ตอนที่ 93

สู่ดินแดนดาราบรรพกาล

ระหว่างทางกลับไปที่โรงเตี๊ยม

จี้เทียนซิงสังเกตเห็นเนี่ยห่าวดูผิดปกติและคาดเดาว่าอีกฝ่ายมีเรื่องในใจคิดบอกกล่าว

ดังนั้นเขาจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม

“พี่เนี่ย ท่านอยากจะพูดอะไรหรือไม่ ?”

เนี่ยห่าวเบนหน้ามาและพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง

“ท่านพี่จี้

เรื่องราวในคืนนี้ข้าทำให้ท่านต้องลำบาก”

“หืม  ?”

จี้เทียนซิงขมวดคิ้วด้วยความสงสัยอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“เราท่านรู้จักกันนับว่าเป็นชะตาฟ้าลิขิต นอกจากนี้เรื่องที่ข้าช่วยท่านก็มิใช่เรื่องหนักหนาสาหัส

เพียงแค่ยกกระบี่ขัดขวางพวกคนชั่วก็เท่านั้น

ท่านจะคิดมากไปใย ?”

เนี่ยห่าวส่ายหัวเล็กน้อยและเชิดหน้าขึ้นกล่าวอย่างสง่างาม

“ท่านพี่จี้ บุญคุณและหนี้ชีวิตครั้งนี้ ข้าเนี่ยห่าวจักจดจำไม่รู้ลืมและต้องตอบแทนท่านในอนาคตอย่างแน่นอน”

“ที่ข้ากังวลก็คือลู่หมิงหยางต่างหาก ท่านสอดมือมายุ่งเกี่ยว

เกรงว่ามันจะมุ่งเป้าไปที่ท่าน คนผู้นี้มีฐานะไม่สามัญธรรมดา เบื้องหลังยังมีอิทธิพลไม่น้อย”

“ข้าเนี่ยห่าวไม่กลัวมันคิดแก้แค้น

ที่ข้าเป็นห่วงก็คือท่าน ข้ากลัวว่าท่านจะมีปัญหา”

เมื่อเห็นท่าทีของจี้เทียนซิงยังคงเฉยเมยราวกับไม่ใส่ใจอันตราย

เนี่ยห่าวจึงลดเสียงลงและอธิบายว่า “พี่จี้คงไม่ทราบ

แคว้นชางเฟิงอยู่ติดกับแคว้นเหมาหรงของเรา ซึ่งองค์ชายอันดับหนึ่งของแคว้นก็คือลู่หมิงหยางผู้นั้น

!”

“มีข่าวลือว่าลู่หมิงหยางเป็นยอดฝีมือมากพรสวรรค์และชั่วร้ายมาก

มันเป็นตัวบัดซบที่ทำได้ทุกวิถีทางเพื่อบรรลุเป้าหมาย !”

เมื่อได้ยินคำอธิบายเหล่านี้

จี้เทียนซิงก็เข้าใจในที่สุด

“ที่แท้เจ้าหมอนั่นก็เป็นถึงองค์ชายใหญ่ของแคว้นชางเฟิง

ไม่แปลกที่วางท่ายโสโอหังขนาดนี้ !”

“ข้าไม่ใช่คนของแคว้นชางเฟิง

หากมันคิดจะแก้แค้นก็ให้มันไปที่รัฐนภากระจ่างก็แล้วกัน”

จี้เทียนซิงยิ้มและไม่ถือว่าภัยคุกคามของลู่หมิงหยางเป็นเรื่องใหญ่โตอันใด

เนี่ยห่าวเข้าใจชัดเจนว่าผู้ที่ไม่หวั่นเกรงแม้กระทั่งองค์ชายของแคว้นหนึ่งย่อมเป็นตัวตนที่ไม่สามัญธรรมดา

เป็นไปได้ว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าของมันเป็นลูกหลานผู้ทรงอิทธิพล  ดังนั้นมันจึงไม่พูดอะไรต่อไป

หลังจากนั้นทั้งสามก็กลับมาถึงโรงเตี๊ยมและแยกย้ายกันเข้าห้อง

ค่ำคืนนี้นับว่าเกิดคลื่นใต้น้ำขึ้นในเมืองเฟิงหยาง  อย่างไรก็ตามตลอดทั้งคืนภายในโรงเตี๊ยมกลับสงบเงียบและไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น

ก่อนเข้านอนจี้เทียนซิงก็หยิบเกราะมังกรน้ำแข็งออกจากถุงมิติและตรวจดูอยู่ชั่วคราวก่อนที่จะสวมใส่เข้าไป

สมบัติชิ้นนี้มีน้ำหนักเบาและการสวมใส่ก็ไม่ได้ยุ่งยาก

มันแทบไม่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน

ยิ่งไปกว่านั้นเกราะมังกรน้ำแข็งเต็มไปด้วยความเย็นและไอเย็นที่กระตุ้นกล้ามเนื้อกับเส้นชีพจรของเขา

มันช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแกร่งขึ้นทางอ้อม

“ด้วยคุณสมบัติที่มากล้นเพียงนี้

เงินที่สูญเสียไปก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว”

จี้เทียนซิงพึมพำกับตัวเอง

.............

