ตอนที่ 385 ว่ากล่าวลับหลังอย่างชั่วช้า

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน

จี้เทียนซิงก็ยังคงจมอยู่กับรสจูบอันวาบหวามน่าหลงใหล

หยุนเหยาได้สติกลับมาและรีบเหยียดมือออก

ผลักอีกฝายอย่างรวดเร็ว

"ศิษย์น้องเทียนซิง  เจ้า......"

หยุนเหยามองจี้เทียนซิงอย่างเหลือเชื่อ

สีหน้าและแววตาของนางกลายเป็นซับซ้อน นางรู้สึกเขินอายจนแทบหายใจไม่ออก

จี้เทียนซิงมองตานางอย่างอ่อนโยน

คนสูดหายใจลึกรวบรวมความกล้าและกล่าวอย่างจริงจังว่า “ศิษย์พี่  ข้า...."

อย่างไรก็ตาม

ก่อนที่จะได้เอ่ยปากพูดบางสิ่งที่เก็บซ่อนไว้ในใจมาเนิ่นนาน,  หยุนเหยาพลันเหยียดมือออก แตะริมฝีปากอีกฝ่าย ขัดจังหวะไม่ให้เขาได้เปล่งวาจา

"ศิษย์น้องเทียนซิง เจ้าควรกลับไป”

สิ้นคำ

นางก็เหินร่างขึ้นจากบ่อน้ำพุร้อน เท้าแตะที่ขอบบ่ออย่างอ่อนช้อย

นางก็กระโดดออกจากน้ำพุร้อนและตกลงไปเบา ๆ

ข้างน้ำพุร้อน

ยามอยู่กลางอากาศ

นางก็หยิบชุดกระโปรงยาวออกมาพันรอบกายเพื่อปกคลุมเรือนร่างหยกขาวไร้ที่ติของนาง

"ฟุ่บ !"

นางทะยานไปหลังฉากกั้น

เข้าไปในทางเดินยาวและซ่อนตัวอยู่ในห้องลับที่นางบ่มเพาะเป็นประจำในทันที

จี้เทียนซิงยังคงยืนอยู่กลางบ่อน้ำพุร้อน

เพ่งมองเงาหลังอันงดงามของหยุนเหยาที่ลับตาไป

รอยยิ้มเปี่ยมสุขปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

"ศิษย์พี่.....  มีใจให้ข้าจริงๆด้วย "

ชายหนุ่มกำหมัดแน่นด้วยความตื่นเต้นดีใจ หัวใจเต็มไปด้วยโลหิตสูบฉีด

หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็กระโดดออกจากบ่อน้ำพุร้อน

โคจรปราณยุทธ์ไล่น้ำให้เสื้อคลุมแห้ง จากนั้นก็ออกจากตำหนักเมฆขาว

จนกระทั่งกลับไปถึงลานเทียนซิง

หัวใจของเขาก็ยังคงอื้ออึงรำลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ่อน้ำพุร้อน

ณ จุดนี้หัวใจของเขาสับสนวุ่นวาย

ในใจเต็มไปด้วยใบหน้าและเงาร่างของหยุนเหยาประทับแน่นจนมิอาจบ่มเพาะฝึกสมาธิได้แม้แต่น้อย

หลังจากคิดฟุ้งซ่านอยู่นาน

เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือแตะริมฝีปากตัวเองเพื่อจดจำรสจูบอันวาบหวามนั้น

...........

หลังจากกลับไปถึงที่พัก

หลงหยุนเซียวก็ทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะข้างหน้าต่าง

สายตาเหม่อมองความมืดในรัตติกาลนอกหน้าต่าง

ใบหน้าของมันมืดมนหดหู่เล็กน้อย คิ้วขมวดแน่น

แววตาดูเย็นชา

ก่อนที่มันจะบุกเข้าสู่บ่อน้ำพุร้อน หยุนเหยาได้ตะคอกเสียงเย็นใส่มัน

ซึ่งสถานการณ์ในตอนนั้นค่อนข้างผิดปกติอย่างเหนือความคาดหมายโดยสิ้นเชิง

ทำให้มันมิได้ตระหนักถึงเบาะแสบางอย่าง

ตอนนี้มันสงบใจลงแล้วจึงนึกถึงฉากเหตุการณ์ในตอนนั้น

และเริ่มรู้สึกแปลกๆ

มันรู้จักหยุนเหยาเป็นอย่างดีและเข้าใจถึงนิสัยและอารมณ์ของนาง

สำหรับมันแล้วพฤติกรรมของหยุนเหยาในเวลานั้นดูแปลกๆไปเล็กน้อย

ราวกับว่านางพยายามซ่อนบางสิ่งบางอย่างก่อนที่พยายามจะไล่มันให้ออกไป

ไม่เพียงเท่านั้น มันยังรู้สึกได้ว่ามีใครอีกคนอยู่ในสวนหลังตำหนัก

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้วอารมณ์ของหลงหยุนเซียวก็ยิ่งหนักอึ้ง

คนกระซิบพึมพำกับตัวเอง

“เหยาเหยา เจ้าซ่อนใครไว้กันแน่.....?”

