ตอนที่ 244

ประชุมสภาแปดนิกาย

หลังจากกลับมาถึงตำหนักเทียนซิง

จี้เทียนซิงก็พาเฉียนเยวี่ยไปที่ห้องตำรา

เขานั่งลงบนเก้าอี้ไม้หวายและมีสีหน้าครุ่นคิดจริงจัง

เห็นได้ชัดว่าเขามีความวิตกกังวลบางอย่าง

เฉียนเยวี่ยคิดว่านี่เป็นหายนะสำหรับมันแล้ว

จี้เทียนซิงจะต้องทุบตีลงโทษมันแน่นอน

ดังนั้นมันจึงเผยรอยยิ้มประจบประแจงออกมาและพูดว่า

“แหะๆ สหายจี้ เจ้าต้องสาละวนอยู่บนภูเขาห่างไกลตั้งหลายวัน

คงเหนื่อยล้ามิใช่น้อย มามะข้านวดหลังให้...”

จี้เทียนซิงเหลือบตามองอีกฝ่ายและเขกหัวน้อยๆของมัน

เขากล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “เจ้าก็ติดตามข้ามาตั้งนาน

ไม่รู้หรือไงว่าการประจบประแจงของเจ้านั้นใช้ไม่ได้ผลกับข้า ?”

“แต่จะว่าไปเรื่องนี้ก็แปลก มันราวกับว่ามีบางคนคำนวณไว้หมดแล้ว

เจ้าว่ามั้ย ?”

เฉียนเยวี่ยพยักหน้าและกล่าวด้วยเสียงไม่พอใจว่า

“ข้าก็ว่างั้น ช่วงสองวันที่ผ่านมา

ข้านั่งคิดนอนคิดไตร่ตรองอยู่ตลอด

แต่ก็ไม่คิดไม่ออกว่าใครที่มาวางแผนหาเรื่องใส่ความข้าเช่นนี้”

“น่าโมโหนัก ปกติจะมีแต่ข้าที่แกล้งคนอื่น

ไม่เคยมีใครแกล้งข้ามาก่อน อย่าให้รู้นะว่าเป็นใคร ข้าจะให้มันชดใช้เป็นสิบเท่า !”

จี้เทียนซิงพยักหน้าและพูดอย่างใจเย็นว่า

“เฉียนเยวี่ย เจ้าต้องเล่าให้ข้าฟังให้ละเอียดถึงสาเหตุของเหตุการณ์ในวันนั้น สัตว์วิญญาณในสวนหลิงโซ่วถูกชุบเลี้ยงมาเป็นเวลาหลายปี

พวกมันมีจิตใจดีงามย่อมไม่บ้าคลั่งโดยไร้เหตุผล”

เฉียนเยวี่ยก็เห็นด้วยกับประเด็นนี้ เมื่อมันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติก็เลยเล่าออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ

หลังจากมันเล่าจบแล้ว

จี้เทียนซิงก็ขมวดคิ้วและถามว่า "ศิษย์สตรีที่พาเจ้าไปที่สวนหลิงโซ่วมีชื่อว่าอะไร

? นางเป็นศิษย์ของสวนหลิงโซ่ว ?”

เฉียนเยวี่ยกระพริบตาและถามว่า

“สหายจี้ เจ้าสงสัยว่านางเป็นผู้วางแผนต่อข้างั้นหรือ ?”

จี้เทียนซิงพยักหน้า “ก็อาจเป็นไปได้”

เฉียนเยวี่ยครุ่นคิดอย่างรอบคอบและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า

“แต่ข้าไม่คิดว่าเป็นนาง”

“ข้าทะเล่อทะล่าเข้าไปในยอดเขาโดยบังเอิญ นางไม่รู้มาก่อนเลยด้วยซ้ำว่าข้าอยากไปเที่ยวเล่นในสวนหลิงโซ่ว”

“นอกจากนี้ ทั่วทั้งนิกายก็มีเพียงไม่กี่คนที่ทราบเกี่ยวกับตัวตนของข้า

ศิษย์สตรีนางนั้นไม่เคยพบข้ามาก่อน นางไม่รู้จักตัวตนของข้า

และยิ่งไม่รู้ว่าข้ากับเจ้ามีความสัมพันธ์กัน

ดังนั้นพวกเราตัดนางออกไปจากผู้ต้องสงสัยได้เลย”

รอยย่นที่หว่างคิ้วของจี้เทียนซิงยิ่งหนาแน่นขึ้น

เขากระซิบกระซาบกับตัวเองว่า “เช่นนั้นแล้วใครเป็นคนทำกันแน่นะ...”

เฉียนเยวี่ยกระพริบตากลมโตและพยายามไตร่ตรองดู

ทันใดนั้นดวงตาของมันก็มีแสงเปล่งประกาย

“สหายจี้ ข้าพอจะเดาออกแล้วว่าใครเป็นคนทำ !”