เช้าวันรุ่งขึ้นจี้เทียนซิงตื่นนอนและทำกิจวัตรประจำวันเสร็จก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

เขาเดินไปเปิดประตูและเห็นว่าผู้เคาะก็คือเนี่ยห่าว

เนี่ยห่าวทักทายด้วยรอยยิ้มและเดินเข้าไปในห้องพลางกล่าวว่า

“ขออภัยที่มารบกวนพี่จี้แต่เช้า”

หลังจากนั้นเนี่ยห่าวก็หยิบตั๋วเงินจากในแขนเสื้อและส่งให้กับจี้เทียนซิง

“ท่านพี่จี้

เมื่อคืนนี้ข้าเนี่ยห่าวขอขอบคุณท่านอีกครั้ง !

ข้ารู้ท่านต้องออกจากเมืองวันนี้จึงรีบสั่งให้ผู้ติดตามรวบรวมเงินมาให้ท่าน”

จี้เทียนซิงตกใจไม่น้อยและไม่คิดว่าเนี่ยห่าวผู้นี้จะวิตกกังวลเรื่องการหาเงินมาคืนถึงขนาดนี้  เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณใคร เขารับตั๋วเงินคืนมาและกล่าวเตือนอีกฝ่ายว่า “พี่เนี่ย หยกหมื่นวิญญาณเป็นดั่งเผือกร้อน ท่านต้องรีบจัดการกับมันโดยเร็วที่สุด”

เนี่ยห่าวยิ้มและกล่าวว่า

“ขอบคุณพี่จี้ที่เป็นห่วงและกระตุ้นเตือน

ข้าให้ผู้ติดตามนำมันกลับไปบ้านตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้วล่ะ”

ทั้งสองพูดคุยกันอีกสองสามคำจากนั้นเนี่ยห่าวก็ประสานมือคารวะและปลีกตัวออกไป

หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ

จี้เทียนซิงกับจี้เค่อก็ออกจากโรงเตี๊ยมแล้วเดินทางต่อ

พวกเขาออกจากเมืองเฟิงหยางและมุ่งหน้าขึ้นเหนือ

ซึ่งแคว้นชางเฟิงที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้ตั้งอยู่บริเวณชายแดนทางใต้ของแคว้นเหมาหรง ในขณะที่ดินแดนดาราบรรพกาลนั้นอยู่ทางเหนือ

พวกเขาต้องเดินทางข้ามแคว้นเป็นเวลาหกวันติดต่อกันเพื่อออกจากแคว้นเหมาหรง

ตลอดทางยังคงปลอดภัยไร้เรื่องราวกวนใจ

อีกหกวันต่อมาจี้เทียนซิงก็พ้นเขตแดนของแคว้นเหมาหรงและมาถึงทางเข้าของดินแดนดาราบรรพกาล

สถานที่แห่งนี้กล่าวกันว่าเป็นพื้นที่ลึกลับที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์

มันถูกเปิดขึ้นโดยผู้ยิ่งใหญ่กลุ่มหนึ่งในยุคโบราณ มันมีพื้นกว้างใหญ่ไพศาลและอาณาเขตของมันก็กินพื้นที่ถึงครึ่งทวีป

ทางเข้าอยู่เหนือยอดเขาลูกหนึ่งที่สูงถึงสามกิโลเมตรซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาจะหาพบ  รถม้าสองคันจอดที่เชิงเขาและไม่สามารถขึ้นไปได้

จี้เทียนซิงกับจี้เค่อลงจากรถม้าและยืนอยู่บนพื้นหญ้าแหงนมองขึ้นไปที่ยอดเขาสูงที่อยู่เบื้องหน้า

สารถีและเหล่าผู้ติดตามหลายคนช่วยกันขนย้ายสัมภาระของพวกเขาทั้งสองลงจากรถม้า

เดิมทีบ่าวไพร่เหล่านี้คิดจะช่วยจี้เทียนซิงและจี้เค่อขนสัมภาระเดินทางไปส่งให้ถึงนิกายหนุนสวรรค์จากนั้นค่อยกลับรัฐนภากระจ่าง  อย่างไรก็ตาม

จี้เทียนซิงบอกให้พวกเขากลับไปก่อนโดยไม่ต้องตามขึ้นไปส่ง

หลังจากรถม้าเดินทางกลับไปแล้วก็เหลือเพียงชายหนุ่มหญิงสาวอยู่เพียงลำพังพร้อมกับสัมภาระใบใหญ่อีกสี่ใบ....

