ตอนที่ 290

ร่วงหล่นสู่สุญญตาแห่งดวงดารา

จี้เทียนซิงเดินวนเวียนรอบหินแกะสลักลู่อู๋อยู่หลายรอบพลางสังเกตมันอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ไม่เห็นร่องรอยใดๆ

ดังนั้นเขาจึงปีนขึ้นไปเหนือร่างของรูปสลักหินลู่อู๋เพื่อสังเกตมันในระยะใกล้

หินแกะสลักนี้เต็มไปด้วยลวดลายลึกลับในบางส่วน

แต่ส่วนใหญ่ได้ถูกกัดกร่อนอย่างรุนแรงจากกาลเวลา พื้นผิวของมันถูกปกคลุมไปด้วยรอยแตกและรอยขรุขระ

จี้เทียนซิงสัมผัสได้เลือนรางว่าหินแกะสลักนี้จะต้องมีความลึกลับใดๆซ่อนอยู่

มันดูเหมือนจะมีกลิ่นอายของข่ายอาคม

แต่นี่เป็นเพียงการคาดเดาของเขาและมันก็ไม่แน่ว่าจะถูกต้องในขณะนี้

ในเวลานี้เองเขาปีนขึ้นไปด้านบนของหินแกะสลักลู่อู๋และยืนอยู่ที่จุดสูงสุดเพื่อมองดูรอบๆ

ทันใดนั้นเขาก็พบว่ามีเงาร่างดำๆตั้งอยู่ในทะเลทรายห่างออกไปหลายสิบไมล์

เขาจดจ่ออยู่กับการเฝ้ามองครู่หนึ่งและได้เห็นว่าร่างสีดำนั้นดูเหมือนจะเป็นรูปแกะสลักหินโบราณอีกหนึ่งตัว

“ที่นี่มีรูปปั้นแกะสลักหินมากกว่าหนึ่งตัว ?”

ชายหนุ่มส่งเสียงกระซิบในใจ

ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง

ต่อมาจี้เทียนซิงก็ผละจากรูปปั้นแกะสลักลู่อู๋และวิ่งไปกว่าไมล์บนทะเลทรายสีเหลือง

ในที่สุดก็มาถึงประติมากรรมหินสีดำอีกหนึ่งก้อน

รูปสลักหินสีดำนี้ก็ถูกฝังจมอยู่ในกองทรายสีเหลือง

ส่วนที่โผล่มามีเพียงครึ่งหนึ่งซึ่งมีความสูงประมาณ 50 เมตร

พื้นผิวของหินแกะสลักเป็นรอยด่างและรอยแตกจากอิทธิพลของลมและน้ำค้างแข็ง

มันทำให้รูปแบบอาคมที่ซับซ้อนและสัญลักษณ์ดูเลือนลาง

ยิ่งไปกว่านั้น

รูปปั้นหินนี้ก็เป็นสัตว์อสูรบรรพกาลเช่นเดียวกัน, มันคือนกยักษ์ตัวหนึ่งที่มีท่าทางดุร้ายและสยายปีกราวกับทะยานสู่สวรรค์

จี้เทียนซิงจดจำจากตำราได้ว่า

สัตว์อสูรตัวนี้สมควรเรียกว่าอสูรมังกรอินทรี [兽龙鹰 โซ่วหลงหยิง]

เป็นเรื่องน่าเสียดายที่หินแกะสลักนั้นหักโค่นไปและชิ้นส่วนขนาดใหญ่ก็พังลง

ทำให้ส่วนหัวของมันหายไป

เขาลองเดินหาเบาะแสรอบๆรูปปั้นมังกรอินทรีอยู่พักใหญ่และยังไม่ได้ข้อสรุปอะไรคืบหน้า

รูปปั้นแกะสลักเหล่านี้เก่าแก่เกินจะจินตนาการ

อีกทั้งยังผ่านมรสุมของกาลเวลาและดินฟ้าอากาศ

ถึงแม้จะมีร่องรอยของข่ายปราณและข่ายอาคมอย่างเลือนลางก็ยังไม่สามารถมองออกว่าเป็นอาคมชนิดใด

จี้เทียนซิงลอบสันนิษฐานว่ารูปปั้นมังกรอินทรีตัวนี้กับรูปปั้นลู่อู๋ที่อยู่ห่างกันกว่าสิบไมล์นั้น

มิได้มีการเชื่อมโยงใดๆต่อกัน

เขาขมวดคิ้วครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นมองดูทะเลทรายรอบไปๆอย่างพินิจพิเคราะห์

ในไม่ช้า

เขาก็เห็นบางอย่างในทะเลทรายทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ มันมีรูปปั้นหินสีดำอยู่ห่างออกไปประมาณสิบไมล์อีกหนึ่งแห่ง

“ยังมีประติมากรรมหินก้อนที่สามอยู่อีกหรือนี่ ?”

