวกับเหวลึกไร้สิ้นสุดซึ่งดูดกลืนทรายสีเหลืองอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น !
“บ้าชิบ
เกิดบ้าอะไรขึ้น !”
ชายหนุ่มพลันสบถออกมาด้วยความตกใจ
แต่เขาก็หนีไม่พ้นแรงดูดนี้และถูกดูดลงไปในเหวที่มืดมิดใต้ฝ่าเท้า
เขารู้สึกราวกับกำลังตกลงไปในนรก
ไม่รู้ว่าใช้เวลานานเท่าไหร่
ทันใดนั้นเขาก็ได้เห็นจุดจบของก้นเหวใต้ฝ่าเท้าของเขาและมีแสงสลัวๆส่องออกมา
เมื่อเขาดิ่งลงมาด้วยความเร็วยิ่งยวดและใกล้กับแสงสลัวจุดนั้นมากขึ้น
เขาค้นพบว่ามันเป็นม่านแสงสีเงินที่ไร้ขอบเขตและกว้างใหญ่ไพศาล
ในเวลาต่อมา
เขาได้พุ่งเข้าไปในม่านแสงสีเงินซีดแห่งนั้นอย่างรวดเร็ว
“ปัง !”
เกิดเสียงปะทะอันรุนแรงดังสนั่นที่ระเบิดขึ้นในใจของเขา
เขาเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงผสานกับความสับสนและหมดสติไปในทันที
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาได้ผ่านม่านแสงสีเงินซีดในอาการไร้สติและตกลงไปในสุญญตาอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต
มันคือความว่างเปล่าที่ทั้งมืดมิดและหนาวเย็น
มีเพียงแสงกระพริบปรายๆจากดวงดาราที่ส่องสว่างจากในระยะไกล
ความเร็วในการดิ่งของเขาเริ่มช้าลง
ช้าลงและหยุดลงในที่สุด
เขาล่องลอยอยู่ในความว่างเปล่าและหยุดนิ่ง
เห็นได้ชัดว่าใต้เท้าของเขาคือความว่างเปล่า
แต่มันดูเหมือนจะมีพื้นดินที่มองไม่เห็นได้เกาะร่างของเขาเอาไว้อย่างมั่นคงมิให้ล่องลอยออกไป
เขาสติอยู่ในอาการโคม่า
จมอยู่ในความว่างเปล่า หลับไหลอย่างเงียบงันราวกับจะถูกหลอมรวมเข้ากับสุญญตาอันกว้างใหญ่ไร้สิ้นสุด
ความว่างเปล่านี้ไร้ซึ่งสรรพเสียง
กาลเวลผ่านไปอย่างเงียบงัน
ไม่มีผู้ใดทราบว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด
สามวัน ห้าวัน สามเดือนหรือห้าเดือน แต่จี้เทียนซิงก็ได้สติขึ้นมาได้ที่สุด
ชายหนุ่มเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ
ยกมือขึ้นกุมขมับที่เจ็บปวดและผุดลุกขึ้นนั่งทันที
เขากวาดสายตามองดูรอบๆก็พบว่ามีเพียงความมืดอันเป็นอนันต์อยู่รายรอบตัวเขา
ไร้ซึ่งสรรพสิ่งและสรรพเสียง ทุกอย่างคือความว่างเปล่า
ความกว้างใหญ่ของสิ่งที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขากระจายตัวออกไปอย่างหนาแน่นด้วยจุดสีเงินนับพันๆจุด
ซึ่งแต่ละจุดนั้นคือดวงดาวดวงหนึ่ง
หมู่ดาวนับพันๆดวงมีการกระจายตัวออกไปตามกฏเกณฑ์บางอย่าง
มันดูลึกลับและกว้างใหญ่ไพศาล
เขาชันตัวขึ้นและพบว่าตนเองสามารถก้าวเดินไปบนความมืดมิดเหนือหมู่ดาวได้อย่างราบรื่นและน่าอัศจรรย์
!
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved