ตอนที่ 373 เทียนจือมาเยือน

เพลงกระบี่ดาราเหินทั้งห้ากระบวนท่าได้ถูกสำแดงออกไปจนครบ

จากนั้นภาพมายาของเซี่ยงหวู่จี้ก็ได้หายไป

จิตสำนึกของจี้เทียนซิงกลับคืนสู่ตัวตน คนเริ่มไตร่ตรองและคิดวิเคราะห์ถึงสองกระบวนท่าสุดท้าย

สองวิถีสุดท้าย ทำลายภูผาและสะบั้นวารี

มันเปี่ยมไปด้วยพลังอันน่าสะพรึงที่สามารถแยกขุนเขาและสายน้ำได้

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นี่เป็นเคล็ดเพลงกระบี่ที่ใช้ออกได้โดยผู้ฝึกยุทธ์ระดับปราณฟ้าที่แข็งแกร่งเท่านั้น

หากจี้เทียนซิงยังคงมีระดับพลังในขอบเขตปราณจิตขั้นที่เก้าและยังมิได้สกัดกลั่นลูกปัดแห่งดวงดารา

เขาไม่มีทางฝึกปรือสองเพลงกระบี่นี้ได้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขากลั่นลูกปัดดวงดาราเข้าไปแล้ว

ความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มขึ้นถึงขอบเขตปราณโอสถขั้นที่สาม

อีกทั้งเขายังได้หลอมรวมโลหิตเทพกระบี่เข้าไปอีกด้วย

หลังจากมุ่งเน้นเพื่อรู้แจ้งถึงเคล็ดความเป็นเวลากว่าหกชั่วยาม

เขาก็ตระหนักถึงแก่นแท้ของมันได้ในที่สุดและเรียนรู้ได้สำเร็จ !

ถึงแม้เขาจะมีพลังแค่ระดับปราณโอสถ

แต่โลหิตเทพกระบี่ในร่างของเขานั้นเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อยิ่ง

มันทำให้ขอบเขตการเรียนรู้และความเข้าใจของเขานั้นเหนือล้ำกว่ามนุษย์ทั่วไป

ยามที่เขาฝึกปรือวิชากระบี่ใดๆในโลก

เขาจะทำได้มากกว่า ใช้เวลาน้อยกว่าและเชี่ยวชาญได้อย่างรวดเร็วกว่าผู้อื่น

หลังจากหกชั่วยามผ่านไป มันก็ถึงยามวิกาล

ท้องฟ้ายามค่ำคืนเต็มไปด้วยดวงดาวและแสงสว่างจากดวงดารานับล้านดวง

มันพร่างพรมและปกคลุมเหนือเวหา ทำให้ลานกว้างแห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยแสงจันทร์ที่สว่างจ้า

เซี่ยงหวู่จี้ยังคงนอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้หวาย คนดื่มจนเมามายหลับไหลนอนกรนเป็นจังหวะ

"ฟุ่บ !"

จี้เทียนซิงจบการฝึกฝนและเปิดตาขึ้น

เขาลุกขึ้นยืน

สะบัดปลายแขนเสื้อยาวและหันศีรษะมองไปยังด้านข้าง

รอยยิ้มตื้นเขินของความอบอุ่นใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า

"ดื่มหนักขนาดนั้นก็ยังอุตส่าห์อยู่ใกล้ๆไม่ห่าง

เขากลัวว่าข้าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นระหว่างฝึกฝนเพลงกระบี่หรือไงกัน ?”

ชายหนุ่มพึมพำในใจ

จากนั้นเดินไปข้างๆเซี่ยงหวู่จี้พลางกระซิบว่า “พระอาจารย์ปู่ ตื่นเถิด

ข้าฝึกเสร็จแล้วขอรับ”

เซี่ยงหวู่จี้ที่กำลังอยู่ในห้วงนิทรา

ตื่นขึ้นในทันที คนเปิดตาขึ้นและขมวดคิ้วพลางถามด้วยน้ำเสียงงัวเงียว่า “เมื่อครู่เจ้าพึมพำว่ากระไรนะ ?  กำลังจะแต่งงานเหรอ ?”

"........ "

จี้เทียนซิงมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ลอบขบคิดในใจว่าต่อไปนี้จะไม่ปลุกคนซี้เซาอีกแล้ว

หลังจากสะบัดศีรษะไปมา เซี่ยงหวู่จี้ก็ได้สติกลับมา

มันเงยหน้าขึ้นมองจี้เทียนซิงและถามด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า “ไอ้หนู เจ้าว่าสำเร็จแล้วคืออะไร ? ฝึกสำเร็จหรือเปล่า ?  หากไม่สำเร็จก็ถือว่าเจ้าแพ้เดิมพัน  จงรั้งอยู่ที่นี่ซะ

ไปนอนที่ห้องเก็บฝืนแล้วทำตัวดีๆกวาดพื้นให้ข้าเดือนหนึ่ง !”

จี้เทียนซิงเลิกคิ้วขึ้นและเผยรอยยิ้มมั่นใจ

คนกล่าวด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าว่า “พระอาจารย์ปู่

ครั้งนี้เกรงว่าข้าคงทำให้ท่านต้องผิดหวัง ท่านต้องกวาดพื้นเองเสียแล้วล่ะขอรับ”

กล่าวจบเขาก็หันหลังและทะยานกายออกไปที่ลานกว้างเตรียมจะสำแดงกระบวนท่าที่สี่ของเพลงกระบี่ดาราเหิน

"พระอาจารย์ปู่ ดูให้ดีนะ !"

ชายหนุ่มแนบนิ้วชี้กับนิ้วกลางไว้ชิดกัน

เหยียดกางออกมาเหมือนดรรชนีกระบี่ จากนั้นกระตุ้นปราณแท้สามส่วนภายในร่าง

ในเวลาอันสั้น

ดรรชนีของเขาเต็มไปด้วยไอกระบี่อันคมกล้า แววตากลายเป็นดุดันเฉียบคม

"สะบั้น....  วารี  !!"

จี้เทียนซิงแค่นเสียงเย็นและตวัดดรรชนีคลื่นกระบี่แสงสีทองยาวสามเมตรออกมา   นำมาซึ่งพลังแยกผืนปฐพี

มันสับผ่าไปยังห้องเก็บฝืนที่มุมลานกว้างอย่างรุนแรง !

"ฉัวะ

!"

เสียงตัดขาดดังขึ้น

ห้องเก็บฝืนที่ทำจากผลึกฟ้าอันแข็งกล้าถูกผ่าครึ่งเป็นสองส่วนด้วยคลื่นกระบี่พลังกระบี่ยักษ์ของจี้เทียนซิงในพริบตา

กระท่อมทั้งหมดถูกผ่ากลางแยกออกจากกัน

แต่มันก็มิได้พังทลายลง เพียงแค่หลงเหลือคูน้ำลึกลงไปในพื้นดิน

ก้อนอิฐที่ก่อขึ้นเป็นกระท่อมและกระเบื้องสีเขียวทั้งสองด้านของคูน้ำนั้นไม่บุบสลายและไม่มีรอยแตกอย่างที่ควรจะเป็น

!

สำหรับยอดฝีมือระดับปราณโอสถ

การทำลายกระท่อมหลังหนึ่งด้วยกระบี่มิใช่เรื่องยาก

อย่างไรก็ตาม

การที่จะผ่าครึ่งกระท่อมเก็บฝืนโดยที่ไม่ทำให้อิฐและกระเบื้องเสียหายนั้นเป็นเรื่องยากมาก

มีเพียงผู้ที่สามารถควบคุมปราณแท้ได้อย่างเชี่ยวชาญเท่านั้นจึงจะสามารถสร้างความแตกต่างเช่นนี้ได้

อาการเมาค้างของเซี่ยงหวู่จี้หายไปโดยพลัน

ดวงตาแก่ชราของมันจ้องเขม็งไปที่กระท่อมเก็บฝืนและคูน้ำที่ถูกผ่าครึ่ง  แววตาเผยให้เห็นความตื่นตะลึงอย่างลึกล้ำ

มันมิได้กล่าวคำใด

มิได้ยกย่องชมเชยจี้เทียนซิง หรือปรี่ตรงเข้าไปหาอีกฝ่าย

จากนั้นจี้เทียนซิงโคจรลมปราณสามส่วนเพื่อใช้ออกด้วยเพลงกระบี่ดาราเหินกระบวนท่าที่ห้า

"กระบวนท่าที่ห้า สยบภูผา !!"

เขายกฝ่ามือขึ้นช้าๆ

จากนั้นอัคคีสีทองและเพลิงสีชาดพลันปะทุซ่านขึ้นในร่าง

ส่งผ่านออกมาเป็นคมกระบี่อันรุนแรง

ในวินาทีต่อมา ร่างของเขาก็กระพริบไปมาบนลานกว้าง

โบกสะบัดหัตถ์ปราณกระบี่เพื่อปลดปล่อยคลื่นรังสีกระบี่สีแดงทองออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง

"เช้ง

เช้ง  เช้ง  เช้ง !"

ห่าพิรุณคลื่นกระบี่อันเกรี้ยวกราดรุนแรงกว่าร้อยพันสายเติมเต็มลานกว้างทั้งหมดในคราเดียว

!

เมื่อได้เห็นฉากนี้ เซี่ยงหวู่จี้ขมวดคิ้วแน่นอย่างกะทันหัน  คนโบกฝ่ามือสรรพสีสันกลายเป็นโล่พลังขนาดใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด

แทบจะในเวลาเดียวกัน

พิรุณคลื่นพลังกระบี่จำนวนมหาศาลที่จี้เทียนซิงซัดออกไปรอบทิศทางนั้นพลันระเบิดขึ้นพร้อมกัน  ก่อเกิดพลังทำลายล้างอันรุนแรงเหนือจะกล่าว

"บรึ้ม

!!!"

ท่ามกลางเสียงอึกทึกวุ่นวาย

ลานกว้างกว่าสามสิบเมตรก็เต็มไปด้วยคลื่นแสงสีแดงทอง

มันกลายเป็นแดนประหัตถ์ประหารที่ปั่นป่วนวุ่นวายยิ่ง

คลื่นกระบี่อันยิ่งใหญ่รุ่นแรงได้ทำลายพื้นหินชนวนในลานกว้าง,ต้นไม้ใหญ่สองต้นและม้านั่งหินหลายตัวกลายเป็นซากดินไหม้เกรียม

!

หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน เสียงอู้อี้ก็ค่อยๆลดลง

พื้นที่เคยสั่นสะเทือนก็สงบลงเช่นกัน

เมื่อแสงปราณแท้ค่อยๆจางหายไป

เงาร่างของจี้เทียนซิงก็ปรากฏขึ้น

เขายืนอย่างภาคภูมิใจกลางลานกว้าง มุมปากผุดยิ้มเบาบางของความพึงพอใจ

ในเวลานี้เอง

เซี่ยงหวู่จี้ก็โบกมือสลายโล่พลังที่ปกคลุมลานกว้างออกไปพลันตะโกนอย่างโกรธเคืองว่า

“ไอ้กระต่ายน้อยจอมซน

! นี่เจ้าคิดจะรื้อสวนหลังบ้านข้าหรือไงวะ

?!”

ในขณะที่ก้นด่าอีกฝ่าย

คนก็พุ่งเข้าไปในสวนอย่างรวดเร็วราวกับลำแสง หยิบเอากิ่งไม้สีดำเข้มราวกับเถ้าถ่านออกมาจากซากปรักหักพัง

สีหน้าของมันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวพลางหันควับจ้องมองไปที่จี้เทียนซิง

แสร้งคำรามอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ไม่นะ !  ต้นวิญญาณมรกตของข้า...   ไอ้หนู กระทั่งสมุนไพรวิญญาณของข้าเจ้ายังไม่ละเว้น  เด็กบัดซบเอ้ย !”

ก่อนหน้านี้

ตอนที่จี้เทียนซิงเข้ามากวาดพื้นในตำหนักไท่อันเป็นครั้งแรก เสี่ยวเฮยหลงได้สร้างพายุทอร์นาโดพัดเอาใบไม้ต้นไม้วิญญาณมรตกกระจุยกระจายพินาศไปมากมาย

จากเหตุการณ์ในวันนั้น

บัดนี้ก็ผ่านไปได้หลายเดือนแล้ว ในที่สุดมันก็กลับมาผลิใบและเขียวชอุ่มดังเดิม

แต่ทว่า

จี้เทียนซิงก็ทำให้พวกมันกลับกลายเป็นเถ้าถ่านจากกระบวนท่าสยบภูผา !

เมื่อเห็นสีหน้าเดือดดาลของเซี่ยงหวู่จี้

จี้เทียนซิงก็ยิ้มแห้งอย่างกระอักกระอ่วนพลางกล่าวว่า “เอ่อ.......พระอาจารย์ ข้าคำนวณพลังผิดพลาด

ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ”

"ผายลม !  พลาดบิดาเจ้าเถอะ”

เซี่ยงหวู่จี้สบถอย่างขุ่นเคืองและกล่าวด้วยความโมโหว่า

“ไม่รู้ล่ะ

เจ้าจะต้องชดใช้ให้ข้า

กวาดพื้นในตำหนักไท่อันหนึ่งเดือน !”

จี้เทียนซิงขมวดคิ้วและพูดด้วยน้ำเสียงขี้เล่น

"พระอาจารย์ แบบนี้เขาเรียกว่าแพ้แล้วพาลนี่นา

ข้าชนะเดิมพันแท้ๆเหตุใดถึงต้องชดใช้ให้ท่านด้วยเล่า ?”

"เจ้าว่าใครแพ้แล้วพาลวะไอ้หนู ?”

เซี่ยงหวู่จี้ถลึงตามองอีกฝ่ายและกล่าวอย่างชอบธรรมว่า

“เอาเจ้ามังกรน้อยกับเจ้าจิ้งจอกน้อยออกมา

ข้าจะช่วยพวกมันฟื้นฟูพลัง"

"แต่เจ้าต้องทำงานที่นี่หนึ่งเดือนเป็นการชดเชยให้ข้า"

จี้เทียนซิงขมวดคิ้วครู่หนึ่งและเริ่มสัมผัสได้ถึงความผิดปกติจากคำพูดของเซี่ยงหวู่จี้  เขาคาดเดาบางอย่างได้ทันทีและถามขึ้นว่า  “พระอาจารย์ ข้าขอถามท่านตามตรง  ท่านคิดรั้งตัวข้าไว้ในตำหนักไท่อันหนึ่งเดือน

ใช่มีเรื่องอะไรกำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้หรือเปล่า ?”

แววตาของเซี่ยงหวู่จี้ปรากฏแสงประหลาดใจวาบผ่าน

คนคิดในใจว่า

“ไอ้เด็กผีนี่ฉลาดเป็นกรด......

มันจับสังเกตอะไรได้หว่า....?”

ภายในใจคิดแต่ปากกลับรีบปฏิเสธเสียงแข็ง  “ไม่มี"

"โกหก ! ต้องมีแน่นอน!"

จี้เทียนซิงจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาใสแจ๋วราวกับจะมองให้ทะลุอีกฝ่าย

“ไม่รู้ๆ  อย่ามาเซ้าซี้”

เซี่ยงหวู่จี้โบกมือไปมาปัดรังควานและไม่สนใจเขา  คนเบือนหน้าหนี เดินกลับไปที่ห้องโถง

ชายหนุ่มรีบก้าวยาวๆเดินตามติดไปอย่างรวดเร็วและถามว่า

“พระอาจารย์

มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่ ถ้าเห็นข้าเป็นศิษย์ก็อย่าปิดบังได้หรือไม่ ?”

เซี่ยงหวู่จี้ชะงักฝีเท้าและหันหน้ากลับไปจ้องมองอีกฝ่ายอย่างจริงจังถามว่า

“เจ้าอยากรู้จริงๆเหรอ

?”

"แน่นอน”

จี้เทียนซิงพยักหน้าอย่างไม่ลังเล

สีหน้าท่าทางของเขาดูหนักแน่นมั่นคงยิ่ง

เซี่ยงหวู่จี้เงียบไปครู่หนึ่ง

จากนั้นก็กล่าวเสียงต่ำว่า “ข้าบอกเจ้าก็ได้

อย่างน้อยเจ้าจะได้มีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ล่วงหน้า"

"เมื่อสี่วันก่อนมีพระราชสาสน์มาจากลานจักรพรรดิจ้งโจว

แจ้งว่าโอรสสวรรค์(เทียนจือ)จะมาเยือนนิกายเราในอีกห้าวันข้างหน้า"

"ลานจักรพรรดิแจ้งว่าการที่เทือนจือมาเยือนนิกายครั้งนี้ไม่เพียงแค่มาเป็นประธานเชื่อมสัมพันธ์ของสถานการณ์โดยรวมในอาณาจักรเทียนเฉิน

แต่พระองค์ยังมาเพื่อพบหน้ากับว่าที่ผู้สมัครนางสนมอีกด้วย"

“นิกายเราเป็นผู้นำของอาณาจักรเทียนเฉินที่อยู่ภายใต้คำสั่งของลานจักรพรรดิจ้งโจวอีกทอดหนึ่ง

พวกเราเคารพเชื่อฟังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้นมาโดยตลอด"

“เมื่อเทือนจือมาถึง

นิกายเราก็ทำได้เพียงต้อนรับพระองค์อย่างอบอุ่นและสร้างความพึงพอใจให้ท่านมากเท่าที่จะมากได้.....

เทียนซิง  เจ้าเป็นคนฉลาด เจ้าสมควรรู้ความหมายของเราผู้เฒ่าใช่หรือไม่

?"

เมื่อยินเรื่องทั้งหมดนี้สีหน้าและแววตาของจี้เทียนซิงพลันดิ่งลงเหวในทันที