จี้เทียนซิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขากระโดดจากด้านหลังของรูปปั้นมังกรอินทรีอย่างรวดเร็วและรีบมุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงใต้

หลังจากนั้นไม่นานเขาก็มาถึงประติมากรรมหินก้อนที่สาม

หลังจากการสังเกตอย่างใกล้ชิดเขาก็จดจำได้ทันที รูปปั้นหินนี้ก็เป็นสัตว์อสูรโบราณในตำนานอีกตัวหนึ่ง

มันคืออีกาทองสามขา

สภาพของรูปปั้นอีกาทองสามขาก็เป็นเช่นเดียวกับอีกสองตัวก่อนหน้านี้

มีหลายส่วนที่หลุดหายและเสียหาย

จี้เทียนซิงยืนอยู่ด้านบนสุดของรูปปั้นและกวาดตามองดูรอบๆ

ในไม่ช้าเขาก็เห็นร่องรอยของรูปปั้นหินอีกสองชนิด

ตัวหนึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือและอีกอันหนึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งอยู่ห่างจากเขามากกว่าสิบไมล์

หลังจากการสังเกตเป็นเวลานานเขาได้ตระหนักถึงการรูปปั้นหินแกะสลักขนาดใหญ่อีกสองตัว

ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นสัตว์อสูรบรรพกาล

เขายังคงทอดสายตาสังเกตรอบๆอย่างถี่ถ้วน

ในไม่ช้าก็เห็นรูปปั้นโบราณของสัตว์อสูรชนิดต่างๆ

นอกจากลู่อู๋, มังกรอินทรี, อีกาทองสามขา

เขายังพบกิเลนวายุ [嘲风 เฉาเฟิง], กระทิงขาเดียวและสัตว์อื่นๆอีกมากมาย

ท้ายที่สุดเขาพบหินแกะสลักรูปปั้นสัตว์โบราณกว่าสิบสองชนิดในทะเลทรายรอบรัศมีห้าสิบไมล์

งานแกะสลักรูปปั้นหินสัตว์อสูรต่างๆเหล่านี้จัดเรียงตามกฏเกณฑ์และทิศทางพิเศษและมีการเชื่อมต่อกันเป็นวงกลม

เขาเดินไปที่ทะเลทรายและยืนอยู่ในเนินทรายที่ยกขึ้นสูงจากพื้นดิน

ที่สามารถมองเห็นรูปปั้นหินทั้งสิบสองรอบตัวเขาได้อย่างชัดเจน

ค่อนข้างแปลกคือเนินทรายใต้เท้าของเขาอยู่ห่างจากหินแต่ละก้อนออกไป

19 ไมล์พอดิบพอดี !

จี้เทียนซิงตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้ว

!

รูปปั้นแกะสลักสิบสองสัตว์อสูรบรรพกาลนั้นถูกจัดเรียงไว้ด้วยกลิ่นอายของข่ายปราณลึกลับ

!

“ประติมากรรมสัตว์อสูรโบราณพวกนี้ดูแปลกๆ

มันอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับทะเลสาบจันทร์เต็มดวงเป็นแน่ พวกมันไม่มีทางปรากฏที่นี่โดยไม่มีเหตุผล...”

“ข้าต้องศึกษามัน บางทีอาจจะสามารถแกะรอยทะเลสาบจันทร์เต็มดวงและลูกปัดแห่งดวงดาราได้จากรูปปั้นแกะสลักที่แตกต่างกันพวกนี้”

ชายหนุ่มลูบคางพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

ครึ่ก....ครึ่ก

ครืนนนนน !!

ในเวลานี้เองท้องฟ้าที่แต่เดิมยังคงสว่างแจ่มใสกลับเกิดเหตุการณ์แปลกๆขึ้น

ก้อนเมฆเริ่มแตกตัวออก

ทันใดนั้นทะเลทรายที่สงบนิ่งก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงราวกับเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ !

เสียงอู้อี้ดัง

"แกร่ก  เปรี๊ยะ" ดังขึ้น พื้นลำธารกว้างเกิดการปริแตกและทะเลทรายหลายสิบไมล์รอบๆเริ่มที่จะยุบตัวลง

น่าประหลาดที่มีเพียงสัตว์อสูรโบราณทั้งสิบที่ล้อมรอบอยู่นั้นเริ่มทรุดตัวและจมลง

นอกเหนือจากปรากฏการณ์นี้

นอกพื้นที่นี้พื้นดินยังดูสงบและท้องฟ้ายังคงแจ่มใสราวกับว่าเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นเพียงจุดที่เขายืนอยู่เพียงจุดเดียว

!