“ภายในนิกายพันธมิตรสวรรค์

มีเพียงผู้ที่อยู่ในตำหนักไท่อันของตาเฒ่าเซี่ยงหวู่จี้เท่านั้นที่ทราบถึงตัวตนของข้าและความสัมพันธ์ของพวกเรา

หนึ่งคือตัวตาเฒ่าเอง  สองคือทาสกระบี่

ซึ่งสองคนนี้ไม่มีทางคิดร้ายต่อข้าแน่นอน  แต่พวกเราลืมนึกไปถึงอีกคนหนึ่ง !”

“ไป๋หวู่เชิน มันก็เป็นอีกคนที่รู้เรื่องข้า  นอกจากนี้มันก็เกลียดชังเจ้าพอดู

ดังนั้นข้าเดาว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นฝีมือของมันนี่แหละ !”

หลังจากฟังการวิเคราะห์และการคาดเดาของเฉียนเยวี่ย

จี้เทียนซิงก็ตกใจ แววตาเริ่มมืดมดลง

เมื่อครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดเขาก็พยักหน้า “ถูกแล้วเฉียนเยวี่ย การวิเคราะห์ของเจ้าสมเหตุสมผลมาก”

“ไป๋หวู่เชินจอมเจ้าเล่ห์ผู้นี้เริ่มลงมือกับข้าแล้วสินะ

!” กระซิบด้วยเสียงแผ่วเบา

ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยแสงเย็น

เฉียนเยวี่ยก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธเช่นกัน

หากพลังของมันฟื้นคืนกลับมาทั้งหมดแน่นอนว่ามันจะต้องฉีกไป๋หวู่เชินเป็นชิ้นๆแล้วจับกินเป็นอาหาร”

ในขณะนี้เองเสียงสดใสของสาวใช้นามว่าเสี่ยวซวงก็ดังออกมาจากนอกห้องทันที

“ศิษย์พี่เทียนซิงเจ้าคะ

ศิษย์พี่หญิงใหญ่หยุนเหยามาเยี่ยมท่าน

นางแจ้งว่ามีเรื่องสำคัญที่ต้องพูดคุยกับท่าน”

เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวซวง

จี้เทียนซิงก็ปรับอารมณ์ในทันทีและเลิกคิ้วขึ้นพลางถามว่า “ศิษย์พี่ใหญ่มาหาข้างั้นหรือ ?”

เขาลุกขึ้นและเดินออกจากห้องตำรามาถึงหน้าประตูตำหนัก

เขาได้เห็นหยุนเหยากำลังยืนรออยู่ที่ประตูอย่างเงียบงัน

จี้เทียนซิงเดินตรงไปหานางและเผยรอยยิ้มพลางกล่าวว่า

“ศิษย์พี่ใหญ่มาเยี่ยมข้า

ขออภัยที่ทำให้ท่านต้องรอ”

หยุนเหยาผงกศีรษะให้อีกฝ่ายเล็กน้ออยและเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า

“เมื่อวานนี้ข้าก็มาหาเจ้า

แต่สาวใช้แจ้งว่าเจ้าไม่อยู่”

จี้เทียนซิงยิ้มเจื่อนและถามว่า

“ไม่ทราบว่าศิษย์พี่ใหญ่มีเรื่องอะไรถึงได้ตามหาข้า

?”

หยุนเหยาพยักหน้าและกล่าวว่า

“เข้าไปในห้องก่อนแล้วค่อยพูดกัน”

จี้เทียนซิงเอียงคอด้วยความงุนงง

แต่ก็ผายมือเชื้อเชิญนางเข้าไปในตำหนัก

ทั้งสองเดินผ่านลานเล็กๆและเข้าไปในห้องตำรา

ทันทีที่หยุนเหยาเข้ามาในห้องตำราและได้เห็นเฉียนเยวี่ย

นางก็อดไม่ได้ที่จะกระพริบตาปริบ

นางมองเฉียนเยวี่ยและหันไปมองจี้เทียนซิงพลางถามว่า

“ศิษย์น้องเทียนซิง นี่คือสัตว์เลี้ยงของเจ้า ?”

“ก็ทำนองนั้น มันชื่อว่าเฉียนเยวี่ย” จี้เทียนซิงยิ้มและพยักหน้า

โดยไม่ต้องให้ชายหนุ่มพูด

เฉียนเยวี่ยก็รู้งานเป็นอย่างดี มันบินไปหาหยุนเหยาและเป็นฝ่ายเริ่มทักทายนางก่อนอย่างเฉลียวฉลาด

มันเรียนรู้จากกิริยาท่าทางของจี้เทียนซิงและคารวะหยุนเหยาด้วยน้ำเสียงไพเราะว่า

“เฉียนเยวี่ยคารวะศิษย์พี่หญิงใหญ่ !”

“พี่หญิงใหญ่

ท่านช่างงดงามเกินกว่าจะเอื้อนเอ่ยเป็นคำพูด ความงามของท่านราวกับนางฟ้านางสวรรค์บนท้องนภา.....”