จี้เค่อมองไปที่สัมภาระทั้งหลายและอดไม่ได้ที่จะบุ้ยปากกล่าวอย่างแง่งอนว่า

“พี่ใหญ่เทียนซิง  ท่านให้พวกมันกลับไปหมด แล้วสัมภาระของพวกเราเล่า

?  หรือท่านคิดจะแบกพวกมันขึ้นเขา

?!”

“ฮ่าๆ มิใช่อย่างที่เจ้าคิด”  จี้เทียนซิงหัวเราะและหยิบสัมภาระทั้งหมดโยนไปไว้ในถุงมิติ

“เท่านี้ก็เรียบร้อย  เอาล่ะขึ้นเขากันเถอะ”

กล่าวจบจี้เทียนซิงก็เดินขึ้นเขา

จี้เค่อเห็นเพียงชายหนุ่มโบกมือวูบเดียวและสัมภาระที่กองพะเนินก็หายไปหมดสิ้น

นางอ้าปากค้างและเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

นางรีบวิ่งไล่ตามจี้เทียนซิงแล้วเกาะแขนอีกฝ่ายพลางถามว่าทำได้อย่างไร

จี้เทียนซิงก็อธิบายว่าเขามีถุงมิติและโยนพวกมันไปไว้ในนั้นหมดแล้ว  จี้เค่อเป็นองค์หญิง

นางรู้จักสมบัติที่ไว้ใช้เก็บสิ่งของเป็นอย่างดี นางจึงพยักหน้าเข้าใจ

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงทั้งสองก็ปีนขึ้นไปบนยอดเขาและเดินไปตามเส้นทาง

พวกเขาได้เห็นว่าภูเขาลูกนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่และพื้นทางเดินก็ปูด้วยหินสีดำ

ก้อนหินบนพื้นดินเต็มไปด้วยรอยด่างและความเก่าแก่

ไม่รู้ว่ามันผ่านวันคืนมานานเพียงใดถึงได้ถูกกัดเซาะจนผุกร่อนขนาดนี้

บนศิลาเบื้องหน้ามีหลุมลึกและเส้นลวดลายที่ถูกแกะสลักเอาไว้

เส้นเหล่านั้นตัดสลับผ่านไปมา กลายเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ รอบบริเวณทั้ง

4 ทิศของค่ายกลนี้ยังมีผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเยาว์ 12 คนที่สวมใส่อาภรณ์สีเขียวมรกตซึ่งกำลังกอดอกกุมกระบี่ไว้แน่น

คนเหล่านี้แต่ละคนล้วนมีความแข็งแกร่งในเขตแดนเชื่อมปราณ

ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้า เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและหยิ่งทะนง

จี้เทียนซิงจับจ้องมองพวกมัน  อาภรณ์ของคนเหล่านี้ล้วนเป็นรูปแบบเดียวกันและปักลวดลายเหมือนกันไว้บนหน้าอก

รูปแบบที่ว่าคือกระบี่ยาวสองเล่มไขว้กันและล้อมรอบไปด้วยกลุ่มดาว  เห็นได้ชัดว่ามันคือสัญลักษณ์ของนิกายหนุนสวรรค์

ชายหนุ่มเข้าใจได้ในทันทีว่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ทั้ง

12 คนนี้เป็นศิษย์เฝ้าหน้าประตูนิกายหนุนสวรรค์ !

ในขณะนั้นเองจอมยุทธ์หนุ่มผู้หนึ่งที่อยู่ในกลุ่มก็เดินเข้ามาหาจี้เทียนซิงด้วยท่วงท่าสง่างาม

“เจ้าเป็นใคร ? มาที่นี่ทำไม

?”

จี้เทียนซิงและจี้เค่อรีบหยิบป้ายประจำตัวออกมาอย่างรวดเร็วและมอบให้กับจอมยุทธ์หนุ่มผู้นั้นทันที

“ศิษย์พี่ท่านนี้ พวกเราเป็นศิษย์ใหม่ที่ผ่านการคัดเลือกของนิกายหนุนสวรรค์

นี่คือป้ายยืนยันตัวตนของพวกเรา”

จอมยุทธ์หนุ่มรับป้ายประจำตัวของทั้งสองออกมาเพ่งพินิจ

มันแสดงสีหน้าโล่งใจและพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นศิษย์น้องชายและศิษย์น้องหญิง”

“พวกเจ้ารอที่นี่สักครู่ เมื่อข้าเปิดทางเข้าสู่ดินแดนโบราณแล้วจะมีศิษย์พี่อาวุโสท่านอื่นมารับพวกเจ้าอีกที”

จบเล่ม 1 เส้นขอบฟ้าแห่งจักรวรรดิชิงหยุน

(เทียนซิงแปลว่าเส้นขอบฟ้า)