ประชุมสภาแปดนิกาย
หลังจากกลับมาถึงตำหนักเทียนซิง
จี้เทียนซิงก็พาเฉียนเยวี่ยไปที่ห้องตำรา
เขานั่งลงบนเก้าอี้ไม้หวายและมีสีหน้าครุ่นคิดจริงจัง
เห็นได้ชัดว่าเขามีความวิตกกังวลบางอย่าง
เฉียนเยวี่ยคิดว่านี่เป็นหายนะสำหรับมันแล้ว
จี้เทียนซิงจะต้องทุบตีลงโทษมันแน่นอน
ดังนั้นมันจึงเผยรอยยิ้มประจบประแจงออกมาและพูดว่า
“แหะๆ สหายจี้ เจ้าต้องสาละวนอยู่บนภูเขาห่างไกลตั้งหลายวัน
คงเหนื่อยล้ามิใช่น้อย มามะข้านวดหลังให้...”
จี้เทียนซิงเหลือบตามองอีกฝ่ายและเขกหัวน้อยๆของมัน
เขากล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “เจ้าก็ติดตามข้ามาตั้งนาน
ไม่รู้หรือไงว่าการประจบประแจงของเจ้านั้นใช้ไม่ได้ผลกับข้า ?”
“แต่จะว่าไปเรื่องนี้ก็แปลก มันราวกับว่ามีบางคนคำนวณไว้หมดแล้ว
เจ้าว่ามั้ย ?”
เฉียนเยวี่ยพยักหน้าและกล่าวด้วยเสียงไม่พอใจว่า
“ข้าก็ว่างั้น ช่วงสองวันที่ผ่านมา
ข้านั่งคิดนอนคิดไตร่ตรองอยู่ตลอด
แต่ก็ไม่คิดไม่ออกว่าใครที่มาวางแผนหาเรื่องใส่ความข้าเช่นนี้”
“น่าโมโหนัก ปกติจะมีแต่ข้าที่แกล้งคนอื่น
ไม่เคยมีใครแกล้งข้ามาก่อน อย่าให้รู้นะว่าเป็นใคร ข้าจะให้มันชดใช้เป็นสิบเท่า !”
จี้เทียนซิงพยักหน้าและพูดอย่างใจเย็นว่า
“เฉียนเยวี่ย เจ้าต้องเล่าให้ข้าฟังให้ละเอียดถึงสาเหตุของเหตุการณ์ในวันนั้น สัตว์วิญญาณในสวนหลิงโซ่วถูกชุบเลี้ยงมาเป็นเวลาหลายปี
พวกมันมีจิตใจดีงามย่อมไม่บ้าคลั่งโดยไร้เหตุผล”
เฉียนเยวี่ยก็เห็นด้วยกับประเด็นนี้ เมื่อมันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติก็เลยเล่าออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ
หลังจากมันเล่าจบแล้ว
จี้เทียนซิงก็ขมวดคิ้วและถามว่า "ศิษย์สตรีที่พาเจ้าไปที่สวนหลิงโซ่วมีชื่อว่าอะไร
? นางเป็นศิษย์ของสวนหลิงโซ่ว ?”
เฉียนเยวี่ยกระพริบตาและถามว่า
“สหายจี้ เจ้าสงสัยว่านางเป็นผู้วางแผนต่อข้างั้นหรือ ?”
จี้เทียนซิงพยักหน้า “ก็อาจเป็นไปได้”
เฉียนเยวี่ยครุ่นคิดอย่างรอบคอบและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
“แต่ข้าไม่คิดว่าเป็นนาง”
“ข้าทะเล่อทะล่าเข้าไปในยอดเขาโดยบังเอิญ นางไม่รู้มาก่อนเลยด้วยซ้ำว่าข้าอยากไปเที่ยวเล่นในสวนหลิงโซ่ว”
“นอกจากนี้ ทั่วทั้งนิกายก็มีเพียงไม่กี่คนที่ทราบเกี่ยวกับตัวตนของข้า
ศิษย์สตรีนางนั้นไม่เคยพบข้ามาก่อน นางไม่รู้จักตัวตนของข้า
และยิ่งไม่รู้ว่าข้ากับเจ้ามีความสัมพันธ์กัน
ดังนั้นพวกเราตัดนางออกไปจากผู้ต้องสงสัยได้เลย”
รอยย่นที่หว่างคิ้วของจี้เทียนซิงยิ่งหนาแน่นขึ้น
เขากระซิบกระซาบกับตัวเองว่า “เช่นนั้นแล้วใครเป็นคนทำกันแน่นะ...”
เฉียนเยวี่ยกระพริบตากลมโตและพยายามไตร่ตรองดู
ทันใดนั้นดวงตาของมันก็มีแสงเปล่งประกาย
“สหายจี้ ข้าพอจะเดาออกแล้วว่าใครเป็นคนทำ !”