จี้เทียนซิงหน้าถอดสีทันทีและพยายามจะวิ่งหนีออกไป

เขารู้อย่างชัดเจนว่าการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงเช่นนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับรูปปั้นแกะสลักสิบสองสัตว์อสูรแน่นอน

อย่างไรก็ตาม

ทันทีที่เขารีบวิ่งลงจากเนินทราย ทะเลทรายที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาพลันทรุดตัวลง มีหลุมดำขนาดมหึมาไร้ก้นอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา

มันราวกับเหวลึกไร้สิ้นสุดซึ่งดูดกลืนทรายสีเหลืองอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น !

“บ้าชิบ

เกิดบ้าอะไรขึ้น !”

ชายหนุ่มพลันสบถออกมาด้วยความตกใจ

แต่เขาก็หนีไม่พ้นแรงดูดนี้และถูกดูดลงไปในเหวที่มืดมิดใต้ฝ่าเท้า

เขารู้สึกราวกับกำลังตกลงไปในนรก

ไม่รู้ว่าใช้เวลานานเท่าไหร่

ทันใดนั้นเขาก็ได้เห็นจุดจบของก้นเหวใต้ฝ่าเท้าของเขาและมีแสงสลัวๆส่องออกมา

เมื่อเขาดิ่งลงมาด้วยความเร็วยิ่งยวดและใกล้กับแสงสลัวจุดนั้นมากขึ้น

เขาค้นพบว่ามันเป็นม่านแสงสีเงินที่ไร้ขอบเขตและกว้างใหญ่ไพศาล

ในเวลาต่อมา

เขาได้พุ่งเข้าไปในม่านแสงสีเงินซีดแห่งนั้นอย่างรวดเร็ว

“ปัง !”

เกิดเสียงปะทะอันรุนแรงดังสนั่นที่ระเบิดขึ้นในใจของเขา

เขาเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงผสานกับความสับสนและหมดสติไปในทันที

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาได้ผ่านม่านแสงสีเงินซีดในอาการไร้สติและตกลงไปในสุญญตาอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต

มันคือความว่างเปล่าที่ทั้งมืดมิดและหนาวเย็น

มีเพียงแสงกระพริบปรายๆจากดวงดาราที่ส่องสว่างจากในระยะไกล

ความเร็วในการดิ่งของเขาเริ่มช้าลง

ช้าลงและหยุดลงในที่สุด

เขาล่องลอยอยู่ในความว่างเปล่าและหยุดนิ่ง

เห็นได้ชัดว่าใต้เท้าของเขาคือความว่างเปล่า

แต่มันดูเหมือนจะมีพื้นดินที่มองไม่เห็นได้เกาะร่างของเขาเอาไว้อย่างมั่นคงมิให้ล่องลอยออกไป

เขาสติอยู่ในอาการโคม่า

จมอยู่ในความว่างเปล่า หลับไหลอย่างเงียบงันราวกับจะถูกหลอมรวมเข้ากับสุญญตาอันกว้างใหญ่ไร้สิ้นสุด

ความว่างเปล่านี้ไร้ซึ่งสรรพเสียง

กาลเวลผ่านไปอย่างเงียบงัน

ไม่มีผู้ใดทราบว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด

สามวัน ห้าวัน สามเดือนหรือห้าเดือน  แต่จี้เทียนซิงก็ได้สติขึ้นมาได้ที่สุด

ชายหนุ่มเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ

ยกมือขึ้นกุมขมับที่เจ็บปวดและผุดลุกขึ้นนั่งทันที

เขากวาดสายตามองดูรอบๆก็พบว่ามีเพียงความมืดอันเป็นอนันต์อยู่รายรอบตัวเขา

ไร้ซึ่งสรรพสิ่งและสรรพเสียง ทุกอย่างคือความว่างเปล่า

ความกว้างใหญ่ของสิ่งที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขากระจายตัวออกไปอย่างหนาแน่นด้วยจุดสีเงินนับพันๆจุด

ซึ่งแต่ละจุดนั้นคือดวงดาวดวงหนึ่ง

หมู่ดาวนับพันๆดวงมีการกระจายตัวออกไปตามกฏเกณฑ์บางอย่าง

มันดูลึกลับและกว้างใหญ่ไพศาล

เขาชันตัวขึ้นและพบว่าตนเองสามารถก้าวเดินไปบนความมืดมิดเหนือหมู่ดาวได้อย่างราบรื่นและน่าอัศจรรย์

!