ตอนที่ 351 เทวาจิตกระบี่จางเทียน

ผู้คนของนิกายกระบี่ฟ้าต่างก็ปรีดาจนเนื้อเต้น  รอคอยที่จะเพลิดเพลินไปกับฉากอันน่าตื่นตาของจี้เทียนซิงที่ตกตายอย่างไม่มีชิ้นดี

ส่วนคนของนิกายพันธมิตรสวรรค์ต่างก็กำหมัดแน่นด้วยความโศกเศร้าและคับแค้นใจ

ดวงตาของพวกมันเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยจนแดงก่ำ

ทันใดนั้นเทียนเจี้ยนจงแค่นเสียงเย็นด้วยความโกรธเกรี้ยว

ยกฝ่ามือขวาขึ้นฟ้า ฟาดซัดเข้าหาจี้เทียนซิงที่อยู่ห่างออกไปเพียงยี่สิบก้าว

"หัตถ์ฟ้าทลาย !!"

"เดรัจฉานน้อย มอบชีวิตมา !”

สิ้นเสียง ฝ่ามือหลากสีสันขนาดมหึมาที่มาพร้อมกับพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่ทำลายแผ่นฟ้า

ปรากฏภาพเบื้องหน้าจี้เทียนซิงในทันที

ชายหนุ่มยังคงสีหน้าหนักแน่นมั่นคงไร้ซึ่งความกลัวและไม่หวั่นไหว

ดวงตาของเขา เพ่งมองจับจ้องไปที่ฝ่ามือหลากสี

เส้นประสาทรับรู้ทุกเส้นตึงแน่นจนถึงขีดสุด

วินาทีที่หัตถ์ฟ้าทลายกระทบร่าง

เงาดำขนาดใหญ่พลันระเบิดขึ้นสู่ท้องฟ้าในทันที ทันที

"วิ้ง

!"

ท่ามกล่างเสียงดังสะเทือนนภา  อนุสาวรีย์กระบี่ยักษ์ที่ตั้งตะหง่านสูงกว่าพันฟุตพลันปรากฏขึ้น

อนุสาวรีย์กระบี่เล่มนี้ประดุจดั่งขุนเขาที่โดดเดี่ยว

โผล่ตั้งขึ้นกลางจัตุรัส ปกคลุมแผ่นฟ้าอย่างสมบูรณ์

ทั่วทั้งจัตุรัสตกอยู่ในรัตติกาลทมิฬ

ไอมรณะปกคลุมไปทุกหย่อมหญ้าโดยไร้ซึ่งขอบเขต

กลิ่นไอแห่งความตายทำให้ทั้งจัตุรัสเสมือนตกอยู่ในฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ

อุณหภูมิลดลงจนสุดขั้ว ทุกคนรู้สึกเย็นสันหลังวูบและตัวสั่น

เงาร่างของจี้เทียนซิงหายไป

ถูกปกคลุมถมทับไว้ด้วยอนุสาวรีย์กระบี่อันตระการตา

เต็มไปด้วยแรงกดทับราวกับทัณฑ์เทวาและความตาย

เขาได้รับการปกป้องจากอนุสาวรีย์กระบี่ดำที่พุ่งทะลุท้องฟ้า

ทอดตามองดูหัตถ์ปราณหลากสีสันที่กระแทกเข้าใส่จังเบอร์

"ตูมมมมม

!!!"

เสียงดังสนั่นสั่นสะเทือนโลกาพลันระเบิดขึ้น

เสียงดังกระจายไปทั่วรัศมีนับร้อยไมล์ และยอดเขากระบี่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดนั้นกลายเป็นสั่นสะเทือนราวกับจะพังพินาศมาทั้งลูก

พลังอันน่าสะพรึงกลัวจากการยุบตัวลงของท้องฟ้าพลันปะทุขึ้นอย่างสมบูรณ์

ปลดปล่อยเปลวเพลิงสีสันสดใสปกคลุมไปทั่วเวหา

“เปิดม่านคุ้มกาย

! เร็ว !”

ผู้ฝึกยุทธ์แทบทุกคนบนยอดเขาต่างก็ถอยรูดไปจนถึงชายขอบจัตุรัสและตะโกนร่ำร้องให้พรรคพวกโคจรพลังปราณใช้ม่านพลังคุ้มกาย

ฝ่ามือลากสีสันกระแทกใส่กระบี่ทมิฬ

ก่อให้เกิดคลื่นกระแทกที่รุนแรง สรรพแสงที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายไปทุกทิศทุกทางกวาดต้อนไปทั่วทั้งภูเขา

พื้นดินของจัตุรัสถูกระเบิดจากแผ่นดินไหว

อีกทั้งยังมีหุบเหวขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นพร้อมกับรอยร้าวปริแตกที่หนาแน่น

ตำหนักและบ้านเรือนที่อยู่ใกล้เคียงหลายสิบแห่งถูกคลื่นแรงสั่นสะเทือนจนทำให้ผนังเกิดรอยร้าวนับไม่ถ้วน

หลังคาโรยด้วยกองหินดินทรายไม่หมดไม่สิ้น

แม้แต่ต้นไม้บนภูเขาก็ยังถูกพัดพาไปด้วยคลื่นกระแทกสรรพสีกลายเป็นเละเทะยุ่งเหยิง

ต้นไม้เล็กๆและวัชพืชถูกถอนรากถอนโคนจนเหี้ยน

ต้นไม้สูงตระหง่านอายุหลายร้อยปีต่างก็หักโค่นลง

ยอดเขากระบี่ศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยริ้วรอยของความพินาศ

ราวกับมันเป็นหายนะจากวันสิ้นโลก

ศิษย์สาวกนับไม่ถ้วนของนิกายกระบี่ฟ้าตัวสั่นเทา หัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม

บ้างก็วิ่งแจ้นหลบหนีไปไกล

เหล่ายอดฝีมือและผู้เข้มแข็งหลายคนในจตุรัสต่างก็มองดูฉากนี้ด้วยอาการตกตะลึง

ฝูงชนมิได้เพียงแค่ตกตะลึงจากพลังทำลายอันน่าสะพรึงของหัตถ์ฟ้าทลายเท่านั้น

แต่ยังมาจากอนุสาวรีย์กระบี่ยักษ์อันลึกลับที่ปรากฏออกมาจากอากาศที่เบาบาง

เทียนจี้เจิ้นเหรินท่ามกลางฝูงชนแหงนหน้าขึ้นมองกระบี่ทมิฬ

ใบหน้าของมันเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ดวงตาสั่นระริกไปด้วยความสยดสยองและเหลือเชื่อ

"จะ.. จิตวิญญาณกระบี่ !  ที่แท้ก็เป็นเทวาจิตกระบี่ !"

"สิ่งนี้ยังคงอยู่ในโลก...  มันยัง...คงอยู่    ในร่างของจี้เทียนซิงงั้นหรือ ?”

ในตอนนี้มวลอารมณ์ของเทียนจี้เจิ้นเหรินกลายเป็นซับซ้อนยิ่ง

มันพลันตระหนักทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาได้ในทันทีและเข้าใจเรื่องราวต่างๆมากมาย

ความรู้สึกของมันยิ่งกลายเป็นตื่นเต้นยินดีเป็นล้นพ้น

แม้แต่เทียนเจี้ยนจงก็ยังมองดูอนุสาวรีย์กระบี่ทมิฬด้วยความประหลาดใจและหลงลืมความโกรธแค้นไปชั่วครู่เลยทีเดียว  คนพึมพำเสียงสั่นออกมาว่า

“สิ่งนี้.... คืออะไรกัน ?”

มันเป็นเวลาเนิ่นนานกว่าที่เปลวเพลิงสรรสีที่ปกคลุมแผ่นฟ้าจะสลายหายไป

เสียงดังก้องกังวานระหว่างพสุธาและเวหาค่อยๆเลือนหาย

ฝูงชนได้เห็นภาพชัดเจนขึ้น

สิ่งที่พวกมันได้เห็นคืออนุสาวรีย์กระบี่ทมิฬที่สูงตระหง่านได้หายไปแล้ว

ทั่วทั้งจัตุรัสเต็มไปด้วยรอยปริแตกเป็นเส้นริ้วลำธาร

แต่จี้เทียนซิงในชุดคลุมสีขาวกลับยืนตัวตรงอยู่ที่จุดนั้น

ร่างกายของมันดูไม่พบร่องรอยบุบสลาย ไร้ซึ่งอาการบาดเจ็บที่เห็นได้ชัดราวกับว่ามันไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างที่ควรจะเป็น

แต่ใบหน้าของเขากลับซีดเหมือนกระดาษ

โลหิตไหลทะลักออกมาปกคลุมปากจมูก ชโลมเสื้อคลุมสีขาวจนเป็นรอยแดง

เขาพยายามประคองสติให้ตื่นตัวอยู่ตลอด

ร่างกายของเขาสั่นสะท้านเล็กน้อยและไม่ได้พูดอะไรออกมา

ดวงตาเพียงจ้องมองไปที่เทียนเจี้ยนจงอย่างเยือกเย็น

แท้จริงแล้วเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสภายในอย่างมาก

อวัยวะภายในแทบทุกส่วนบีบรัดและเจ็บปวดไปทั่วร่าง

ในเวลาเดียวกันเสียงของจิตวิญญาณกระบี่จางเทียนก็ก้องขึ้นในใจ

"ไอ้หนู

พลังของข้ายังไม่ฟื้นฟูเท่าใดนัก

ข้าทำได้เพียงช่วยเจ้าลดทอนพลังของหัตถ์ฟ้าทลายไปได้เจ็ดส่วนเท่านั้น

นี่คือที่สุดของข้าในยามนี้ "

เสียงของจางเทียนกลายเป็นแหบพร่าและฟังดูอ่อนแรง

มันไม่ลึกลับและกดขี่ผู้คนเหมือนกาลก่อน

เห็นได้ชัดว่าเพื่อช่วยชีวิตของจี้เทียนซิงและต้านพลังฝ่ามือของเทียนเจี้ยนจง

มันได้ใช้พลังไปทั้งหมดและต้องรับแรงสะท้อนกลับไม่น้อย

จี้เทียนซิงตอบกลับจางเทียนในใจ “ผู้อาวุโส ขอบคุณท่านมากแล้ว”

"หลังจากแก้ปัญหาความบาดหมางในวันนี้

เทียนเจี้ยนจงจะไม่สามารถลงมือกับนิกายพันธมิตรสวรรค์ได้อีกระยะหนึ่ง  มันจะทำให้ข้าพอมีเวลาเตรียมตัว..”

“ข้าจะต้องพัฒนาพลังฝีมือและตามหาลูกปัดแห่งดวงดาราให้ได้โดยเร็วที่สุด

!”

"เฮอะ !"

จางเทียนแค่นเสียงตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า

จากนั้นก็เงียบไปและนอนหลับสนิทเหมือนกาลก่อน

จี้เทียนซิงช้อนตามองเทียนเจี้ยนจงอย่างเย็นชา

พลางร้องตะโกนในใจด้วยความคั่งแค้นว่า “ประมุขนิกายกระบี่ฟ้า....เกาอวี่ ข้า

จี้เทียนซิงจะจดจำฝ่ามือนี้ไว้ในใจ”

“หลังจากข้าหลอมรวมโลหิตเทพกระบี่

ข้าจะตอบแทนเจ้ากลับคืนเป็นสิบเท่า !”

ในเวลานี้เองทุกคนในจัตุรัสก็เห็นเงาร่างของจี้เทียนซิงชัดตา

พวกมันนับไม่ถ้วนต่างก็แสดงสีหน้าประหลาดใจและอุทานอย่างไม่น่าเชื่อ

"สะ... สวรรค์ !  เป็นไปได้อย่างไร ?!"

"จี้เทียนซิงยังไม่ตาย ?  แม้แต่ร่างกายก็ดูเหมือนไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก

!”

"เหลือเชื่อ ! จี้เทียนซิงมันครอบครองสมบัติบ้าอันใดถึงสามารถหยุดพลังอันแข็งแกร่งในระดับปราณฟ้าได้

?”

"แล้วหอคอยสูงตระหง่านรูปกระบี่ยักษ์นั่นคืออะไรกัน...

?"

"ต่อให้มันเป็นศาสตราวุธวิเศษระดับปราณฟ้าก็ใช่ว่าจะสามารถปลดปล่อยกลิ่นอายยโสโอหังครอบงำสรรพสิ่งได้เยี่ยงนี้

!"

"ไม่น่าแปลกใจเลยที่จี้เทียนซิงกล้ารับฝ่ามือของประมุขเกาตรงๆ

ที่แท้มันครอบครองสมบัติวิเศษที่น่ากลัวเช่นนี้นี่เองมันถึงได้ไร้ความกลัว !”

ทุกคนตกตะลึงและพูดไม่ออก

ภาพที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้ยากที่จะปักใจเชื่อหรือทำความเข้าใจได้

เทียนเจี้ยนจงเบิกตากว้างและกัดแฟนแน่น มันไม่สามารถยอมรับผลลัพธ์นี้ได้

ใบหน้าของมันกลายเป็นบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ ในใจเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและเจตนาฆ่าฟัน

มันจ้องมองจี้เทียนซิงอย่างไม่พอใจและคำรามอย่างบ้าคลั่ง

“จี้เทียนซิง

! ทำไมเจ้าถึงไม่ตาย

?!"

"วันนี้เป็นเพราะเจ้ามีสมบัติวิเศษคุ้มกาย

แต่สักวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว ข้าประมุขจะฆ่าเจ้าให้จงได้ !"

“…..”

จี้เทียนซิงจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาว่างเปล่าและไม่ได้พูดตอบโต้อะไร

วูบ !

ในวินาทีต่อมา หยุนเหยาทะลึ่งกายไปเบื้องหน้าเป็นคนแรก

พุ่งเป็นรุ้งลำแสงไปหาเขาด้วยความเร็วสูงสุด

จ้องมองอีกฝ่ายด้วยความกังวล จากนั้นก็ร้องไห้ระคนดีใจกล่าวว่า “ศิษย์น้องเทียนซิง เจ้ายังไม่ตาย !”

ไม่มีผู้ใดคาดคิด

หยุนเหยาผู้เย่อหยิ่งถือดีและเย็นชาสุดขั้วราวกับนางฟ้าบนสวรรค์กลับออกอาการถึงขนาดนี้

ดวงตาคู่งามที่กระจ่างใสของนางเกิดชั้นหมอกของสายน้ำ

เต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี

หลังจากนั้นแทบจะในทันที ฉู่เทียนเซิงและผู้อาวุโสหลายคนก็มารวมตัวกันเพื่อดูอาการบาดเจ็บของจี้เทียนซิงด้วยความกังวล

จากนั้นผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายพันธมิตรสวรรค์ก็เดินแทรกฝูงชนเข้าไปทางฝั่งนิกายกระบี่ฟ้า

นำตัวเอี๋ยนเอ๋อร์ที่หมดสติกลับคืนมาจากผู้เฒ่านิกายกระบี่ฟ้า