“ภายในนิกายพันธมิตรสวรรค์
มีเพียงผู้ที่อยู่ในตำหนักไท่อันของตาเฒ่าเซี่ยงหวู่จี้เท่านั้นที่ทราบถึงตัวตนของข้าและความสัมพันธ์ของพวกเรา
หนึ่งคือตัวตาเฒ่าเอง สองคือทาสกระบี่
ซึ่งสองคนนี้ไม่มีทางคิดร้ายต่อข้าแน่นอน แต่พวกเราลืมนึกไปถึงอีกคนหนึ่ง !”
“ไป๋หวู่เชิน มันก็เป็นอีกคนที่รู้เรื่องข้า นอกจากนี้มันก็เกลียดชังเจ้าพอดู
ดังนั้นข้าเดาว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นฝีมือของมันนี่แหละ !”
หลังจากฟังการวิเคราะห์และการคาดเดาของเฉียนเยวี่ย
จี้เทียนซิงก็ตกใจ แววตาเริ่มมืดมดลง
เมื่อครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดเขาก็พยักหน้า “ถูกแล้วเฉียนเยวี่ย การวิเคราะห์ของเจ้าสมเหตุสมผลมาก”
“ไป๋หวู่เชินจอมเจ้าเล่ห์ผู้นี้เริ่มลงมือกับข้าแล้วสินะ
!” กระซิบด้วยเสียงแผ่วเบา
ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยแสงเย็น
เฉียนเยวี่ยก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธเช่นกัน
หากพลังของมันฟื้นคืนกลับมาทั้งหมดแน่นอนว่ามันจะต้องฉีกไป๋หวู่เชินเป็นชิ้นๆแล้วจับกินเป็นอาหาร”
ในขณะนี้เองเสียงสดใสของสาวใช้นามว่าเสี่ยวซวงก็ดังออกมาจากนอกห้องทันที
“ศิษย์พี่เทียนซิงเจ้าคะ
ศิษย์พี่หญิงใหญ่หยุนเหยามาเยี่ยมท่าน
นางแจ้งว่ามีเรื่องสำคัญที่ต้องพูดคุยกับท่าน”
เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวซวง
จี้เทียนซิงก็ปรับอารมณ์ในทันทีและเลิกคิ้วขึ้นพลางถามว่า “ศิษย์พี่ใหญ่มาหาข้างั้นหรือ ?”
เขาลุกขึ้นและเดินออกจากห้องตำรามาถึงหน้าประตูตำหนัก
เขาได้เห็นหยุนเหยากำลังยืนรออยู่ที่ประตูอย่างเงียบงัน
จี้เทียนซิงเดินตรงไปหานางและเผยรอยยิ้มพลางกล่าวว่า
“ศิษย์พี่ใหญ่มาเยี่ยมข้า
ขออภัยที่ทำให้ท่านต้องรอ”
หยุนเหยาผงกศีรษะให้อีกฝ่ายเล็กน้ออยและเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า
“เมื่อวานนี้ข้าก็มาหาเจ้า
แต่สาวใช้แจ้งว่าเจ้าไม่อยู่”
จี้เทียนซิงยิ้มเจื่อนและถามว่า
“ไม่ทราบว่าศิษย์พี่ใหญ่มีเรื่องอะไรถึงได้ตามหาข้า
?”
หยุนเหยาพยักหน้าและกล่าวว่า
“เข้าไปในห้องก่อนแล้วค่อยพูดกัน”
จี้เทียนซิงเอียงคอด้วยความงุนงง
แต่ก็ผายมือเชื้อเชิญนางเข้าไปในตำหนัก
ทั้งสองเดินผ่านลานเล็กๆและเข้าไปในห้องตำรา
ทันทีที่หยุนเหยาเข้ามาในห้องตำราและได้เห็นเฉียนเยวี่ย
นางก็อดไม่ได้ที่จะกระพริบตาปริบ
นางมองเฉียนเยวี่ยและหันไปมองจี้เทียนซิงพลางถามว่า
“ศิษย์น้องเทียนซิง นี่คือสัตว์เลี้ยงของเจ้า ?”
“ก็ทำนองนั้น มันชื่อว่าเฉียนเยวี่ย” จี้เทียนซิงยิ้มและพยักหน้า
โดยไม่ต้องให้ชายหนุ่มพูด
เฉียนเยวี่ยก็รู้งานเป็นอย่างดี มันบินไปหาหยุนเหยาและเป็นฝ่ายเริ่มทักทายนางก่อนอย่างเฉลียวฉลาด
มันเรียนรู้จากกิริยาท่าทางของจี้เทียนซิงและคารวะหยุนเหยาด้วยน้ำเสียงไพเราะว่า
“เฉียนเยวี่ยคารวะศิษย์พี่หญิงใหญ่ !”
“พี่หญิงใหญ่
ท่านช่างงดงามเกินกว่าจะเอื้อนเอ่ยเป็นคำพูด ความงามของท่านราวกับนางฟ้านางสวรรค์บนท้องนภา.....”