ในเวลานี้เองนายพลหยูหลินในชุดเกราะก็เดินเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว

คนโค้งคารวะและรายงานว่า “เทียนจือ หลังจากบัญชาของพระองค์ที่ให้กระหม่อมเฝ้าจับตามองตำหนักเมฆขาว

กระหม่อมพบบางอย่างขอรับ"

หลงหยุนเซียวรั้งสติกลับมาและช้อนตาขึ้นมองนายพลหยูหลิน

ถามว่า

“ท่านว่ามา

นายพลหยู"

นายพลหยูหลินตอบไปตามความจริง  "เทียนจือ  ไม่นานหลังจากพระองค์ออกไป กระหม่อมเห็นบุรุษหนุ่มชุดขาวผู้หนึ่งออกมาจากตำหนักเมฆขาวอย่างเงียบงันขอรับ"

“ซึ่งบุรุษผู้นั้นก็คือศิษย์สายตรงของฉู่เทียนเซิง

จี้เทียนซิง !”

"จี้เทียนซิง........ เป็นมันจริงๆ !”

หลงหยุนเซียวขมวดคิ้ว

แสงเย็นวาบผ่านในดวงตาของมัน

วันนี้ที่มันได้ออกท่องเที่ยวกับหยุนเหยา

มันเห็นชัดตาว่าทั้งสองคนนี้สนิทสนมและเป็นกันเองมาก

แต่เดิมมันเคยคิดว่าหยุนเหยาย่อมไม่สนใจคนธรรมดาอย่างจี้เทียนซิง

เพียงใกล้ชิดอีกฝ่ายเพื่อเล่นละคร หวังใช้เป็นไม้กันหมา

กีดกัดมันให้ล้มเลิกความตั้งใจ

แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าทุกสิ่งจะเกินความคาดหมายของมันไม่น้อย

การที่หยุนเหยาและจี้เทียนซิงใกล้ชิดสนิทสนมกัน  เกรงว่ามิใช่การแสดง

แต่เป็นธรรมชาติของทั้งสองจริงๆ !

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้สีหน้าของหลงหยุนเซียวก็ยิ่งเคร่งขรึมมากขึ้น

ความคิดที่ซับซ้อนมากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัวของมัน

นายพลหยูหลินยังมิได้ล่าถอย คนรายงานต่อไปว่า

“เทียนจือ

ตอนที่กระหม่อมกลับมา ได้พบชายหนุ่มสวมชุดสีเทา ซึ่งเป็นเครื่องแบบศิษย์รับใช้

มันกล่าวอ้างว่าตนเองเป็นศิษย์หัวกะทิของฉู่เทียนเซิงและมีเรื่องด่วนคิดจะรายงานต่อพระองค์ขอรับ”

เมื่อได้ยินเรื่องนี้ หลงหยุนเซียวก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

หลังจากพิจารณาดูแล้วมันจึงพยักหน้ากล่าวว่า “ให้มันเข้ามา”

"ขอรับ"

................

จากนั้นไม่นาน

นายพลหยูหลินกลับเข้ามาพร้อมกับชายหนุ่มในชุดเทาคนหนึ่ง

ชายผู้นี้หน้าตาหล่อเหลามีเสน่ห์

เพียงแต่มีสีหน้าหดหู่ซีดเซียวไปเล็กน้อย

มันรีบเดินเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว

ประสานมือคารวะต่อหลงหยุนเซียวด้วยความเคารพพลางกล่าวว่า

"คารวะเทียนจือ

ข้าน้อยมีนามว่าไป๋หวู่เชินขอรับ !”

"ใต้เท้า

ข้าน้อยมีเรื่องสำคัญมากคิดรายงานต่อพระองค์เป็นการส่วนตัว !"

หลงหยุนเซียวจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าไม่แยแส

จุดประสงค์ก็เพื่อมองทะลุเจตนาของผู้มาเยือนคนนี้ จากนั้นเอ่ยปากถามว่า

"ไป๋หวู่เชิน

เจ้ากล่าวว่าตนเองเป็นหนึ่งในศิษย์หัวกะทิ ไฉนถึงได้กลายเป็นศิษย์รับใช้ไปได้เล่า ?”

พูดถึงเรื่องนี้

สีหน้าของไป๋หวู่เชินก็ยิ่งหดหู่โศกเศร้าในบันดล

คนแค่นเสียงเย็นและกล่าวด้วยน้ำเสียงอึมครึมว่า "เทียนจือ

เรื่องนี้เป็นฝีมือของจี้เทียนซิงขอรับ !”

"ชายหนุ่มผู้นี้ร้ายกาจและชั่วช้านัก

มองผิวเผินเหมือนเป็นบุรุษรูปงามที่ดูหนักแน่นมั่นคงและมีจิตใจดีงาม

แต่ที่จริงแล้วมันเสแสร้งแกล้งดัด หลอกลวงผู้คน ข้าน้อยจำต้องรายงานต่อท่าน....”