นางคือหยุนเหยาผู้สงบนิ่งเหมือนน้ำ

อารมณ์ของนางไม่เหมาะกับการถูกป้อยอเช่นนี้จนอดไม่ได้ที่เผยสีหน้าแปลกๆออกมา

อย่างไรก็ตาม

นางเหยียดนิ้วเรียวยาวขาวผ่องออกมาจากแขนเสื้อหลวมกว้างและลูบศีรษะของเฉียนเยวี่ยเบาๆ  มุมปากที่แดงระเรื่อปรากฏรอยยิ้มพิมพ์ใจที่หาได้ยากออกมา “เจ้าตัวน้อยช่างพูดจานัก น่าสนใจ”

จี้เทียนซิงได้เห็นใบหน้าอันงดงามของนางจากด้านข้าง

อีกทั้งยังได้เห็นรอยยิ้มบนริมฝีปากคู่นั้น เขาอดไม่ได้ที่จะเหม่อมองจนตะลึงลานและรู้สึกว่านางช่างงดงามยิ่งนัก

ในความประทับใจของเขา

นี่เป็นครั้งที่สองที่หยุนเหยายิ้ม

ราวกับนางเซียนสวรรค์ผู้งดงาม

แม้เพียงแค่รอยยิ้มของนางก็พอที่จะล่มประเทศได้

อย่างไรก็ตาม

รอยยิ้มบนใบหน้าที่งดงามของนางกลับมาบรรจบกันอย่างรวดเร็วและหันมาพูดกับจี้เทียนซิงว่า

“ศิษย์น้องเทียงซิง วันนี้ข้ามีเรื่องสำคัญที่จะต้องบอกต่อเจ้า”

เฉียนเยวี่ยฉลาดมาก

มันหุบปากสนิทและบินไปนั่งยองๆที่โต๊ะโดยไม่รบกวนทั้งสอง

จี้เทียนซิงพยักหน้าและพูดว่า

“ศิษย์พี่ใหญ่เชิญกล่าว”

หยุนเหยากล่าวอย่างเคร่งขรึม

“อีกสามวันข้างหน้าจะเป็นวันประชุมสภาแปดนิกายที่ยอดเขาซิงเฉิน”

“ในเวลานั้นประมุขนิกายและหัวหน้าศิษย์ของแต่ละสำนักล้วนต้องไปเข้าร่วมเพื่อหารือเกี่ยวกับปัญหาของดินแดนดาราบรรพกาลและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับนิกายอื่น”

“แต่ครั้งนี้ท่านอาจารย์มิอาจเดินทางไปได้เนื่องจากมีความคืบหน้าเกี่ยวกับสุสานพันปีในภูเขามังกร  ดังนั้นท่านจึงต้องไปที่นั่นด้วยตนเองเพื่อศึกษามหาข่ายปราณ

ก่อนจะไปท่านได้มอบหมายให้ข้ากับเจ้าไปเป็นตัวแทนเข้าประชุมสภาแปดนิกาย”

หยุนเหยาอธิบายสรุปรวบรัดเกี่ยวกับที่ตั้งและจุดประสงค์ของการประชุมสภาแปดนิกาย

รวมไปถึงถ่ายทอดคำสั่งของฉู่เทียนเซิง

จี้เทียนซิงตกตะลึงในทันที

สีหน้าแสดงออกอย่างไม่อยากเชื่อ “สภาของทั้งแปดนิกายก็เปรียบดั่งการประชุมสุดยอดของอาณาจักรเทียนเฉิน

แต่ท่านอาจารย์กลับไม่ไปเข้าร่วม แต่มอบหมายให้ข้ากับท่านไปแทน ?”

หากเขาไม่ได้ยินคำพูดเหล่านี้จากปากของหยุนเหยา

เขาก็ไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องจริง

หยุนเหยาเป็นหัวหน้าศิษย์ของนิกายพันธมิตรสวรรค์

ดังนั้นการเข้าร่วมประชุมสภาแปดนิกายของนางนั้นถือเป็นเรื่องปกติ

แต่ตัวเขาเพิ่งเข้านิกายได้ไม่กี่เดือนก่อนที่จะกลายมาเป็นศิษย์สายตรง

เหตุใดฉู่เทียนเซิงถึงได้มอบหมายหน้าที่สำคัญใหญ่หลวงเช่นนี้ให้ ?

“ศิษย์พี่ใหญ่ เรื่องนี้ไม่น่าขันไปหน่อยหรือ ?”

“ตัวข้านั้นไม่มีปัญหาในการเข้าร่วมงานในฐานะตัวแทนของท่านประมุขหรอก

แต่ประมุขนิกายอื่นๆเล่า ?  พวกเขาต้องไม่พอใจนิกายเราเป็นอย่างมากแน่นอน”

หยุนเหยาพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ

“ตอนที่ข้าได้ได้ยินคำสั่งของท่านอาจารย์

ข้าก็คิดและรู้สึกเหมือนเจ้าในยามนี้เช่นกัน”

“แต่นี่เป็นคำสั่งของประมุขนิกาย สิ่งที่เขาตัดสินใจก็ย่อมมีเหตุผลของเขา”