นางคือหยุนเหยาผู้สงบนิ่งเหมือนน้ำ
อารมณ์ของนางไม่เหมาะกับการถูกป้อยอเช่นนี้จนอดไม่ได้ที่เผยสีหน้าแปลกๆออกมา
อย่างไรก็ตาม
นางเหยียดนิ้วเรียวยาวขาวผ่องออกมาจากแขนเสื้อหลวมกว้างและลูบศีรษะของเฉียนเยวี่ยเบาๆ มุมปากที่แดงระเรื่อปรากฏรอยยิ้มพิมพ์ใจที่หาได้ยากออกมา “เจ้าตัวน้อยช่างพูดจานัก น่าสนใจ”
จี้เทียนซิงได้เห็นใบหน้าอันงดงามของนางจากด้านข้าง
อีกทั้งยังได้เห็นรอยยิ้มบนริมฝีปากคู่นั้น เขาอดไม่ได้ที่จะเหม่อมองจนตะลึงลานและรู้สึกว่านางช่างงดงามยิ่งนัก
ในความประทับใจของเขา
นี่เป็นครั้งที่สองที่หยุนเหยายิ้ม
ราวกับนางเซียนสวรรค์ผู้งดงาม
แม้เพียงแค่รอยยิ้มของนางก็พอที่จะล่มประเทศได้
อย่างไรก็ตาม
รอยยิ้มบนใบหน้าที่งดงามของนางกลับมาบรรจบกันอย่างรวดเร็วและหันมาพูดกับจี้เทียนซิงว่า
“ศิษย์น้องเทียงซิง วันนี้ข้ามีเรื่องสำคัญที่จะต้องบอกต่อเจ้า”
เฉียนเยวี่ยฉลาดมาก
มันหุบปากสนิทและบินไปนั่งยองๆที่โต๊ะโดยไม่รบกวนทั้งสอง
จี้เทียนซิงพยักหน้าและพูดว่า
“ศิษย์พี่ใหญ่เชิญกล่าว”
หยุนเหยากล่าวอย่างเคร่งขรึม
“อีกสามวันข้างหน้าจะเป็นวันประชุมสภาแปดนิกายที่ยอดเขาซิงเฉิน”
“ในเวลานั้นประมุขนิกายและหัวหน้าศิษย์ของแต่ละสำนักล้วนต้องไปเข้าร่วมเพื่อหารือเกี่ยวกับปัญหาของดินแดนดาราบรรพกาลและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับนิกายอื่น”
“แต่ครั้งนี้ท่านอาจารย์มิอาจเดินทางไปได้เนื่องจากมีความคืบหน้าเกี่ยวกับสุสานพันปีในภูเขามังกร ดังนั้นท่านจึงต้องไปที่นั่นด้วยตนเองเพื่อศึกษามหาข่ายปราณ
ก่อนจะไปท่านได้มอบหมายให้ข้ากับเจ้าไปเป็นตัวแทนเข้าประชุมสภาแปดนิกาย”
หยุนเหยาอธิบายสรุปรวบรัดเกี่ยวกับที่ตั้งและจุดประสงค์ของการประชุมสภาแปดนิกาย
รวมไปถึงถ่ายทอดคำสั่งของฉู่เทียนเซิง
จี้เทียนซิงตกตะลึงในทันที
สีหน้าแสดงออกอย่างไม่อยากเชื่อ “สภาของทั้งแปดนิกายก็เปรียบดั่งการประชุมสุดยอดของอาณาจักรเทียนเฉิน
แต่ท่านอาจารย์กลับไม่ไปเข้าร่วม แต่มอบหมายให้ข้ากับท่านไปแทน ?”
หากเขาไม่ได้ยินคำพูดเหล่านี้จากปากของหยุนเหยา
เขาก็ไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องจริง
หยุนเหยาเป็นหัวหน้าศิษย์ของนิกายพันธมิตรสวรรค์
ดังนั้นการเข้าร่วมประชุมสภาแปดนิกายของนางนั้นถือเป็นเรื่องปกติ
แต่ตัวเขาเพิ่งเข้านิกายได้ไม่กี่เดือนก่อนที่จะกลายมาเป็นศิษย์สายตรง
เหตุใดฉู่เทียนเซิงถึงได้มอบหมายหน้าที่สำคัญใหญ่หลวงเช่นนี้ให้ ?
“ศิษย์พี่ใหญ่ เรื่องนี้ไม่น่าขันไปหน่อยหรือ ?”
“ตัวข้านั้นไม่มีปัญหาในการเข้าร่วมงานในฐานะตัวแทนของท่านประมุขหรอก
แต่ประมุขนิกายอื่นๆเล่า ? พวกเขาต้องไม่พอใจนิกายเราเป็นอย่างมากแน่นอน”
หยุนเหยาพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ
“ตอนที่ข้าได้ได้ยินคำสั่งของท่านอาจารย์
ข้าก็คิดและรู้สึกเหมือนเจ้าในยามนี้เช่นกัน”
“แต่นี่เป็นคำสั่งของประมุขนิกาย สิ่งที่เขาตัดสินใจก็ย่อมมีเหตุผลของเขา”
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved