สู่ดินแดนดาราบรรพกาล
ระหว่างทางกลับไปที่โรงเตี๊ยม
จี้เทียนซิงสังเกตเห็นเนี่ยห่าวดูผิดปกติและคาดเดาว่าอีกฝ่ายมีเรื่องในใจคิดบอกกล่าว
ดังนั้นเขาจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม
“พี่เนี่ย ท่านอยากจะพูดอะไรหรือไม่ ?”
เนี่ยห่าวเบนหน้ามาและพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง
“ท่านพี่จี้
เรื่องราวในคืนนี้ข้าทำให้ท่านต้องลำบาก”
“หืม ?”
จี้เทียนซิงขมวดคิ้วด้วยความสงสัยอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“เราท่านรู้จักกันนับว่าเป็นชะตาฟ้าลิขิต นอกจากนี้เรื่องที่ข้าช่วยท่านก็มิใช่เรื่องหนักหนาสาหัส
เพียงแค่ยกกระบี่ขัดขวางพวกคนชั่วก็เท่านั้น
ท่านจะคิดมากไปใย ?”
เนี่ยห่าวส่ายหัวเล็กน้อยและเชิดหน้าขึ้นกล่าวอย่างสง่างาม
“ท่านพี่จี้ บุญคุณและหนี้ชีวิตครั้งนี้ ข้าเนี่ยห่าวจักจดจำไม่รู้ลืมและต้องตอบแทนท่านในอนาคตอย่างแน่นอน”
“ที่ข้ากังวลก็คือลู่หมิงหยางต่างหาก ท่านสอดมือมายุ่งเกี่ยว
เกรงว่ามันจะมุ่งเป้าไปที่ท่าน คนผู้นี้มีฐานะไม่สามัญธรรมดา เบื้องหลังยังมีอิทธิพลไม่น้อย”
“ข้าเนี่ยห่าวไม่กลัวมันคิดแก้แค้น
ที่ข้าเป็นห่วงก็คือท่าน ข้ากลัวว่าท่านจะมีปัญหา”
เมื่อเห็นท่าทีของจี้เทียนซิงยังคงเฉยเมยราวกับไม่ใส่ใจอันตราย
เนี่ยห่าวจึงลดเสียงลงและอธิบายว่า “พี่จี้คงไม่ทราบ
แคว้นชางเฟิงอยู่ติดกับแคว้นเหมาหรงของเรา ซึ่งองค์ชายอันดับหนึ่งของแคว้นก็คือลู่หมิงหยางผู้นั้น
!”
“มีข่าวลือว่าลู่หมิงหยางเป็นยอดฝีมือมากพรสวรรค์และชั่วร้ายมาก
มันเป็นตัวบัดซบที่ทำได้ทุกวิถีทางเพื่อบรรลุเป้าหมาย !”
เมื่อได้ยินคำอธิบายเหล่านี้
จี้เทียนซิงก็เข้าใจในที่สุด
“ที่แท้เจ้าหมอนั่นก็เป็นถึงองค์ชายใหญ่ของแคว้นชางเฟิง
ไม่แปลกที่วางท่ายโสโอหังขนาดนี้ !”
“ข้าไม่ใช่คนของแคว้นชางเฟิง
หากมันคิดจะแก้แค้นก็ให้มันไปที่รัฐนภากระจ่างก็แล้วกัน”
จี้เทียนซิงยิ้มและไม่ถือว่าภัยคุกคามของลู่หมิงหยางเป็นเรื่องใหญ่โตอันใด
เนี่ยห่าวเข้าใจชัดเจนว่าผู้ที่ไม่หวั่นเกรงแม้กระทั่งองค์ชายของแคว้นหนึ่งย่อมเป็นตัวตนที่ไม่สามัญธรรมดา
เป็นไปได้ว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าของมันเป็นลูกหลานผู้ทรงอิทธิพล ดังนั้นมันจึงไม่พูดอะไรต่อไป
หลังจากนั้นทั้งสามก็กลับมาถึงโรงเตี๊ยมและแยกย้ายกันเข้าห้อง
ค่ำคืนนี้นับว่าเกิดคลื่นใต้น้ำขึ้นในเมืองเฟิงหยาง อย่างไรก็ตามตลอดทั้งคืนภายในโรงเตี๊ยมกลับสงบเงียบและไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น
ก่อนเข้านอนจี้เทียนซิงก็หยิบเกราะมังกรน้ำแข็งออกจากถุงมิติและตรวจดูอยู่ชั่วคราวก่อนที่จะสวมใส่เข้าไป
สมบัติชิ้นนี้มีน้ำหนักเบาและการสวมใส่ก็ไม่ได้ยุ่งยาก
มันแทบไม่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน
ยิ่งไปกว่านั้นเกราะมังกรน้ำแข็งเต็มไปด้วยความเย็นและไอเย็นที่กระตุ้นกล้ามเนื้อกับเส้นชีพจรของเขา
มันช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแกร่งขึ้นทางอ้อม
“ด้วยคุณสมบัติที่มากล้นเพียงนี้
เงินที่สูญเสียไปก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว”
จี้เทียนซิงพึมพำกับตัวเอง
.............
เช้าวันรุ่งขึ้นจี้เทียนซิงตื่นนอนและทำกิจวัตรประจำวันเสร็จก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เขาเดินไปเปิดประตูและเห็นว่าผู้เคาะก็คือเนี่ยห่าว
เนี่ยห่าวทักทายด้วยรอยยิ้มและเดินเข้าไปในห้องพลางกล่าวว่า
“ขออภัยที่มารบกวนพี่จี้แต่เช้า”
หลังจากนั้นเนี่ยห่าวก็หยิบตั๋วเงินจากในแขนเสื้อและส่งให้กับจี้เทียนซิง
“ท่านพี่จี้
เมื่อคืนนี้ข้าเนี่ยห่าวขอขอบคุณท่านอีกครั้ง !
ข้ารู้ท่านต้องออกจากเมืองวันนี้จึงรีบสั่งให้ผู้ติดตามรวบรวมเงินมาให้ท่าน”
จี้เทียนซิงตกใจไม่น้อยและไม่คิดว่าเนี่ยห่าวผู้นี้จะวิตกกังวลเรื่องการหาเงินมาคืนถึงขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณใคร เขารับตั๋วเงินคืนมาและกล่าวเตือนอีกฝ่ายว่า “พี่เนี่ย หยกหมื่นวิญญาณเป็นดั่งเผือกร้อน ท่านต้องรีบจัดการกับมันโดยเร็วที่สุด”
เนี่ยห่าวยิ้มและกล่าวว่า
“ขอบคุณพี่จี้ที่เป็นห่วงและกระตุ้นเตือน
ข้าให้ผู้ติดตามนำมันกลับไปบ้านตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้วล่ะ”
ทั้งสองพูดคุยกันอีกสองสามคำจากนั้นเนี่ยห่าวก็ประสานมือคารวะและปลีกตัวออกไป
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ
จี้เทียนซิงกับจี้เค่อก็ออกจากโรงเตี๊ยมแล้วเดินทางต่อ
พวกเขาออกจากเมืองเฟิงหยางและมุ่งหน้าขึ้นเหนือ
ซึ่งแคว้นชางเฟิงที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้ตั้งอยู่บริเวณชายแดนทางใต้ของแคว้นเหมาหรง ในขณะที่ดินแดนดาราบรรพกาลนั้นอยู่ทางเหนือ
พวกเขาต้องเดินทางข้ามแคว้นเป็นเวลาหกวันติดต่อกันเพื่อออกจากแคว้นเหมาหรง
ตลอดทางยังคงปลอดภัยไร้เรื่องราวกวนใจ
อีกหกวันต่อมาจี้เทียนซิงก็พ้นเขตแดนของแคว้นเหมาหรงและมาถึงทางเข้าของดินแดนดาราบรรพกาล
สถานที่แห่งนี้กล่าวกันว่าเป็นพื้นที่ลึกลับที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์
มันถูกเปิดขึ้นโดยผู้ยิ่งใหญ่กลุ่มหนึ่งในยุคโบราณ มันมีพื้นกว้างใหญ่ไพศาลและอาณาเขตของมันก็กินพื้นที่ถึงครึ่งทวีป
ทางเข้าอยู่เหนือยอดเขาลูกหนึ่งที่สูงถึงสามกิโลเมตรซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาจะหาพบ รถม้าสองคันจอดที่เชิงเขาและไม่สามารถขึ้นไปได้
จี้เทียนซิงกับจี้เค่อลงจากรถม้าและยืนอยู่บนพื้นหญ้าแหงนมองขึ้นไปที่ยอดเขาสูงที่อยู่เบื้องหน้า
สารถีและเหล่าผู้ติดตามหลายคนช่วยกันขนย้ายสัมภาระของพวกเขาทั้งสองลงจากรถม้า
เดิมทีบ่าวไพร่เหล่านี้คิดจะช่วยจี้เทียนซิงและจี้เค่อขนสัมภาระเดินทางไปส่งให้ถึงนิกายหนุนสวรรค์จากนั้นค่อยกลับรัฐนภากระจ่าง อย่างไรก็ตาม
จี้เทียนซิงบอกให้พวกเขากลับไปก่อนโดยไม่ต้องตามขึ้นไปส่ง
หลังจากรถม้าเดินทางกลับไปแล้วก็เหลือเพียงชายหนุ่มหญิงสาวอยู่เพียงลำพังพร้อมกับสัมภาระใบใหญ่อีกสี่ใบ....