เมื่อเห็นความไม่พอใจของไป๋หวู่เชินและการอ้างถึงความชั่วของจี้เทียนซิง

หลงหยุนเซียวขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวต่อไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า

“แสดงว่า

เรื่องด่วนที่เจ้าหมายถึงก็คือเรื่องของบุรุษที่ชื่อจี้เทียนซิง ?”

"ถูกต้องขอรับ !”

ไป๋หวู่เชินพยักหน้าอย่างหนักแน่น

ชำเลืองตามองดูการตอบสนองของหลงหยุนเซียว

กล่าวต่อไปว่า

“นอกจากนี้...

ยังเกี่ยวข้องกับศิษย์พี่ใหญ่หยุนเหยาด้วยขอรับ"

หลงหยุนเซียวจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าว่างเปล่า

กล่าวว่า

“พูดต่อสิ”

ไป๋หวู่เชินลอบยินดีในใจ

จากนั้นเสริมอารมณ์หึงหวงริษยาเข้าไปอีก กล่าวว่า

“เทียนจือ

ศักดิ์ฐานะของจี้เทียนซิงแต่เดิมก็เป็นเพียงตระกูลขุนนาง

พ่อค้าอาวุธในเมืองเล็กๆ

เป็นศิษย์พี่ใหญ่มีจิตใจที่ดีงาม ชอบช่วยเหลือผู้อื่น

นางได้ช่วยชีวิตมันไว้โดยบังเอิญระหว่างเดินทาง

นับจากนั้นมาจี้เทียนซิงจึงหาทางเข้าใกล้ศิษย์พี่  ฝากตัวเป็นศิษย์นิกายพันธมิตรสวรรค์

ไต่เต้าจนขึ้นมาเป็นศิษย์สายตรงของท่านประมุข”

"นับตั้งแต่เข้านิกายมา

จี้เทียนซิงพัวพันศิษย์พี่ใหญ่ หลอกลวงนางและไม่แยแสศิษย์คนอื่นๆ

วางท่าเขื่องโขก้าวร้าว  นอกจากนี้มันยังตามตื๊อศิษย์พี่ใหญ่อย่างไม่จบไม่สิ้น”

“มองภายนอกมันดูเป็นคนซื่อสัตย์จริงใจ

แต่ที่จริงแล้วชั่วช้าสามานย์

ศิษย์พี่เป็นคนที่ใจดีและจิตใจบริสุทธิ์

นางอาจจะหลงเชื่อต่อคำพูดหวานหูของจี้เทียนซิง”

“ข้าน้อยเคยเตือนจี้เทียนซิงและศิษย์พี่ไปหลายครั้ง

สุดท้ายกลับถูกมันเกลียดชัง”

“เพื่อให้ได้ใกล้ชิดศิษย์พี่ใหญ่

เพื่อกำจัดคนขวางหูขวางตา มันไม่ลังเลที่จะใช้วิธีการอันน่ารังเกียจ

บีบบังคับให้ข้าน้อยต้องตกเป็นศิษย์รับใช้

ส่วนตัวมันเองกลายเป็นมีชื่อเสียงโด่งดัง

เป็นอัจฉริยะที่นับหน้าถือตาในสายตาของทุกคน”

“เมื่อไม่มีข้าน้อยคอยกีดกัน

ก็ไม่มีผู้ใดคอยเตือนสติศิษย์พี่ใหญ่ นางจึงตกอยู่ในกำมือของจี้เทียนซิง

ตอนนี้ผู้คนต่างก็มองว่าทั้งสองเป็นคู่รักที่เหมาะสมราวกับสวรรค์บรรจงสร้าง..."

ไป๋หวู่เชินก้นด่าสาปแช่งจี้เทียนซิงอย่างสาดเสียเทเสีย

ไม่เพียงแค่เติมเชื้อไฟจากความหึงหวงส่วนตัว แต่มันยังโกหกบิดเบือนข้อเท็จจริง

ผสมปนเปเรื่องถูกผิดจนมั่วซั่วไปหมด

หลงหยุนเซียวยังคงมีท่าทีเรียบเฉย  รอจนกระทั่งไป๋หวู่เชินพล่ามจบ

คนคำรามเสียงดังว่า

“สามหาว

! ผู้ใดมอบความกล้าให้เจ้ามาทำลายชื่อเสียงชายาในอนาคตของเรา

?!”

"ในฐานะศิษย์ของนิกายพันธมิตรสวรรค์

เจ้าไม่กล้าทำอะไรซึ่งหน้าแต่กลับมานินทาสาปแช่งศิษย์พี่ศิษย์น้องลับหลังให้คนนอกฟัง

เจ้านี่มันชั่วช้าบัดซบเหลือจะทนจริงๆ !”

“กับคนชั่วร้ายที่ลอบกัดผู้อื่นอย่างเจ้า

ควรค่ากับฉายาศิษย์หัวกะทิของนิกายจริงหรือ ?

อย่างเจ้าสมควรใช้ชีวิตต่ำๆต่อไป เป็นศิษย์รับใช้ไปชั่วชีวิตเสียมากว่า !”