จี้เค่อมองไปที่สัมภาระทั้งหลายและอดไม่ได้ที่จะบุ้ยปากกล่าวอย่างแง่งอนว่า
“พี่ใหญ่เทียนซิง ท่านให้พวกมันกลับไปหมด แล้วสัมภาระของพวกเราเล่า
? หรือท่านคิดจะแบกพวกมันขึ้นเขา
?!”
“ฮ่าๆ มิใช่อย่างที่เจ้าคิด” จี้เทียนซิงหัวเราะและหยิบสัมภาระทั้งหมดโยนไปไว้ในถุงมิติ
“เท่านี้ก็เรียบร้อย เอาล่ะขึ้นเขากันเถอะ”
กล่าวจบจี้เทียนซิงก็เดินขึ้นเขา
จี้เค่อเห็นเพียงชายหนุ่มโบกมือวูบเดียวและสัมภาระที่กองพะเนินก็หายไปหมดสิ้น
นางอ้าปากค้างและเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
นางรีบวิ่งไล่ตามจี้เทียนซิงแล้วเกาะแขนอีกฝ่ายพลางถามว่าทำได้อย่างไร
จี้เทียนซิงก็อธิบายว่าเขามีถุงมิติและโยนพวกมันไปไว้ในนั้นหมดแล้ว จี้เค่อเป็นองค์หญิง
นางรู้จักสมบัติที่ไว้ใช้เก็บสิ่งของเป็นอย่างดี นางจึงพยักหน้าเข้าใจ
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงทั้งสองก็ปีนขึ้นไปบนยอดเขาและเดินไปตามเส้นทาง
พวกเขาได้เห็นว่าภูเขาลูกนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่และพื้นทางเดินก็ปูด้วยหินสีดำ
ก้อนหินบนพื้นดินเต็มไปด้วยรอยด่างและความเก่าแก่
ไม่รู้ว่ามันผ่านวันคืนมานานเพียงใดถึงได้ถูกกัดเซาะจนผุกร่อนขนาดนี้
บนศิลาเบื้องหน้ามีหลุมลึกและเส้นลวดลายที่ถูกแกะสลักเอาไว้
เส้นเหล่านั้นตัดสลับผ่านไปมา กลายเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ รอบบริเวณทั้ง
4 ทิศของค่ายกลนี้ยังมีผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเยาว์ 12 คนที่สวมใส่อาภรณ์สีเขียวมรกตซึ่งกำลังกอดอกกุมกระบี่ไว้แน่น
คนเหล่านี้แต่ละคนล้วนมีความแข็งแกร่งในเขตแดนเชื่อมปราณ
ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้า เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและหยิ่งทะนง
จี้เทียนซิงจับจ้องมองพวกมัน อาภรณ์ของคนเหล่านี้ล้วนเป็นรูปแบบเดียวกันและปักลวดลายเหมือนกันไว้บนหน้าอก
รูปแบบที่ว่าคือกระบี่ยาวสองเล่มไขว้กันและล้อมรอบไปด้วยกลุ่มดาว เห็นได้ชัดว่ามันคือสัญลักษณ์ของนิกายหนุนสวรรค์
ชายหนุ่มเข้าใจได้ในทันทีว่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ทั้ง
12 คนนี้เป็นศิษย์เฝ้าหน้าประตูนิกายหนุนสวรรค์ !
ในขณะนั้นเองจอมยุทธ์หนุ่มผู้หนึ่งที่อยู่ในกลุ่มก็เดินเข้ามาหาจี้เทียนซิงด้วยท่วงท่าสง่างาม
“เจ้าเป็นใคร ? มาที่นี่ทำไม
?”
จี้เทียนซิงและจี้เค่อรีบหยิบป้ายประจำตัวออกมาอย่างรวดเร็วและมอบให้กับจอมยุทธ์หนุ่มผู้นั้นทันที
“ศิษย์พี่ท่านนี้ พวกเราเป็นศิษย์ใหม่ที่ผ่านการคัดเลือกของนิกายหนุนสวรรค์
นี่คือป้ายยืนยันตัวตนของพวกเรา”
จอมยุทธ์หนุ่มรับป้ายประจำตัวของทั้งสองออกมาเพ่งพินิจ
มันแสดงสีหน้าโล่งใจและพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นศิษย์น้องชายและศิษย์น้องหญิง”
“พวกเจ้ารอที่นี่สักครู่ เมื่อข้าเปิดทางเข้าสู่ดินแดนโบราณแล้วจะมีศิษย์พี่อาวุโสท่านอื่นมารับพวกเจ้าอีกที”
จบเล่ม 1 เส้นขอบฟ้าแห่งจักรวรรดิชิงหยุน
(เทียนซิงแปลว่าเส้นขอบฟ้า)
Copyright © 2025 xxxxx.com, All Right Reserved